โควิดระบาดในไทยตั้งแต่ปี 2563 กำลังจะเข้าสู่โหมดโรคประจำถิ่นภายในปี 2565 จากเป้าหมายของกระทรวงสาธารณสุข ภายหลังคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีมติเห็นชอบ และคาดกันว่า “โอมิครอน” สายพันธุ์ย่อย BA.2 จะเป็นตัวปิดเกมการระบาดของโควิด อันยาวนานมากว่า 2 ปี แต่ฝั่งผู้ไม่เห็นด้วย เกรงว่าโอมิครอนจะกลายพันธุ์เพิ่มขึ้นมากกว่า
การที่โควิดจะเป็นโรคประจำถิ่น ต้องขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ที่ว่า 1.ผู้ป่วยโควิดรายใหม่ ต้องไม่เกิน 10,000 คนต่อวัน 2.อัตราป่วยเสียชีวิต ไม่เกิน 1 ต่อ 1,000 คน 3.การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล น้อยกว่า 10% และ 4.ประชาชนมีภูมิต้านทานเพียงพอ โดยกลุ่มเสี่ยงสูงต้องได้วัคซีนอย่างน้อย 2 โดส มากกว่า 80%
สถานการณ์โควิดตั้งเเต่ปี 2563 ถึง 12 ก.พ. 2565 มีผู้ติดเชื้อสะสม 2,577,445 คน รักษาหายแล้ว 2,436,540 คน เสียชีวิตรวม 22,412 ศพ คิดเป็น 0.87% ส่วนผู้ได้รับวัคซีนใน 77 จังหวัด ตั้งแต่ 28 ก.พ. 2564 ถึง 11 ก.พ. 2565 รวม 119,839,876 โดส แยกเป็นเข็มที่ 1 สะสม 52,767,824 คน หรือ 73.25% ของประชากร เข็มที่ 2 สะสม 49,172,807 คน หรือ 68.26% ของประชากร และเข็มที่ 3 สะสม 17,890,245 คน
...
หรือแม้แต่ประเทศในยุโรป มีผู้ติดเชื้อรายใหม่วันละกว่าแสนราย ยกตัวอย่างสเปน ติดเชื้อวันละ 2-3 หมื่นราย แต่ประกาศจะเริ่มผ่อนคลายมาตรการอย่างเต็มที่ ตามแนวทางหลายประเทศทั่วโลกกำลังจะปรับโควิดเป็นโรคประจำถิ่น ทำให้ที่ผ่านมา คำว่า “Endemic” ถูกค้นหาในกูเกิลมากที่สุดในโลก ขณะที่บูรไน เป็นชาติแรกของโลก ประกาศให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่นตั้งแต่ 15 ธ.ค. 2564 แต่การรักษาพยาบาล และตรวจหาผู้ติดเชื้อ ยังคงดำเนินการต่อไป
ฟากของ องค์การอนามัยโลก ยืนยันการระบาดใหญ่ของโควิด ยังไม่จบสิ้น และเร็วเกินไปที่จะบอกว่าวิกฤติใกล้จะถึงจุดจบ เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน โควิดจะยังไม่ไปจากเรา หากโอมิครอนยังคงกลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ทำให้ขณะนี้ยังไม่ถึงจุดที่จะบอกว่าโควิดเป็นโรคประจำถิ่น อีกทั้งโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 ติดต่อได้ง่ายกว่าเดิม และในอีกไม่ช้าจะพบมากขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก
โอมิครอน ขาขึ้น ยังไม่ถึงเวลาประกาศเป็นโรคประจำถิ่น
สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิดในไทย ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่จะประกาศให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่นภายในปี 2565 นี้ “รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์” ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นว่า ขณะนี้ไทยยังไม่ถึงเวลาจะประกาศให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น เพราะการระบาดของโควิดยังไม่ซาลง และจากการติดตามสถานการณ์ทั่วโลก พบว่า โควิดสายพันธุ์โอมิครอนได้ระบาดไล่ตามทวีปต่างๆมาอย่างต่อเนื่อง จากทวีปแอฟริกามายุโรป จนมาถึงเอเชีย ทำให้ขณะนี้เป็นช่วงเริ่มต้นของการระบาดในเอเชีย และเพิ่งเข้ามาระบาดในไทยเมื่อปลายปี กำลังเข้าสู่ช่วงขาขึ้นในขณะนี้
“เพราะธรรมชาติของการระบาด จะเป็นระลอกเดียว และโอมิครอนระบาดในเอเชีย รวมทั้งไทย อยู่ในช่วงขาขึ้น ตรงข้ามกับทวีปอื่นแทบทุกทวีปเข้าสู่ขาลง การที่ไทยจะประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่น คงไม่ใช่ในเวลานี้ แต่ในอนาคตไม่แน่”
แม้ว่าคำจำกัดความที่เป็นสากลของโรคประจำถิ่น ยังไม่มีมาตรฐานชัดเจน แต่โรคประจำถิ่นต้องเป็นโรคที่คนคุ้นเคย ทำให้รู้จักวิธีป้องกันและดูแลรักษา และสิ่งสำคัญต้องรู้ธรรมชาติการระบาดของโรคว่าส่วนใหญ่จะระบาดและปะทุหนักในช่วงใด เช่น ในหน้าหนาว หรือหน้าฝน จะต้องสามารถคาดการณ์ได้ว่าจะปะทุเท่าไร และช่วงไหน เพื่อการป้องกัน
...
อย่างพื้นที่ จ.ตาก และ จ.กาญจนบุรี ของไทย มีโรคมาลาเรียอย่างชุกชุม จะต้องมีวิธีป้องกัน หรือภาคอีสาน มีโรคฉี่หนู โรคพยาธิใบไม้ในตับ ซึ่งคนคุ้นเคยมานาน ทำให้รู้วิธีป้องกัน รู้อัตราการเกิดโรคจะปะทุเมื่อใด และต้องประกาศสถานการณ์รุนแรง หากปะทุหนักเกินความคาดหมาย
โรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำได้ โควิดไม่กระจอก กลายพันธุ์แน่
อีกสิ่งที่กังวลเกรงว่าโอมิครอนอาจมีการกลายพันธุ์ เพราะยังไม่รู้จักไวรัสตัวนี้ดีพอ ดังนั้นการจะประกาศเป็นโรคประจำถิ่น คงเร็วเกินไป และการกลายพันธุ์ของโควิดมีแน่นอนอยู่แล้ว เมื่อเข้าไปอยู่ในตัวคน หรือสัตว์ จะเกิดการแบ่งตัว ซึ่งมนุษย์ต้องติดตามให้ทันท่วงที อย่าตั้งอยู่ในความประมาท มองว่าโควิดกระจอก
“หากปะทุขึ้นมาจะไปเร็วโดยไม่รู้ตัว อย่างช่วงแรกที่โควิดเริ่มปะทุในอู่ฮั่น กระทั่งทั่วโลกเริ่มตื่นตัวในการรับมือ จนมาเจอโอมิครอน ต้องขอบคุณผู้เกี่ยวข้องในแอฟริกาที่ออกมาเตือนทันทีที่มีการระบาด ทำให้ทั่วโลกเรียนรู้ได้เร็ว และอย่าตั้งอยู่ในความประมาทอย่างเด็ดขาด เพราะโรคอุบัติใหม่ สามารถอุบัติซ้ำ เกิดขึ้นได้เสมอ”.
...