เหตุการณ์กราดยิงภายในโรงเรียน เกิดขึ้นติดต่อกันในสหรัฐอเมริกา ล่าสุดวัยรุ่นอายุ 18 ปี สวมเสื้อเกราะ พร้อมอาวุธ บุกเข้าไปในโรงเรียนประถม เมืองยูวาลเด รัฐเทกซัส กราดยิงไม่เลือกหน้า จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 21 ศพ และบาดเจ็บ 15 คน สุดท้ายเจ้าหน้าที่ต้องวิสามัญฆาตกรรม
ที่มาของการก่อเหตุสะเทือนขวัญ เกิดจากการถูกล้อเลียน จนสร้างความกดดัน แต่หากหันกลับมามองที่ไทย ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ส่งผลต่อสุขภาพจิต จึงต้องมีการเตรียมความพร้อม ให้รู้เท่าทัน ก่อนเหตุร้ายจะมาถึง
“ผศ.พญ.ศุภรา เชาว์ปรีชา” กรรมการสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป เด็กหลายคนถูก “บูลลี่” ทั้งในโลกความจริง และโซเชียล ทำให้หลายคนตั้งรับไม่ทัน โดยเฉพาะในสังคมอเมริกา ที่มีความแตกต่างทางสังคมค่อนข้างมาก รวมถึงสภาพแวดล้อมที่ต่างคนต่างอยู่ ทำให้คนมีอาการทางจิตโดยไม่รู้ตัวเอง
ปกติคนที่ถูก “บูลลี่” และป่วยด้านจิตเวช จะมีอาการอยู่ 2 แบบ 1. คนที่ซึมเศร้า ชอบทำร้ายตัวเอง หรือหลายคนเลือกที่จะจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย 2. กลุ่มที่ทำร้ายคนอื่น คนไข้กลุ่มนี้หลายคนไม่รู้ตัว ส่วนหนึ่งเกิดจากการถูกล้อเลียน มาเป็นระยะเวลานาน จนแสดงออกโดยการโต้กลับ ผ่านพฤติกรรมที่รุนแรง ส่งผลกระทบต่อผู้อื่น
...
การป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงในสังคม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องมีศูนย์ที่ช่วยเหลือผู้ป่วยตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะถ้ายิ่งปล่อยไว้นานอาจเกิดพฤติกรรมที่รุนแรง ส่งผลกระทบต่อสังคม ซึ่งประเทศไทยยังโชคดีกว่าสหรัฐอเมริกา ที่เราเป็นสังคมที่ช่วยเหลือกัน แต่ในโลกปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป เหตุความรุนแรงเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้
สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยง สามารถสำรวจสุขภาพจิตตัวเอง และคนรอบข้างได้ โดยพิจารณาจาก 1. การใช้ชีวิตประจำวัน หากมีผลกระทบจนส่งผลต่อพฤติกรรม ที่มีความผิดปกติ เช่น มีอารมณ์โกรธหรืออิจฉา รุนแรงกว่าเดิมที่เคยเป็น 2. มีภาวะอารมณ์ จมลึกนานผิดปกติ เพราะปกติอารมณ์เศร้า เสียใจ จะอยู่กับเราประมาณ 2-3 วัน หรือบางคนกินเวลาถึง 1 อาทิตย์ แต่ถ้ามีภาวะอารมณ์เศร้า นานกว่านี้ และทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แสดงถึงความผิดปกติ ควรรีบไปพบจิตแพทย์
ส่วนใหญ่คนที่ป่วยทางจิตเวช จากการถูก “บูลลี่” มีทั้งที่แสดงอาการและไม่แสดงอาการ กลุ่มที่ไม่แสดงอาการค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะคนรอบข้างไม่สามารถสังเกตได้ จึงทำให้คนไข้ จมอยู่กับตัวเอง และอาจก่อเหตุความรุนแรงหนักกว่าที่หลายคนคิดไว้
จากเหตุการณ์กราดยิงในสหรัฐอเมริกาที่เกิดขึ้น อีกสิ่งสำคัญคือ การที่เยาวชนเข้าถึงอาวุธปืนได้ง่าย ดังนั้นไทยควรมีมาตรการทางกฎหมาย ป้องกันไม่ให้เด็กเข้าถึงอาวุธปืนได้ง่าย เพื่อป้องกันการเกิดเหตุร้าย ขณะเดียวกัน โรงเรียนก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ ที่ต้องสร้างสภาพแวดล้อมให้ปลอดจากการ “บูลลี่” โดยต้องสร้างจิตสำนึกภายในโรงเรียน และอาจมีการทำโทษ
ตลอดจนป้องกันไม่ให้คนภายนอกเข้ามาก่อเหตุในโรงเรียนได้ เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา สุดท้ายหากเกิดความรุนแรงขึ้นภายในโรงเรียน ย่อมสร้างบาดแผลทางจิตใจให้กับเด็ก และส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรมรุนแรงต่อผู้อื่นในอนาคตได้
ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต ระบุว่า เครือข่ายนักกฎหมายเพื่อเด็กและเยาวชน ได้ทำการสำรวจกลุ่มเด็กอายุ 10-15 ปี ใน 15 โรงเรียน พบว่าร้อยละ 91.79 เคยถูกบูลลี่ และวิธีการที่ใช้มากที่สุดคือ การตบหัว ล้อชื่อพ่อชื่อแม่ ถูกเหยียดหยาม เช่น ล้อปมด้อย พูดจาเสียดสี จนนำไปสู่ปัญหา ทำให้ไม่อยากไปโรงเรียน มีผลต่อการเรียน ความปลอดภัยของเด็ก
ส่วนการบูลลี่ในที่ทำงาน มักเกี่ยวข้องกับรูปร่าง พฤติกรรมของพนักงาน รวมถึงเรื่องชู้สาวที่มีโอกาสเกิดปัญหาคุกคามทางเพศ ผู้ที่เผชิญกับเหตุการณ์นี้ จะต้องเตรียมพร้อมรับมือ เก็บหลักฐานสำหรับชี้แจงต่อหัวหน้าสายงาน.