ประเด็นการถูกล่วงละเมิดทางเพศ หลายกรณีไม่ถูกแจ้งความเพื่อเอาผิดกับผู้กระทำ เนื่องจาก “เหยื่อ” เกรงกลัวต่อผู้กระทำผิด ที่มีอิทธิพลในสังคม หรือการกระทำซ้ำเติมในชั้นการสอบสวน และดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะสร้างความอับอาย จึงเป็นช่องโหว่ของกฎหมาย ที่นอกจากจะซ้ำเติม และส่งเสริมให้ผู้กระทำผิดได้ใจแล้ว ยังก่อให้เกิดภัยทางสังคม ที่ผู้ถูกกระทำจะต้องรู้เท่าทัน เพื่อหาทางป้องกัน หากเกิดขึ้นกับตัวเอง
ดร.ปราโมทย์ เสริมศีลธรรม อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุ ขณะนี้มีคดีล่วงละเมิดทางเพศที่เกิดขึ้นจำนวนมาก แต่ผู้เสียหายจะมาแจ้งความเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่อายและกลัวว่าจะมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิต เนื่องจากผู้ก่อเหตุมักเป็นคนใกล้ตัว เช่น เพื่อน, คนในครอบครัว, เจ้านายที่ทำงาน, คนที่มีชื่อเสียงในสังคม
อีกเหตุผลที่เหยื่อไม่เข้าไปแจ้งความ เนื่องจากต้องผ่านกระบวนการสอบสวนที่จะถามซ้ำๆ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เหยื่อรู้สึกเหมือนถูกข่มขืนด้วยคำพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะเดียวกันคนในสังคมก็ยังไม่ให้ความช่วยเหลือกับเหยื่อ แต่กลับมองซ้ำเติม สิ่งนี้จึงทำให้หลายคนไม่กล้าที่จะออกมาสู้คดี และในทางกลับกันก็ทำให้ผู้กระทำผิดได้ใจ ไปทำร้ายคนอื่นต่อ
...
ในเชิงกฎหมายการเอาผิดกับผู้ที่ล่วงละเมิดทางเพศแยกตามกรณีคือ 1.ข่มขืน กระทำชำเรา โดยมีการนำอวัยวะเพศกระทำต่อผู้เสียหายผ่านอวัยวะเพศ, ช่องปาก, ทวารหนัก มีโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี แต่ถ้าเป็นการกระทำต่อเด็ก จะมีโทษหนักกว่า และจะมีโทษหนักขึ้นหากมีพฤติกรรมใช้ปืนขู่บังคับ หรือรุมโทรมทั้งในผู้ชายและผู้หญิง
2.การอนาจาร เป็นการกระทำที่ไม่สมควรในทางเพศ เช่น จับหน้าอก, จับอวัยวะเพศ, กอดหอม โดยโทษในการกระทำต่อเหยื่ออายุ 15 ปีขึ้นไป จำคุกไม่เกิน 10 ปี หลายคดีเหยื่อปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปนาน กลายเป็นเรื่องยากที่จะเอาผิดได้ เพราะคดีนี้มักเกิดในที่ลับตาคน ทำให้ไม่ค่อยมีพยานบุคคลรู้เห็น หากเหยื่อไม่มีผลตรวจร่างกายหลังจากถูกข่มขืน จะทำให้คดีมีน้ำหนักน้อย
สิ่งที่ต้องทำหากตกเป็นเหยื่อคือ 1.พยายามตั้งสติ รวบรวมหลักฐาน จดจำใบหน้าผู้กระทำความผิด สังเกตว่าในพื้นที่นั้นมีกล้องวงจรปิดที่เป็นหลักฐานตรงไหนบ้าง หรือแอบแชร์โลเกชันในวัน เวลาเกิดเหตุให้กับคนที่ไว้ใจได้เพื่อเป็นหลักฐาน
2.ป้องกันตัวเอง ด้วยการทานยาคุมฉุกเฉิน และรีบไปตรวจร่างกาย เพื่อเก็บคราบอสุจิและดีเอ็นเอที่จะเป็นหลักฐานทันที ซึ่งไม่ควรกลับบ้านไปอาบน้ำทำความสะอาดก่อน เพราะจะทำให้พยานหลักฐานถูกชะล้างออกไป โดยเฉพาะคนที่เคยมีเพศสัมพันธ์มาแล้ว การตรวจร่องรอยยิ่งยากขึ้นไปอีก
3.ไปแจ้งความร้องทุกข์ ซึ่งอาจเว้นระยะเวลาได้ 2-3 วัน ขึ้นอยู่กับความพร้อมของเหยื่อ แต่ที่สำคัญควรนำเพื่อน หรือญาติที่ไว้ใจได้ไปด้วย เพราะบางครั้งขั้นตอนการสอบสวนอาจมีผลกระทบด้านจิตใจ
การแก้ปัญหาภาครัฐ ควรมีคอลเซ็นเตอร์ที่รับเรื่องร้องทุกข์เฉพาะคดีเกี่ยวกับเพศ เพื่อที่จะให้คำแนะนำ และสร้างความสบายใจให้กับเหยื่อ ซึ่งในต่างประเทศมีกระบวนการฟ้องเอาผิดผ่านระบบออนไลน์ ที่จะทำให้กระบวนการทางกฎหมายเอาผิดได้ง่ายขึ้น
...
ขณะที่ ผศ.ดร.ธานี วรภัทร์ ผู้อำนวยการหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวเพิ่มเติมกรณีผู้กระทำความผิดว่า สำหรับผู้ต้องหาที่มีความผิดปกติทางจิตเวช การบังคับใช้กฎหมายของไทย ยังไม่มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน ในการตรวจสอบความผิดปกติของผู้ต้องหา หลายกรณีเมื่อถูกคุมขัง พอออกมาก็ยังกระทำความผิดแบบเดิม
หรือบางคนมีพฤติกรรมที่หนักกว่าเดิม ซึ่งต่างจากในหลายประเทศ เมื่อถูกจับจะต้องรับการตรวจสอบสุขภาพจิตก่อน หากมีความผิดปกติจะต้องทำการรักษาขณะถูกคุมขัง แต่จะไม่มีการลดโทษใดๆ ทั้งสิ้น.