ราคาน้ำมันพุ่ง ส่งผลให้สินค้าอุปโภคบริโภคหลายรายการแพงขึ้นตาม จากต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น แต่ค่าแรงขั้นต่ำต่อวันของไทยยังคงเดิม อยู่ที่ 313-336 บาท ไม่มีการปรับขึ้นเป็นเวลา 2 ปี นับตั้งแต่ 1 ม.ค. 2563 โดยพื้นที่ จ.ชลบุรี และ จ.ภูเก็ต ค่าแรงสูงสุด 336 บาท ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ค่าแรง 331 บาท
หนำซ้ำการระบาดของโควิดได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ทำให้รายได้ลดลง ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายสารพัดที่สูงขึ้น จนคนทั่วประเทศต่างลำบากเดือดร้อนหนัก เพราะพิษของแพงทั้งแผ่นดิน แม้มีมาตรการแบ่งเบาภาระของรัฐบาล แต่ทำได้เพียงระยะสั้นเท่านั้น
ความหวังตัวเลขค่าแรงขั้นต่ำจะปรับมาเป็น 492 บาท ให้เป็นอัตราเดียวกันทั่วประเทศ ตามที่คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยและสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ได้มีการยื่นข้อเสนอไปยังรัฐบาล อาจลางเลือนเป็นไปได้น้อยมาก เพราะฝ่ายนายจ้างต่างไม่เห็นด้วย และสิ่งที่พรรคพลังประชารัฐเคยให้สัญญาในช่วงหาเสียง จะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400-425 บาท ผ่านมากว่า 3 ปี ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
...
ค่าแรงขั้นต่ำ 492 บาท ไม่เหมาะในยุคโควิดระบาด
การปรับขึ้นอัตราค่าแรงขั้นต่ำ อาจมีการพิจารณาล่าช้าจากหลายปัจจัย แต่ต้องมีการปรับขึ้นอย่างแน่นอน ส่วนตัวเลขที่เหมาะสมกับสถานการณ์ขณะนี้ควรเป็นจำนวนเท่าใด เพื่อไม่ให้ผู้คนได้รับผลกระทบ ในมุมมองของ “ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์” ผู้อำนวยการวิจัยด้านแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ เห็นว่า ข้อเสนอให้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 492 บาท ก็เท่ากับปรับขึ้น 33% จากเดิม เป็นผลสำรวจเก่า ไม่ได้อิงสถานการณ์ในปัจจุบัน และยอมรับว่าค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 กว่าบาท ทำอะไรไม่ได้เลยในขณะนี้ แต่ยังไม่ใช่เวลาจะปรับขึ้นตามตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เนื่องจากโควิดระบาด และสายพันธุ์โอมิครอนกำลังสร้างปัญหา อาจต้องรออีก 2 ปี
หากมองการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ หรือค่าจ้าง ในแง่ทฤษฎี ต้องยอมรับว่าประเทศไทย ไม่ได้ปรับขึ้นเพื่อให้ฐานะของคนสามารถดูแลครอบครัวได้ ยังเป็นกฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำที่ไม่ได้แก้ไขมานาน และเผอิญโชคไม่ดีมาเจอโควิดระบาดหนัก ทำให้ช่วง 2 ปีมีคนตกงานไม่ต่ำกว่าล้านคน หรือประมาณ 2 ล้านคน โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีได้ล้มหายตายจากเป็นจำนวนมาก จนคนจำนวนมากกลับบ้านเกิดไปทำอาชีพเกษตร และนักศึกษาจบใหม่กว่าครึ่งไม่มีงานทำ
“กลายเป็นประเด็นที่ว่า ถึงเวลาต้องปรับขึ้นค่าจ้างแล้วหรือไม่ แม้เมื่อ 4 ปีที่แล้วเคยเสนอให้ปรับขึ้นแบบอัตโนมัติ ให้สะท้อนภาพจากเงินเฟ้อ ถ้าเงินเฟ้อขึ้นต่ำก็ปรับขึ้นต่ำ ถ้าเงินเฟ้อสูงก็ขึ้นสูงตาม แต่เมื่ออำนาจในการซื้อได้ตกไป ต้องแก้ปัญหาด้วยการช่วยเหลือคนกำลังตกงานไปก่อน เพราะปี 63 จีดีพีติดลบ 6.1% มาปี 64 ดีขึ้น บวก 2.5-3.5% และปีนี้น่าจะดีขึ้น คาดหวัง 3% กว่าๆ หรือรอดูจีดีพีอย่างน้อยไปอีก 3 ปี ให้เท่ากับปี 62 นั่นหมายความว่าจะเป็นภาระของรัฐบาลในการใช้เงินกู้และเก็บภาษีเพิ่มในการกระตุ้นเศรษฐกิจ”
...
ข้อเสนอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 4-5 บาท รอธุรกิจปรับตัว
หรือกรณีเงินเฟ้อขึ้น 5% ก็สามารถปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำได้ครึ่งหนึ่งของอัตราเงินเฟ้อ หรือประมาณ 2-2.5% ใน 10 กลุ่มจังหวัดในแต่ละจังหวัด เฉลี่ยปรับขึ้น 4-5 บาทไปก่อน ในช่วงธุรกิจกำลังปรับตัว ขณะที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ไม่น่ามีปัญหา เพราะปรับตัวไปแล้ว ไม่ได้เป็นประเด็น ยกเว้นธุรกิจขนาดเล็ก เพราะหากปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 33% ซึ่งเป็นอัตราที่มาก จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้นแล้วหากจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 492 บาทต่อวัน ต้องเป็นในช่วงภาวะปกติ และต้องยอมรับว่าขณะนี้ทุกฝ่ายเดือดร้อนทั้งลูกจ้างและนายจ้าง และอยู่ด้วยกันด้วยใจให้พอมีรายได้ หากมีการปรับขึ้นในอัตราที่สูง จะยิ่งไปกระตุ้นให้นายจ้างต้องปล่อยลูกจ้างไปในที่สุด
“เงินเฟ้อที่สูงขึ้นส่วนหนึ่งมาจากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาล ในการใช้เงินกู้ไป 6-7 หมื่นล้านบาท ยิ่งไปกระตุ้นให้เงินเฟ้อ ทำให้สินค้าราคาขยับอย่างไม่เกรงอกเกรงใจกัน เพราะรู้ว่ามีคนช่วยจ่ายครึ่งหนึ่ง จะยิ่งเหมือนผีซ้ำด้ำพลอย และแม้มาตรการของรัฐแค่ระยะสั้น แต่เมื่อขึ้นสินค้าไปแล้ว ไม่ได้ลดลงตาม ราคาขึ้นแล้วขึ้นเลย ทำให้คนจำนวนมากอยู่ในภาวะแบกรับค่าครองชีพสูง”
...
การจะอิงทฤษฎีเหมือนปี 2540 ช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง มีคนกลับไปต่างจังหวัด และเมื่อกลับมากรุงเทพฯยังมีงานทำ แต่สถานการณ์โควิด เมื่อกลับไปบ้านเกิดแล้ว จะให้กลับมาทำงานในกรุงเทพฯ เหมือนเมื่อก่อนคงยาก ต้องรออีก 2 ปี หวังว่าโอมิครอนจะจบ ไม่มีโควิดกลายพันธุ์อีก ซึ่งช่วงนี้ธุรกิจจะต้องบริหารความเสี่ยง และก็เห็นใจแรงงานที่เดือดร้อน โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบที่ได้รับผลกระทบ 2 เท่าตัว หรือประมาณ 2 ล้านคน และจะกระทบคนอีก 20 ล้านคน ต้องแบกรับภาระค่าครองชีพที่สูงตามมาในที่สุด.