หลังบุกเข้าจับกุมชายที่อ้างตัวเป็น “พระบิดา” ภายในสำนักแห่งหนึ่งใน จ.ชัยภูมิ มีพฤติกรรมประหลาด ให้ลูกศิษย์รับประทานปัสสาวะ อุจจาระ เสมหะ ขี้ไคล เพื่อรักษาโรค และพบศพ 11 ศพ ถูกเก็บไว้ในพื้นที่ สร้างความตื่นตะลึง และสะอิดสะเอียน ให้กับผู้ที่เห็นภาพพิธีกรรม ซึ่งในเชิงจิตวิทยา “พฤติกรรมหมู่” สะท้อนถึงปมที่ซ่อนอยู่ก้นบึ้งภายในใจ ที่ถูกแปรเปลี่ยนมาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์
ในมุมของ “รศ.นพ.ชวนันท์ ชาญศิลป์” นายกสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย มองว่า พฤติกรรมแปลกประหลาดที่แสดงออก เกิดจากภาวะต้องการพึ่งพาผู้อื่น ที่มีอยู่ในทุกคน แต่เมื่อเป็นแล้วจะต้องวางตัวอย่างไร ไม่ให้เดือดร้อนตนเองและผู้อื่น
ภาวะนี้เกิดจากการที่บุคคลนั้น ไปเจอกับสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างหนัก หรือหาทางออกของปัญหาไม่ได้ เช่น ปัญหาสุขภาพ, แฟนทิ้ง จึงต้องไปหาที่พึ่งต่างๆ ทำให้เกิดลัทธิความเชื่อที่มักจูงใจคนที่มีจุดอ่อนนี้ ด้วยการทำให้รู้สึกมั่นคงในชีวิต และมีทางแก้ในปัญหา แม้อาการของโรคไม่หาย แต่สภาวะจิตใจกลับรู้สึกดี หลังทำพฤติกรรมนั้น
...
ในการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดภาวะนี้ ควรมีเพื่อน หรือญาติที่คอยให้คำปรึกษา เพื่อตรวจสอบสิ่งที่กำลังทำ การตัดสินใจบางอย่าง ว่าถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ เพราะถ้าเป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสมก็จะคอยเตือน ส่วนอีกแนวทาง ควรจะไปหาผู้เชี่ยวชาญเรื่องนั้นโดยตรง เพื่อปรึกษา เช่น แพทย์ท่านอื่น ที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับโรคนั้นต่างไปจากหมอที่หาอยู่เป็นประจำ
ส่วนพฤติกรรมของคนที่ตั้งต้นเป็นเจ้าลัทธิ มักมีอุปนิสัยจูงใจคนเก่ง เข้าใจความต้องการของผู้คนแต่ละแบบ หลายคนจะมีพฤติกรรมละเมิดสิทธิของผู้อื่น โดยไม่รู้ตัว ทั้งที่รับรู้ในเรื่องจริยธรรม แต่ไม่ได้สำนึกต่อพฤติกรรมการทำผิดของตนเอง
การแก้ไขปัญหานี้ในสังคมไทยได้ หน่วยงานรัฐต้องสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง ทำให้คนมีปฏิสัมพันธ์กัน และมีจุดแจ้งเหตุ หรือให้คำปรึกษาในชุมชน เพราะหลายคนเมื่อประสบภาวะนี้ ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร กรณีล่าสุดอาจไม่ใช่รายสุดท้าย แต่ในอนาคตจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในโลกโซเชียล ที่หลายคนใช้พฤติกรรมนี้ เพื่อจูงใจคนที่มีจุดอ่อน เพื่อหวังผลประโยชน์ในทางทรัพย์สินและร่างกาย จึงต้องมีการแก้ปัญหาด้านสุขภาพจิตให้เป็นระบบ.