ในตอนที่แล้ว ผู้เขียนพูดถึงมาตรฐานความปลอดภัยของรถยนต์ในไทย ที่อาจไม่เท่าเทียมกับของต่างประเทศ "วิเคราะห์จุดเปราะ "อีโคคาร์" กับปัญหายานยนต์ไทย ปลอดภัยไม่เท่าเทียม?"
มาถึงตอนนี้ก็มีอีกเรื่อง ที่ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ อยากจะเขียนถึง จากปมอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น หากจำกันได้ ปลายปีก่อนมีอุบัติเหตุ รถพ่วง 22 ล้อ เบียดรถเก๋ง จนแม่ลูก กระเด็นออกจากนอกตัวรถ ถือเป็นภาพหวาดเสียว
หากแต่ รถยนต์ มีการออกแบบเข็มขัดนิรภัย เพื่อดูแลผู้ขับขี่ แต่สำหรับเด็ก ก็มีอุปกรณ์เสริมที่สามารถช่วยเซฟชีวิตได้
ใช่แล้ว ผู้เขียนกำลังหมายถึง "คาร์ซีต" (car seat) ที่ใช้ดูแลชีวิตเด็ก หากเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งในปัจจุบัน ยังไม่มีกฎหมายในการบังคับใช้
นายณัฐพงศ์ บุญตอบ นักวิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย ได้บอกถึง "ความจำเป็น" ว่า "คาร์ซีต" ก็เหมือนซื้อประกันสุขภาพ ตอนที่ซื้อก็ไม่คิดว่ามันจะได้ใช้ แต่เวลาเป็นโรค ต้องมาโอดครวญทีหลังว่าต้องจ่ายเยอะ ซึ่งก็เปรียบเสมือนซื้อการป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น เรื่องแบบนี้เราก็ไม่อยากให้เกิด แต่ถ้าเกิดแล้วก็ต้องป้องกันจากหนักให้เป็นเบาที่สุดให้ได้ โดยเฉพาะกับชีวิตเด็กๆ
...
นี่คือการสรุปความสั้นๆ ที่ได้ใจความมากที่สุด ที่นักวิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย ได้สรุปไว้ ส่วนมันดียังไง ป้องกันได้แค่ไหน เรามาต่อกันเลย...
หากมองที่รูปทรงของรถยนต์ โดยเฉพาะเบาที่นั่ง โดยสรีระ ไม่เหมาะกับเด็ก หากผู้ใหญ่นั่งก็จะพอดีตัว แต่สำหรับเด็กจะไม่สามารถใช้ได้ เพราะถ้าใช้กับเด็กมันไม่พอดีตัว และมีโอกาสหลุดรอดออกไปจากเข็มขัดนิรภัยได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมี "คาร์ซีต" สำหรับเด็ก เพื่อรองรับสรีระของเด็ก โดยเฉพาะเวลาที่เกิดอุบัติเหตุ
"หากจะให้เข้าใจง่ายๆ เวลาเราดูการแข่งขันรถยนต์ ตัวเบาะรถยนต์ จะถูกออกแบบให้เป็นหลุม เข็มขัดนิรภัยจะมีการล็อก 4 หรือ 8 จุด เพราะเวลาเกิดอุบัติเหตุ คนขับจะอยู่ใน bucket หรือหลุมที่ถูกออกแบบไว้"
"คาร์ซีต" สำหรับเด็ก ก็มีหลายแบบตามช่วงวัย เริ่มตั้งแต่แรกคลอด หรือ 1-3 ขวบ ซึ่งมีไปจนถึง 8 ขวบ ประโยชน์ของมันจะเกิดขึ้นเมื่อตอนเกิดอุบัติเหตุ เหมือนเด็กใส่ชุดเกราะ แม้จะมีการกระแทก แต่อวัยวะสำคัญๆ จะถูกเซฟตี้ไว้หมด จากเข็มขัดล็อก 4 หรือ 8 จุด เหมือนที่นั่งรถแข่ง โดยล็อกที่จุดสำคัญ พาดไหล่ 2 จุด ตรงสะโพกอีก 2 จุด ซึ่งเด็กเล็กๆ ใช้ได้ตั้งแต่แรกคลอด จนถึง 2 ขวบ แต่หลังจากนั้นเด็กโตขึ้น ก็ต้องเปลี่ยน แต่ทุกอย่างจะเหมาะสมและสามารถประคองเด็กได้ทั้งตัว
หลักการใช้ที่ปลอดภัย
นายณัฐพงศ์ กล่าวว่า สังเกตไหม เวลาใช้ต้องหันคาร์ซีต ต้องวางหันไปทางตรงข้ามกับเบาะรถ สาเหตุเพราะเวลาเกิดอุบัติเหตุรถชน ตัวคาร์ซีตจะทำหน้าที่ประคองคอของเด็ก เพราะคอเด็กเกิดใหม่จะเป็นจุดอ่อน ไม่เหมือนผู้ใหญ่
"ปัจจุบันนี้ ยังไม่มีกฎหมายบังคับให้พ่อแม่ต้องซื้อมาใช้กับเด็กเล็ก แต่ต่างประเทศมีกฎหมายบังคับ ซึ่งเข้าใจว่า มีการบังคับถึงอายุ 8 หรือ 10 ขวบ ซึ่งหากเป็นเด็กโต เขาจะเรียก booster seat"
นักวิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย เน้นย้ำไปถึงผู้ปกครองถึงข้อดีในการใช้งานว่า เวลาใช้ "คาร์ซีต" เด็กๆ จะไม่มารบกวนเวลาขับรถยนต์ด้วย ยกตัวอย่าง หากให้เด็กนั่งตัก มือไม้เด็กก็จะแกว่ง คว้าไปเรื่อย ซึ่งเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยด้วย
"เราอาจเชื่อว่าให้เด็กนั่งตักแล้วปลอดภัย แต่ความจริงไม่ใช่เลย มันดูวุ่นวายด้วยซ้ำ และจากประสบการณ์ตรงที่มีลูก 2 คน ตอนแรกให้เขานั่งคาร์ซีตเขาอาจงอแง พวกคุณก็จะคิดว่าเด็กนั่งไม่สบาย แต่ที่จริงๆ แล้วไม่ใช่ นี่อาจจะเป็นการเริ่มต้นเท่านั้น แต่เมื่อฝึกไปสักเดือน ต่อไปเขาจะชินไปเอง การที่เขาร้องงอแง มันเป็นแค่พฤติกรรมต่อต้านแค่ช่วงแรกเท่านั้น แต่ความเป็นจริงคือ คาร์ซีตถูกออกแบบมาเพื่อสรีระเด็กและความปลอดภัย กรณีที่เกิดอุบัติเหตุ"
...
"คาร์ซีต" กับความจำเป็นในการออกกฎหมายบังคับ
ทีมข่าวฯ ถามราคา "คาร์ซีต" ในท้องตลาด ค่อนข้างราคาแพง? นายณัฐพงศ์ ตอบว่า ก็แพงระดับหนึ่ง ในบ้านเราก็มีขายหลายแบรนด์ 3,000-5,000 บาท ก็มี ระดับแพงถึง 20,000 ก็มี แต่ช่วงหลังราคาก็เริ่มถูกลงแล้ว เพราะมีคนนำเข้ามาเยอะ ถ้าอย่างดีหน่อยก็ราคาสูง โดยเฉพาะนำเข้าจากญี่ปุ่น
"ของแพงไม่แพง ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้และความสบายตัวของเด็กด้วย"
จำเป็นไหม ต้องออกกฎหมายบังคับ นักวิจัยอาวุโสศูนย์อุบัติเหตุแห่งประเทศไทย ยืนยันว่ามีความจำเป็น นอกจากเคสนี้ ที่เด็กกระเด็นออกมาข้างนอก และบาดเจ็บสาหัส
"หากเกิดอุบัติเหตุแล้วรถหมุน ส่วนมากเด็กจะกระเด็นก่อน เพราะเด็กจะไม่มีอะไรป้องกันเลย ที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่ไม่ซื้อ เพราะคิดว่ามีราคาแพง แต่ส่วนตัวมองว่าคุ้ม เพราะผมใช้จนเด็กอายุ 3-4 ขวบ ซึ่งเป็นขนาดไซส์แรกเกิดถึง 4 ขวบก็มี แต่หลังจาก 4 ขวบไปก็ต้องเปลี่ยน แต่ราคาจะถูกลง และสามารถใช้ได้ถึง 7-8 ขวบ"
นักวิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย ทิ้งท้ายว่า ตอนนี้กำลังพิจารณาการออกกฎหมายบังคับอยู่ ส่วนตัวก็ไม่รู้ว่าจะดันให้ผ่านสภาได้ไหม...แต่เมืองนอกมีมานานแล้ว ถือเป็นกฎหมายมีมานับ 10 ปีแล้ว ส่วนเมืองไทยก็ต้องรณรงค์กันต่อไป
ผู้เขียน : อาสาม
อ่านสกู๊ปที่น่าสนใจ
การโบกมือลา BlackBerry ฉบับสมบูรณ์ ภายใต้บทเรียนจงรู้จักปรับตัว
วิเคราะห์จุดเสี่ยง สะพานแยกคลองตัน อุบัติเหตุ หรืออาถรรพณ์คร่าบิ๊กไบค์
เปิดโปงเครือข่าย "โคเคน" ข้ามชาติ ไฮโซเล่นสนุก เหยื่อทุกข์คือหญิงไทย
...
“พิมรี่พาย” ศรัทธา-ท้าทาย กลยุทธ์ “กล่องสุ่ม” พิชิต 100 ล้าน