พฤติกรรมลวนลามทางเพศผ่านคำพูด หรือการมองของ “ขาหื่น” ที่แสดงออกอย่างชัดเจน แม้ไม่ได้สัมผัส หรือทำร้ายร่างกายโดยตรง แต่ส่งผลกระทบด้านจิตใจต่อผู้ที่ถูกกระทำ ซึ่งขณะนี้หลายประเทศทั่วโลกต่างให้ความสนใจในประเด็นนี้ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในยุโรปมีการระบุโทษจำคุกอย่างชัดเจน
ขณะที่กฎหมายไทยเกี่ยวกับความผิดคุกคามทางเพศ หรือ Sexual Harassment ยังไม่มีบทลงโทษที่ชัดเจน จึงทำให้คนที่มีพฤติกรรมดังกล่าว ได้ใจและอาจนำสู่การคุกคามทางเพศในรูปแบบอื่นได้
ดร.ปราโมทย์ เสริมศีลธรรม อาจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า กฎหมายไทยยังมีความละเอียดอ่อนในประเด็น การคุกคามทางเพศ หรือ Sexual Harassment เพราะยังยึดว่า การทำอนาจารจะต้องมีลักษณะถูกเนื้อต้องตัว แต่การกระทำเพียงส่งสายตาคุกคาม เช่น ยืนจ้องหน้าอกของเหยื่อ กฎหมายยังไม่คุ้มครอง
“เคยมีฎีกาอยู่คดีหนึ่งของไทย ที่จำเลยติดกล้องไว้ใต้โต๊ะเพื่อแอบถ่ายใต้กระโปรงผู้เสียหาย น่าสังเกตว่าคดีนี้แทบจะไม่มีการแตะเนื้อต้องตัวกัน แต่ศาลตัดสินว่าเป็นการทำความผิดฐานอนาจาร นี่เป็นอีกคดีตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าศาลเองก็มีการปรับเปลี่ยนการตัดสิน แต่ในมุมของนักวิชาการยังมีการถกเถียงถึงความเหมาะสม โดยเฉพาะการตีความถึงประเด็นการอนาจารว่าเหมาะสมหรือไม่ เพราะในกฎหมายบางประเทศ ยังตีความการอนาจารว่าต้องมีการสัมผัสตัวผู้เสียหาย”
...
หลายประเทศในยุโรป มีกฎหมายคุ้มครองในประเด็นการคุกคามทางเพศ ทั้งด้วยสายตา, คำพูด เช่นอเมริกา มีโทษจำคุก แต่กฎหมายไทยไม่มีฐานความผิดนี้โดยตรง หรือถ้าจะเอาผิด มีความผิดแค่ลหุโทษ ที่ทำให้เดือดร้อนรำคาญ มีบทลงโทษไม่หนัก
แต่มีการระบุไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ที่ห้ามให้นายจ้างลวนลามลูกจ้าง ซึ่งจะเป็นประเด็นในสถานที่ทำงาน หรือระบุไว้ในระเบียบการปฏิบัติงานของราชการ ซึ่งการที่กฎหมายไม่มีบทลงโทษ จึงทำให้ผู้ที่กระทำการลวนลามได้ใจ เพราะจากคำพูดที่ลวนลาม อาจพัฒนาสู่การกระทำผิดทางเพศด้านร่างกาย ได้ในอนาคต
เช่นเดียวกับ ผศ.ดร.ธานี วรภัทร์ ผู้อำนวยการหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นถึงการถูกลวนลามทางเพศในปัจจุบัน ไม่ได้จำกัดแค่ชายกับหญิง แต่การคุกคามทางเพศ ในลักษณะเพศเดียวกันมีมากขึ้น ซึ่งในต่างประเทศ ให้ความสนใจประเด็นนี้มากขึ้น เพราะการลวนลามไม่ว่าจะรูปแบบไหน อาจนำสู่การข่มขืนกระทำชำเราได้
ในกฎหมายไทยนั้น การลวนลามด้วยคำพูด หรือสายตา ยังเป็นช่องว่างของกฎหมาย เพราะยังยึดถือว่า การกระทำผิดในเชิงอาญาจะต้องมีเหตุของการกระทำ และความผิดนั้นต้องมีกฎหมายเขียนไว้ การจะแก้ปัญหาเรื่องลวนลามได้ จะต้องแก้กฎหมายอาญา แต่ก็ต้องมีความระมัดระวัง เพราะการเพิ่มฐานความผิด ย่อมมีทั้งข้อดีและเสีย
ดังนั้นการแก้ไขในกระบวนการที่แสดงถึงพฤติกรรมที่ส่อให้เกิดการกระทำผิด จำเป็นจะต้องมีการเขียน และกำหนดให้ชัดเจนในเชิงปฏิบัติ เพื่อให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายอย่างทั่วถึง.