การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 อีกระลอก มียอดผู้ติดเชื้อมากที่สุดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทำให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวล ขณะที่ฝ่ายบริหารของกรุงเทพฯ เตรียมปรับแผนรับมือการแพร่ระบาด ให้สอดคล้องกับจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้าสู่ระบบการรักษา โดยเฉพาะผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว มีอาการไม่มาก ตอนนี้เตียงในโรงพยาบาลเริ่มไม่เพียงพอ

สำหรับแผนการรับมือ “ผศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช” รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ดูแลด้านสาธารณสุข ประเมินว่า ขณะนี้พื้นที่กรุงเทพฯ มีผู้ป่วยโควิดอยู่ในอัตราเพิ่มขึ้นคงที่ เฉลี่ยวันละ 1,500 - 4,000 คนต่อวัน โดยมีคนไข้ใหม่ที่เข้ามาในโรงพยาบาลแต่ละแห่งเฉลี่ย 50 - 60 คนต่อวัน

จากสถิติผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ด้วยอาการโควิดส่วนใหญ่จะมาแออัดกันในโรงพยาบาลพื้นที่ชั้นในกรุงเทพฯ จึงทำให้อัตราครองเตียงของคนไข้หนาแน่น เช่น โรงพยาบาลกลาง โรงพยาบาลตากสิน โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ ขณะที่อัตราครองเตียงในโรงพยาบาลรอบนอกจะต่ำกว่า

“อัตราการครองเตียงในโรงพยาบาลชั้นในกรุงเทพฯ ตอนนี้อยู่ที่ 80 เปอร์เซ็นต์ ต่างจากโรงพยาบาลในพื้นที่รอบนอกที่ครองที่อยู่ที่ 50 เปอร์เซ็นต์ ในภาพรวมเตียงสำหรับผู้ป่วยวิกฤติยังมีอยู่จำนวนมาก แต่จะมีผลกระทบจากจำนวนบุคลากรที่ไม่เพียงพอ ส่วนเตียงสำหรับผู้ป่วยสีเขียวมีการครองเตียงสูงถึง 60 - 70 เปอร์เซ็นต์ ในบางโรงพยาบาลที่อยู่ชั้นในกรุงเทพฯ สรุปแล้วการครองเตียงของผู้ป่วยภาพรวมถือว่าตึงมือมากขณะนี้ จึงต้องมีแผนรับมือในการคัดกรองผู้ป่วยที่สามารถดูแลตัวเองที่บ้านได้ เพื่อให้มีเตียงเหลือพอรองรับผู้ป่วยรายใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม 608”

หากมีแนวโน้มว่าผู้ป่วยในพื้นที่ชั้นในกรุงเทพฯ มีมากขึ้น จะมีแผนในการส่งต่อผู้ป่วยเพื่อไปรักษาในโรงพยาบาลพื้นที่ชั้นนอก โดยมีการอำนวยความสะดวกในการส่งต่อคนไข้ เพราะไม่อยากให้ผู้ป่วยต้องเดินทางเอง นอกจากนี้ยังได้เปิดโรงพยาบาลสนามเพิ่มอีก 3 แห่ง ทำให้มีเตียงเพิ่มขึ้น 500 เตียง

...


กระจายบริการในระบบสาธารณสุขชุมชน

“ผศ.ดร.ทวิดา” กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีคนไข้ที่เข้ามาจำนวนมากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาในการสื่อสารที่ไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะการแนะนำการปฏิบัติตัวของคนไข้แต่ละกลุ่ม ซึ่งตอนนี้กำลังเร่งปรับเปลี่ยนให้บุคลากรมีการสื่อสารชัดเจน ตั้งแต่ระดับโรงพยาบาลและคลินิกอบอุ่นในชุมชน

“ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่ามีคนไข้ในพื้นที่กรุงเทพฯ บางส่วนตกหล่นจากการดูแล ตอนนี้ได้ประสานกับภาคประชาสังคม ที่มีศักยภาพเข้าถึงคนไข้ที่ตกหล่นในชุมชนให้แจ้งมายังหน่วยงานสาธารณสุขกรุงเทพฯ เพื่อเข้าไปช่วยเหลืออย่างทั่วถึง ซึ่งในอนาคตเตรียมที่จะออกแบบการช่วยเหลือในระดับนิติบุคคลหรือตัวแทนหมู่บ้าน ที่มีความรู้ด้านสาธารณสุขให้เข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว”

ด้วยพื้นที่ภายในศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพฯ มีจำกัด เช่น หลายแห่งมีพื้นที่แค่ 1 คูหา จึงต้องพยายามจัดการคนไข้ให้อยู่ในพื้นที่จำกัด โดยต้องป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดในระหว่างมาพบแพทย์ ซึ่งบางแห่งมีลานจอดรถด้านหน้าก็ต้องพยายามกันพื้นที่นี้ให้เป็นจุดพักคอยของผู้ที่มาตรวจโควิด อนาคตคาดว่ากรุงเทพฯ จะต้องขยับขยายพื้นที่บริการภายในศูนย์ให้กว้างขึ้น เพื่อรองรับการระบาดในอนาคต เพราะตอนนี้ภาพรวมมีผู้ที่มาใช้บริการในศูนย์เฉลี่ยอยู่ที่ 2,500 คนต่อวัน

“ตอนนี้ศูนย์บริการสาธารณสุข คลินิกอบอุ่นและร้านขายยาที่ร่วมกับกรุงเทพฯ สามารถจ่ายยาให้กับผู้ป่วยที่ต้องการกลับไปกักตัวที่บ้าน แต่ต้องมีการตรวจสอบสิทธิ์ ซึ่งผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องเดินทางมารับยาเอง แต่ญาติมารับแทนได้ แต่ต้องมีผลตรวจ ATK บัตรประชาชนของผู้ป่วย ใบบันทึกอาการของผู้ป่วยมายืนยัน”

ผศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ผศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

ยาฟาวิพิราเวียร์ เสี่ยงขาดแคลน

“ผศ.ดร.ทวิดา” อธิบายต่อว่า ยาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิดของกรุงเทพฯ ทั้งระบบตอนนี้มีเพียงพอ แต่น่ากังวลว่าหากมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ยาอาจมีไม่เพียงพอ เพราะเฉลี่ยยาฟาวิพิราเวียร์ 1 แสนเม็ด รักษาคนไข้ได้ประมาณ 2,000 คน ดังนั้นถ้าโรงพยาบาลเหลือยาอยู่แค่หมื่นกว่าเม็ด อาจไม่เพียงพอถ้ามีคนมาใช้บริการมาก กรณีนี้จึงต้องบริหารจัดการยา ด้วยการโอนยาจากโรงพยาบาลที่มีคนใช้บริการน้อยมาโรงพยาบาลที่มีคนมามาก

...

“ยาตอนนี้มีจำนวนอยู่พอดีกับผู้ป่วยที่เข้ามา แต่ที่ไม่เพียงพอเนื่องจากผู้ป่วยไปกระจุกตัวอยู่ที่โรงพยาบาลบางแห่ง ดังนั้นตอนนี้พยายามแก้ไขระบบการโอนยาของโรงพยาบาลในสังกัดให้เร็วขึ้น เพื่อที่ผู้ป่วยที่เข้ามาในโรงพยาบาลที่มีการใช้บริการหนาแน่นจะได้ไม่ต้องรอนาน”

สำหรับแนวทางของการจ่ายยายังเป็นอีกประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจกับประชาชน เนื่องจากที่ผ่านมามีการสื่อสารว่าผู้ป่วยโควิดควรได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ ทำให้คนไข้ที่มีอาการแข็งแรงก็มีความกังวลอยากจะได้รับยา ทำให้ขณะนี้มีการจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ ให้กับผู้ป่วยจำนวนมากจนเสี่ยงที่จะขาดแคลนได้ การแก้ไขเบื้องต้นพยายามจ่ายยาโมลนูพิราเวียร์ ให้กับผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์มากขึ้น เพื่อลดการจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์

หากยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยโควิด ตามที่กระทรวงสาธารณสุขจะจ่ายให้กับกรุงเทพฯ ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้มีมากพอ จะทำให้ยาที่จ่ายกับผู้ป่วยเพียงพอ และระบบสาธารณสุขของกรุงเทพฯ สามารถรับมือกับผู้ป่วยที่มีจำนวนมากขึ้นได้ในอนาคต

“การแก้ปัญหาระบบการจ่ายยาที่ไม่เพียงพอ อยากให้ยาเหล่านี้สามารถซื้อได้ตามร้านขายยา โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีกำลังทรัพย์เพียงพอ ขณะที่กลุ่มที่มีทุนทรัพย์ไม่เพียงพอก็มารับยาฟรีกับโรงพยาบาลได้ตามปกติ ซึ่งจะทำให้ระบบการจ่ายยามีการกระจายตัวมากขึ้น”