การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ที่ผ่านมาเปิดโอกาสให้กับผู้สมัครที่หลากหลาย ทั้งที่สังกัดและไม่สังกัดพรรคการเมือง มีการนำเสนอนโยบายหาเสียงและแนวทางการแก้ปัญหาในกทม. อย่างหลากหลาย จนเรียกได้ว่าเป็นตลาดนโยบายย่อมๆ
นอกจากนโยบายของผู้ที่ได้รับเลือกตั้งแล้ว บรรดาผู้ที่อาสามาทำงานเพื่อชาวกรุงเทพฯ คนอื่นๆ เคยเสนอนโยบายใดที่น่าสนใจบ้าง จากการรวบรวมของ “Rocket Media Lab”
ปรับปรุงรถเมล์ อำนวยความสะดวกคนกรุง
นโยบายด้านจราจรของผู้ที่ได้รับเลือกตั้ง มักมุ่งเน้นไปที่การรองรับรถยนต์เป็นหลัก ผู้สมัครอีกหลายคนเสนอให้ปรับปรุงระบบรถโดยสารประจำทาง ในปี 2528 โดยโอนกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ มาเป็นของกรุงเทพมหานคร และให้กรุงเทพมหานคร ดำเนินกิจการเอง โดย อดิศร อิสี และ มงคล สิมะโรจน์ ยังมีแนวคิดที่ว่า “เมื่อแก้ปัญหาจราจรแล้วรถเมล์ จะวิ่งได้มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องซื้อรถเพิ่ม แก้ปัญหาการขาดทุนด้วยการให้คนขับและกระเป๋าเช่ารถขับเอง เติมน้ำมันเอง”
...
ส่วนสมิตร สิทธินันทน์ เสนอนโยบายเชื่อมรถเมล์กับโครงข่ายคมนาคมอื่นๆ และพัฒนาเทคโนโลยีของรถเมล์ ในปี 2543 ด้านปวีณา หงสกุล พรรคชาติพัฒนา เสนอให้ “เพิ่มรถเมล์ด่วน โดยเฉพาะจุดที่มีรถไฟฟ้า”
ด้านสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทย เสนอโครงการรถเมล์ไฟฟ้า ต่อมาในปี 2556 พงศพัศ พงษ์เจริญ จากพรรคเพื่อไทย เสนอติดตั้งป้ายรถโดยสารดิจิทัลบอกเวลา เชื่อมโยงสัญญาณดาวเทียมบอกตำแหน่ง และระบบแจ้งเตือนระยะเวลาการเดินทางให้แก่ผู้โดยสาร
เปลี่ยนวิธีสัญจร แก้ปัญหาจราจร บนท้องถนน
แทนที่จะเพิ่มจำนวนถนน หรือขยายถนน เพื่อรองรับรถยนต์ที่เพิ่มมากขึ้น ผู้สมัครหลายคนเสนอให้ปรับเปลี่ยนกฎจราจรใหม่แทน ตั้งแต่ปี 2528 สมิตร สิทธินันทน์ เสนอว่า ควรแก้ปัญหาจราจร ด้วยการเปิดไฟเขียวและไฟแดงให้เท่าๆ กัน ขณะที่ผู้สมัครอีก 2 คน มงคล สิมะโรจน์ และอนันต์ ภักดิ์ประไพ เห็นตรงกันว่า ควรยกเลิกการเดินรถทางเดียว
แต่สัญชัย เตียงพาณิชย์ ที่ลงสมัครในปี 2539 กลับบอกว่า ควรเปลี่ยนทางเดินรถเป็นแบบเดินรถทางเดียว ส่วนวินัย สมพงษ์ ลงสมัครในปี 2543 เสนอให้มีการจัดตั้งอาสาสมัครจราจรอำนวยความสะดวกในจุดที่มีการจราจรแออัด
...
สารพัดวิธี อยู่ร่วมกับหาบเร่แผงลอย
ผู้สมัครแต่ละคนมีมุมมองต่อเรื่องนี้ต่างกัน บางคนมองว่าไม่ควรปล่อยให้มีการค้าขายบนทางเท้าได้เลย และเสนอให้กำจัดโดยเด็ดขาด เช่น สมิตร สิทธินันทน์ จะให้จับกุมเจ้าของอาคารที่ยอมให้หาบเร่แผงลอย มาวางขายหน้าอาคารของตนเอง ขณะที่ผู้สมัครในสมัยเดียวกันอย่างมงคล สิมะโรจน์ เลือกที่จะจัดระเบียบด้วยการขยายความกว้างของสะพานลอยคนข้ามจากเดิม 2 เมตรเป็น 6 เมตร โดยเก็บค่าที่ มาเป็นงบประมาณสร้างสะพานลอย
ส่วนการเลือกตั้งในปี 2533 เดโช สวนานนท์ เห็นว่าควรขึ้นทะเบียนพ่อค้าแม่ค้า มีจุดที่จัดให้ขายอาหาร โดยมีซุ้มทำอาหารและที่นั่งให้ผู้ขาย 8-10 รายมาเป็นผู้ประกอบการ
นโยบายที่มาก่อนกาล ทันสมัยในเวลานี้
แม้หลายนโยบายอาจไม่ได้รับความสนใจในช่วงที่ผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป หลายข้อเสนอนับว่าทันสมัยในเวลานี้ เช่น การกระจายกิจกรรมทางเศรษฐกิจในกรุงเทพฯ ชั้นในออกไปยังชานเมือง เพื่อลดปัญหาการกระจุกตัวของประชากร ซึ่งเดโช สวนานนท์ เคยเสนอในปี 2533 ว่าควรตั้งโรงงานขนาดเล็กและที่อยู่อาศัยที่ชานเมือง
ขณะที่อากร ฮุนตระกูล ที่ลงเลือกตั้งในปี 2539 เสนอให้ลดภาษีให้บริษัทที่ลงทุนในต่างจังหวัด สร้างงานในต่างจังหวัด ลดความแออัดในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังเสนอว่า ควรนำที่ดินที่รัฐเป็นเจ้าของมาทำประโยชน์ให้ประชาชนส่วนรวม ไม่ใช่ให้เอกชนเช่า รวมทั้งการจัดสรรงบ 1,000 บาทต่อคน เพื่อพัฒนาชุมชน แนวคิดเหล่านี้ถูกหยิบยกมาพูดถึงในปัจจุบันว่าเป็นส่วนหนึ่งของการลดความเหลื่อมล้ำ กระจายความเจริญออกจากศูนย์กลาง และเป็นสวัสดิการสังคม
...
หรือเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ลงสมัครเมื่อปี 2551 เสนอให้สร้าง Metro Port (Park & Work) สถานที่ทำงานไฮเทคสี่มุมเมือง จอดรถแวะทำงานได้ ไม่ต้องเสียเวลาเข้าเมือง หยุดรถเข้าเมืองได้ 100,000 คัน ซึ่งก็ตรงกับในยุคปัจจุบันที่นิยมทำงานในร้านกาแฟ หรือโคเวิร์กกิ้งสเปซ แทนการทำงานในสำนักงานแบบเดิม
...
จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า นโยบายของผู้สมัครที่ได้รับเลือกตั้งและไม่ได้รับเลือกตั้งหลายเรื่อง ไม่แตกต่างกันมากนัก และมีข้อเสนอคล้ายกัน เช่น นโยบายที่ว่าจะขยายขนส่งมวลชนและเชื่อมโยงโครงข่ายการเดินทาง ทางบก น้ำ และทางเดินเท้าของอภิรักษ์ โกษะโยธิน ในปี 2551 ก็คล้ายกับนโยบายของประภัสร์ จงสงวน ที่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง
หรือการผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองท่องเที่ยวเพื่อสร้างรายได้ให้กับกรุงเทพฯ ของอภิรักษ์ ก็ตรงกับนโยบายหาเสียงของเกรียงศักดิ์
ในแง่นี้อาจกล่าวได้ว่า ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. อาจจะไม่ได้มาจากเรื่องนโยบายเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงความนิยมในตัวบุคคล ภาพลักษณ์ ทีมทำงาน พรรคการเมืองที่สังกัด ฯลฯ ที่อาจมีผลพอๆ กับนโยบาย
สิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นแล้ว ในยุคของจำลองในสมัยแรก แม้จะนำเสนอนโยบายไม่มากนัก แต่ก็ได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น หรือแม้แต่การนำเอาประเด็นทางการเมืองมาหาเสียงในยุคของสุขุมพันธุ์ บริพัตร มาพร้อมประโยคที่ว่า “ไม่เลือกเราเขามาแน่”.
