• นับตั้งแต่การระบาดของโควิด และการเข้ามาของ "โอมิครอน" ทั่วโลกพบกับความท้าทายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความพยายามในการควบคุมการระบาดของโรค ผ่านมาตรการต่างๆ การเร่งพัฒนาวัคซีนและยาต่างๆ

  • รวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากรสาธารณสุขที่มีอย่างจํากัด และการประคับประคองเศรษฐกิจ ให้ยังคงเดินหน้าต่อไป ท่ามกลางความวุ่นวายโกลาหลเหล่านี้ หลายครั้งทําให้ผลกระทบของโควิด ส่งผลต่อสภาพจิตใจ ซึ่งได้ถูกมองข้ามไป

  • แต่ความบาดเจ็บทางจิตใจ จากวิกฤติโรคระบาดนั้น ได้เริ่มสั่งสมในสังคมตั้งแต่แรกเริ่มของการระบาด และจะเป็นสิ่งที่ยังคงเหลือต่อไป แม้จะควบคุมการระบาดได้แล้วก็ตาม

ความเหงา ส่งผลต่อสุขภาพกาย-จิตใจ เสี่ยงฆ่าตัวตาย

“รศ.ดร.มนสิการ กาญจนะจิตรา” สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบทางจิตใจที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี จากการระบาดของโควิด ได้แก่ ความเครียด ความกังวล และความเหนื่อยล้า แต่มีอีกผลกระทบหนึ่งที่สําคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ ความเหงา ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อความสัมพันธ์ทางสังคมที่บุคคลหนึ่งมีในขณะนั้น อยู่ในระดับต่ำกว่าที่บุคคลนั้นต้องการ

รศ.ดร.มนสิการ กาญจนะจิตรา
รศ.ดร.มนสิการ กาญจนะจิตรา

...

“หมายความว่า ความเหงาจะเกิดขึ้นเมื่อคนคนหนึ่งรู้สึกว่าปฏิสัมพันธ์ที่ตนเองมีกับผู้อื่นยังน้อยเกินไป เมื่อเทียบกับความต้องการ ซึ่งหมายความว่า คนที่อยู่คนเดียวไม่ได้จําเป็นต้องเหงาเสมอไป หากคนนั้นพอใจในระดับความสัมพันธ์ทางสังคมที่มี และในทางกลับกัน คนที่อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ก็อาจรู้สึกเหงาได้เช่นกัน”

ความเหงาส่งผลต่อสุขภาพทั้งกายและจิตใจมากกว่าที่คิด เพราะการศึกษาจํานวนมากชี้ให้เห็นว่าความเหงามีความเกี่ยวข้องกับโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล โรคหัวใจ การใช้แอลกอฮอล์และสารเสพติด ความรุนแรงในครอบครัว และการฆ่าตัวตาย

กลุ่มหนุ่มสาว เหงามากสุด ทะยานสูงขึ้นตั้งแต่โควิดระบาด

ผลสํารวจความเหงาในระดับโลกในปี 2561 ตั้งแต่ก่อนการระบาดของโควิด จากผู้เข้าร่วมการสํารวจมากกว่า 55,000 คน มากกว่า 237 ประเทศ พบว่าประเทศที่มีวัฒนธรรมความเป็นปัจเจกสูง เช่น ในสังคมตะวันตก มีระดับความเหงาสูงกว่าประเทศที่มีความพึ่งพาอาศัยกันสูงกว่า เช่น ในสังคมตะวันออก

งานวิจัยนี้ยังพบว่า กลุ่มที่มีโอกาสเหงาสูงสุด คือกลุ่มเยาวชนอายุ 16-24 ปี ซึ่งขัดกับความเข้าใจของหลายคนที่คิดว่าผู้สูงอายุน่าจะมีความเหงาสูงสุด แต่แท้ที่จริงแล้ว กลุ่มคนหนุ่มสาวเป็นกลุ่มคนที่มีความคาดหวังด้านความสัมพันธ์สูง เมื่อเทียบกับคนที่มีอายุมากกว่า
ทําให้เยาวชนจํานวนมากยังรู้สึกไม่เติมเต็มด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่น

“แน่นอนโควิด ทําให้โอกาสการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน แม้กระทั่งกับครอบครัวลดลง ส่งผลให้จํานวนคนเหงาทะยานสูงขึ้น ตั้งแต่แรกเริ่มของการระบาดเป็นต้นมา”

ในการสํารวจระดับประเทศในสหรัฐฯ ช่วงเดือน ต.ค. 2563 โดยทีมวิจัยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่าผู้ตอบแบบสอบถาม 36% มีอาการเหงาอย่างรุนแรง คือรู้สึกเหงาบ่อยครั้ง หรือเกือบตลอดเวลา และในช่วง 4 สัปดาห์ก่อนการตอบแบบสอบถาม โดยกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อความเหงาสูงสุด คือ กลุ่มเยาวชนอายุ 18-25 ปี ซึ่งกว่า 61% มีอาการเหงาอย่างรุนแรง และ 43% รู้สึกเหงามากขึ้นตั้งแต่มีโรคระบาด ส่วนกลุ่มแม่ลูกอ่อน 51% มีอาการเหงาอย่างรุนแรง และ 47% รู้สึกเหงามากขึ้นตั้งแต่มีโรคระบาด

...

เช่นเดียวกับการสํารวจในประเทศอังกฤษพบผลที่คล้ายคลึงกัน โดยกลุ่มเยาวชน และกลุ่มพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว มีระดับความเหงาสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ รวมถึงการสํารวจในประเทศญี่ปุ่นพบว่า แม้กลุ่มเยาวชนโดยรวมมีสัดส่วนคนเหงาสูงกว่า แต่โควิดได้เพิ่มสัดส่วนคนเหงาในกลุ่มผู้สูงอายุสูงที่สุด

แนวทางจัดการความเหงา สร้างสังคมเอาใจใส่คนรอบข้าง

สําหรับแนวทางในการช่วยจัดการความเหงาในประชากร มีการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้เสนอแนวทาง 3 ข้อ 1. ให้ความรู้ในการจัดการกับความเหงา รวมถึงความคิดและพฤติกรรมที่บั่นทอนตนเองที่อาจนําไปสู่ความเหงามากขึ้น เพราะความเหงามักนําไปสู่ความรู้สึกไม่ดีกับตนเอง ความรู้สึกว่าคนอื่นไม่ใส่ใจ ทําให้ไม่อยากเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม หรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น นําไปสู่ความเหงาที่เพิ่มขึ้น

2. สนับสนุนโครงสร้างทางสังคมให้มีการเชื่อมโยงระหว่างกันมากขึ้น เช่น ในโรงเรียนควรมีการสร้างเครือข่ายเพื่อเชื่อมโยงนักเรียน หรือผู้ปกครองเข้าหากัน ที่ทํางานควรมีการพูดคุย เพื่อประเมินระดับความเหงาของพนักงาน และ 3. ฟื้นฟูวิถีสังคมในการดูแลเอาใจใส่คนรอบข้าง

...

“สังคมที่มีความเป็นปัจเจกสูง มักมีจํานวนคนเหงาสูงตามไปด้วย การมีเครือข่ายทางสังคมที่เข้มแข็งคอยดูแลถามไถ่ความเป็นอยู่ของกันและกัน จะนําไปสู่สังคมที่คนจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป”.

ผู้เขียน : ปูรณิมา