ผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมทางทะเล รวมถึงวิถีชุมชน ยังไม่สามารถประเมินได้ จากเหตุน้ำมันรั่วบริเวณมาบตาพุด จ.ระยอง แม้ผ่านมากว่า 7 วัน ตั้งแต่คืนวันที่ 25 ม.ค. และยังคงเฝ้าระวัง ไม่ให้คราบน้ำมันเข้าชายฝั่งอ่าวพร้าว ในหมู่เกาะเสม็ด
แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วต่อการทำมาหากินในจ.ระยอง ทำให้ร้านค้าขายอาหารทะเลแทบไม่ได้ และบรรดารีสอร์ตที่พักถูกยกเลิกเป็นส่วนใหญ่ จากข้อมูลข้อเท็จจริงไม่มีรายละเอียดอย่างชัดเจน เกิดความสับสนตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุโดยเฉพาะปริมาณน้ำมันที่รั่วไหล ทำให้การแก้ไขอาจไม่ทันท่วงที
พร้อมคำถามเกี่ยวกับปริมาณการใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมันให้จมสู่ใต้ทะเล เพื่อการประเมินความเสี่ยงการปนเปื้อนของสารพิษตามแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำ และแนวปะการัง ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบนิเวศ โดยเฉพาะการทำประมงพื้นบ้าน อาจมีการปนเปื้อนสารก่อมะเร็ง
กลุ่ม Polycyclic Aromatic Hydrocarbons (PAHs) หากผู้บริโภครับสารอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นพิษต่อระบบร่างกายได้
เหตุการณ์น้ำมันรั่วครั้งนี้ คงไม่ต่างจากปี 2556 และอาจรุนแรงกว่า ในการสร้างหายนะต่อระบบนิเวศ วิถีชุมชนเศรษฐกิจ การประมง และสุขภาพ จากความกังวลของหลายฝ่าย นำไปสู่การร่วมหาทางออกของเครือข่ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย Thai Climate Justice for All (TCJA) ร่วมกับมูลนิธิบูรณะนิเวศ และกรีนพีซ ประเทศไทย เพื่อการขับเคลื่อนที่ยั่งยืนและเป็นธรรม
...
หวั่นสารก่อมะเร็ง ปนเปื้อนระบบนิเวศ-ห่วงโซ่อาหาร
ในแง่ผลกระทบจากสารพิษ แม้จะต้องใช้เวลาในการศึกษา “ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์” ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมยุทธ สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ ได้หยิบยกเหตุน้ำมันรั่วในปี 2556 จากการเก็บตัวอย่างดินนำมาสกัดโดยทางวิทยาศาสตร์ พบสารก่อมะเร็ง PAHs หรือ Polycyclic Aromatic Hydrocarbons ตกค้างอยู่ในน้ำมันดิบที่มีปริมาณมหาศาล จะปนเปื้อนสิ่งแวดล้อมอย่างแน่นอน
ผลการวิเคราะห์สารก่อมะเร็ง พบว่ากระจุกตัวอยู่ที่อ่าวพร้าว หลังมีการรั่วไหลของปิโตรเลียม และแม้เวลาจะผ่านไปก็ตาม และยังพบในอ่าวลุงดำ อ่าวช่อ และอ่าวน้อยหน่า หรือครั้งล่าสุด จะเกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งนักวิชากังวลมากต่อสารพิษก่อมะเร็ง
“การใช้สารเคมีกำจัดคราบน้ำมันดิบ คิดว่าจะจบแต่ไม่น่าจะจบ อย่างกรณีเม็กซิโก มีผลในระยะยาวต่อแพลงก์ตอน และกระทบในแง่สุขภาพ ซึ่งไทยยังขาดแผนในการจัดการทางโครงสร้าง ต้องมีการจัดการทั้งระบบเหมือนในต่างประเทศ ต้องรื้อโครงสร้างใหม่ทั้งหมด”
ขณะที่ “รศ.ดร.เรณู เวชรัชต์พิมล” นักวิชาการอิสระด้านสิ่งแวดล้อม และมลพิษอุตสาหกรรม ตั้งคำถามว่า ทำไมน้ำมันถึงรั่วในท่อ และต้องลงไปปิดวาล์ว เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะโรงงานเหล่านี้ต้องทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามมาตรการเพื่อป้องและลดผลกระทบ ภายใต้การดูแลของสำนักนโยบายและแผนพลังงาน นอกจากนี้หน่วยงานราชการจะตรวจสอบได้ ในการนำเข้าน้ำมัน และจะทราบถึงปริมาณน้ำมันที่รั่วออกมา
การป้องกันความเสี่ยงจะเกิดน้ำมันรั่วอีก ควรมีระบบป้องกันไม่ให้เกิดน้ำมันรั่วซ้ำรอย และประชาชนควรเข้าถึงข้อมูลกรณีได้รับผลกระทบ และทำไมต้องใช้สารเคมีเพื่อแค่กำจัดคราบน้ำมันเท่านั้น ซึ่งยังมีพิษต่อสัตว์น้ำ หรือแม้น้ำมันดิบที่รั่วครั้งนี้ เป็นประเภทโมเลกุลไม่ยาว ระเหยง่ายไม่เหมือนครั้งที่แล้ว และได้หายไปเกือบ 60% แต่ยังเป็นห่วงสารพิษจากเบนซินยังหลงเหลือ จะกระทบห่วงโซ่อาหาร
“ทำไมน้ำมันรั่วครั้งนี้ มีการขอความช่วยเหลือจากสิงคโปร์ และทำไมพื้นที่ซึ่งมีสองโรงกลั่นไม่สามารถช่วยกันได้ และเห็นการใช้ทุ่น ในช่วงหลังๆ อยากเรียกร้องถ้าการขนส่งทางท่อ ถ้าไม่พร้อมก็ควรหยุดไปก่อน เพราะคนไม่อยากได้เงินชดเชยเยียวยา แต่อยากทำมาหากินมากกว่า อีกอย่างเป็นพื้นที่อีอีซี ทำให้ยิ่งกังวลใจมาก ควรให้ความสำคัญในการแก้ปัญหามากกว่านี้ เพราะการพัฒนาต่างๆ ได้ทำลายล้างสิ่งแวดล้อม”
...
หายนภัยอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ครั้งรุนแรงที่สุด
เช่นเดียวกับ “เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง” ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ระบุได้ติดตามสถานการณ์พอสมควร และส่งทีมงานเก็บข้อมูล ถ้าเทียบกับปี 2556 รู้สึกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้น่าจะเป็นหายนะ จากภัยของอุตสาหกรรมปิโตรเลียมครั้งที่รุนแรงที่สุด เชื่อว่ามีการใช้สารเคมีสลายคราบน้ำมันสูงมาก เพราะปริมาณน้ำมันที่รั่วไหลสูง โดยครั้งนี้บริษัทเปิดเผยข้อมูลไม่ครบถ้วน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปกปิดข้อมูล จากน้ำมันรั่ว 4 แสนลิตร แต่ภายหลังระบุน้อยกว่านี้ โดยใช้เวลานานในการกำจัดคราบน้ำมัน
สิ่งที่อยากเรียกร้อง ขอให้มีการให้ข้อมูลปริมาณน้ำมันที่เป็นจริง เพราะขณะนี้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในข้อมูล อยากให้รัฐบาลออกมายอมรับ และบริษัทออกมาแถลงอย่างตรงไปตรงมา โดยเมื่อปี 2556 เคยเสนอให้มีคณะกรรมการในการสอบสวนข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย และเพื่อจ่ายเงินเยียวยาที่เหมาะสม แต่กลับมีแต่กรรมการมาจากฝ่ายปิโตรเลียม ส่งคนเข้ามา และจากบทเรียนปี 2556 ทำให้ได้รับค่าเยียวยาอย่างไม่เป็นธรรม เป็นปัญหาใหญ่ของไทย เมื่อเวลาเกิดปัญหาไม่มีกลไกตรวจสอบ
...
นอกจากนี้การให้ข้อมูลที่เป็นจริง จะสร้างความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะบริษัทผู้ถือหุ้น ซึ่งระบบโครงข่ายท่อน้ำมันกลางทะเล อาจเกิดรอยรั่วจากท่อที่ผุกร่อน และคาดว่าน้ำมันรั่วครั้งนี้ จะกระทบอุตสาหกรรมประมงและท่องเที่ยวอย่างรุนแรง ทั้งสัตว์หน้าดิน นอกเหนือจากปะการัง ดังนั้นเมื่อไทยมีโรงกลั่นมาก ถึงเวลาต้องลงทุนซื้อเรือสกิมเมอร์ และซื้อบูมหรือทุ่น
ส่วนการประเมินผลกระทบสารเคมีต้องใช้เวลาศึกษา โดยรัฐบาลอย่าเดินตามภาคเอกชน เพราะไม่ต้องการเห็นอุบัติภัยลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก จากความไม่มืออาชีพ ควรลงทุนเพื่อความปลอดภัย เพื่อประชาชนและระบบนิเวศ
“ธารา บัวคำศรี” ผู้อำนวยการกรีนพีซ ประเทศไทย ระบุหายนะน้ำมันรั่วในไทย ยังขาดวิทยาศาสตร์พลเมือง ในการมีส่วนร่วมของสาธารณชนในการตรวจสอบ ตามคู่มือองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐฯ (NOAA) แม้ไม่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ก็ตามในการหาข้อมูลน้ำมันรั่วไหลบนผิวทะเล และจากข้อถกเถียงน้ำมันรั่วครั้งนี้ จะสามารถคำนวณได้จากคราบน้ำมันที่ปกคลุมผิวทะเล
หากความหนาจากคราบน้ำมัน 1 ไมครอน ก็เท่ากับ 1 ลูกบาศก์เมตร หากคราบน้ำมัน 5 ไมครอน ประเมินปริมาณน้ำมันก็น่าจะเท่ากับ 58,250 ลิตร จากพื้นที่ 47 ตร.กม.ตามภาพถ่ายของจีสด้า หรือ 1 ไมครอน น่าจะราว 5 หมื่นลิตร ขณะเข้าหาดแม่รำพึง แต่ไม่ว่าน้ำมันรั่วไหลเท่าใด จะส่งผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างแน่นอน
...
น้ำมันรั่ว ปี 56 ผ่านไป 9 ปี ชีวิตชาวบ้านไม่ดีขึ้น
แง่มุมกฎหมายในการปกป้องสิทธิ “ส.รัตนมณี พลกล้า” หนึ่งในทีมทนายความ เคยช่วยชาวบ้านเมื่อปี 2556 ในการสืบพยานในชั้นศาล ระบุปริมาณน้ำมันที่รั่วไหลสำคัญมากในการพิสูจน์ และในครั้งนี้จากภาพจีสด้า น่าจะมีปริมาณน้ำมันมากกว่าปี 2556 ซึ่งครั้งนั้นอย่างน้อย 5 หมื่นลิตร และใช้สารเคมีหลายหมื่นลิตร สมมติใช้สารเคมี 1 หมื่นลิตร ก็เท่ากับมีปริมาณน้ำมัน 1 แสนลิตร ซึ่งทางกรมควบคุมมลพิษ มีข้อมูลในเรื่องนี้
เนื่องจากปริมาณน้ำมันเชื่อมโยงกับสารเคมีในการสลายคราบ และกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการรายงานในการบำรุงรักษาอุปกรณ์ ซึ่งน้ำมันรั่วครั้งที่แล้วไม่ใช่เฉพาะชาวประมง ยังมีผู้ประกอบการอื่น จากกิจกรรมต่อเนื่องทั้งการประมง ร้านค้า และกิจการท่องเที่ยว ได้รับผลกระทบ และแม้ได้เงินชดเชย แต่น้ำมันและสารเคมีไปตกอยู่ตามเกาะแก่งหิน ต้องมีการฟื้นฟูเป็นเวลานาน
“ผ่านไป 9 ปี ชีวิตชาวบ้านไม่ดีขึ้น ไม่มีอะไรที่ชัดเจนจากคณะกรรมการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน หรือ กปน. เท่าที่ควร และประเทศไทยจะต้องเจอภาวะแบบนี้อีกเท่าไร เรื่องการแก้ปัญหาต้องทำอย่างไร ควรใช้ปราชญ์ชาวบ้านในการร่วมทำแผน ต้องใช้หลักการวิชาการและการปกครองมาช่วยกัน และฟังเสียงประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างไร ในการแก้ปัญหา รัฐต้องเคารพสิทธิมนุษยชนในการเยียวยา โดยเฉพาะการฟื้นฟู”
ที่ผ่านมายอมรับว่ากฎหมายในไทยมีจำนวนมาก มีการตีความคนละแบบ และการเยียวยาไม่ได้เกิดขึ้นจริง ไม่ถูกต้อง ไม่อยากให้ผลักภาระให้ประชาชนรับผิดชอบ โดยหน่วยงานรัฐต้องเข้ามาดูแล และการตั้งกรรมการเข้ามามีส่วนตรวจสอบ นำไปสู่การแก้ปัญหาให้ถูกต้องถูกจุด ไม่ได้ซุกให้อยู่ใต้พรม เหมือนใช้สารเคมีให้จมใต้ทะเล ไม่อยากให้ครั้งนี้ถูกปิดบังข้อมูล โดยชาวบ้านจะต้องเข้ามาช่วยดูแล
ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี นักวิชาการด้านพลังงาน กล่าวว่า รู้สึกแปลกใจกับเหตุน้ำมันรั่ว ซึ่งเพิ่งเกิดไม่กี่ปี กระทั่งเกิดเหตุครั้งนี้ดูเหมือนไม่มีการเตรียมพร้อม ไม่มีบทเรียนในการใช้สกิมเมอร์เหมือนทุ่นลอย ลงไปดูดน้ำมัน ควรมีเรือสกิมเมอร์ ในการดึงน้ำมันออกจากทะเลให้มากที่สุด แต่กลับใช้สารเคมีไปก่อน ซึ่งไม่น่าถูกต้อง เพราะสารเคมีมีผลต่อตัวอ่อนปะการัง มีผลต่อระบบนิเวศในทะเล
“ไทยใช้วิธีการเหมือนไม่คุ้นเคย ทั้งที่มีบทเรียนไปแล้ว และตั้งข้อสังเกตรัฐไปฟังจากบริษัทน้ำมันมากกว่า จริงๆ ควรทำงานราบรื่นกว่านี้ มีข้อมูลที่โปร่งใส กระทั่งในที่สุดน้ำมันก็ขึ้นฝั่ง ถึงวันนี้ต้องจริงจังสักที ขอให้ครั้งนี้ไม่ให้จบไปแบบง่ายๆ ทำให้ชาวบ้านต้องรับผลกระทบรวมถึงคนทั้งประเทศ”.