เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างอาสาสมัครกู้ภัย มูลนิธิสยามรวมใจ และมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง บริเวณถนนเกษมราษฎร์ หน้าห้างโลตัส สาขาพระราม 4 เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ไม่ใช่ครั้งแรก แม้ก่อนหน้านั้นมีการหาทางแก้โดยการตกลงเป็นรายกรณี แต่ในภาพรวมปัญหากลับถูก “ซุกไว้ใต้พรม” และมีการตั้งคำถามถึงผลประโยชน์ ที่ทุกหน่วยงานควรจะต้องวางกรอบ และบทโทษเชิงกฎหมายร่วมกัน
แหล่งข่าวจาก สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ให้ข้อมูลว่า แม้จะมีการจ่ายค่าชดเชยการปฏิบัติงานให้กับหน่วยกู้ภัยทุกแห่งผ่านกองทุนการแพทย์ฉุกเฉิน แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาอาสาสมัครที่รับเงินจากโรงพยาบาลได้ เนื่องจากไม่มีกฎหมายที่จะลงโทษ จึงถือเป็นต้นตอของการแย่งผู้ป่วย และการแสวงหาผลประโยชน์ของกู้ภัยที่ขาดจริยธรรม
ในส่วนเงินที่จ่ายผ่านกองทุนการแพทย์ฉุกเฉิน จะจ่ายให้หน่วยงานต้นสังกัดกู้ภัยโดยตรง แยกเป็นกรณีปฏิบัติงานขั้นพื้นฐานอยู่ที่คนละ 500 บาท แต่ถ้าเป็นการช่วยเหลือขั้นสูงอยู่ที่คนละ 1,000 บาท แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือ กระบวนการจ่ายเงินตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ที่เป้าหมายต้องการให้ผู้ประสบอุบัติเหตุได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ซึ่งจ่ายให้กับโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยเข้ารักษา
...
แต่มีบางโรงพยาบาลทำงบเบิกจ่าย ตาม พ.ร.บ. เกินกว่าค่ารักษาจริง มีการทำกันเป็นขบวนการ โดยโรงพยาบาล จะจูงใจให้อาสากู้ภัยนำคนไข้ที่ประสบอุบัติเหตุมาส่งที่โรงพยาบาล เพื่อจะได้ค่าหัว อย่างต่ำรายละ 500 1,000 1,500 1,800 บาท ซึ่งจ่ายให้กู้ภัยที่มาส่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ทำเลทอง ที่มีโรงพยาบาลเอกชนตั้งอยู่หลายแห่ง เช่น สายไหม, ทองหล่อ และ สะพานควาย
การจ่ายเงินลักษณะนี้ถือเป็นความผิดด้านจริยธรรม ทั้งฝั่งโรงพยาบาลที่จ่ายเงิน และกู้ภัยที่รับเงิน แต่ในเชิงกฎหมาย ยังไม่สามารถเอาผิดได้ ดังนั้นหากต้องการจะแก้ปัญหาความขัดแย้งของกู้ภัยในระยะยาว ควรมีกฎหมายที่ลงโทษสถานพยาบาลและกู้ภัยที่รับเงิน
“ที่ผ่านมาสามารถฟ้องร้องเอาผิดกับกู้ภัยได้แค่กรณีที่ผู้ประสบอุบัติเหตุ โทรฯ แจ้งทางโรงพยาบาล และกำลังรอรถจากโรงพยาบาลมารับ แต่มีกู้ภัยมายังจุดเกิดเหตุ และรีบนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล ที่ผู้บาดเจ็บไม่ได้ต้องการ ซึ่งกรณีนี้ผู้บาดเจ็บสามารถแจ้งฟ้องละเมิดสิทธิกับกู้ภัยได้”
อย่างกรณีล่าสุด ที่มีเหตุทะเลาะวิวาทจนมีผู้เสียชีวิต เป็นประเด็นที่น่าสงสัยว่า ทำไมกู้ภัยที่เคยอยู่กับมูลนิธิที่ดูแลในพื้นที่นั้น เมื่อถูกไล่ออก และไปทำงานกับอีกมูลนิธิ ซึ่งไม่ได้มีพื้นที่รับผิดชอบในเขตนั้น แต่พื้นที่ดังกล่าวเป็นทำเลทอง
ดังนั้นการจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างเป็นระบบ ทั้งหน่วยงานกลางที่ดูแลกู้ภัยทั่วประเทศ และหน่วยงานสาธารณสุขที่ดูแลโรงพยาบาล ควรจะต้องมาวางกรอบกฎหมายเพื่อป้องกันอย่างเป็นระบบ.