วิกฤติโควิด ส่งผลให้เด็กๆ กว่า 140 ล้านคนทั่วโลก ต้องเลื่อนการไปโรงเรียนในวันแรกออกไป ทั้งๆ ที่เป็นวันสำคัญวันหนึ่งในชีวิตของเด็กตัวน้อยและพ่อแม่ โดยองค์การยูนิเซฟระบุในจำนวนนี้มีเด็กประมาณ 8 ล้านคน ได้ตั้งตาคอยการเปิดเรียนมากว่า 1 ปีแล้ว และยังต้องรอต่อไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากโรงเรียนปิดในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด

เช่นเดียวกับประเทศไทย เด็กเล็กหลายแสนคนกำลังพลาดโอกาสในการไปโรงเรียน ตั้งแต่เริ่มปีการศึกษาแรกของพวกเขา ในขณะที่เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษา และชั้นมัธยมศึกษา อีกหลายล้านคน ไม่ได้ไปโรงเรียน เนื่องจากโรงเรียนหลายแห่งยังคงปิดเรียนอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดพุ่งสูงขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ

นางเฮนเรียตตา โฟร์ ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การยูนิเซฟ กล่าวว่า วันแรกของการไปโรงเรียนถือเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับเด็กทุกคน เพราะมันคือจุดเริ่มต้นที่พาพวกเขาก้าวเข้าสู่โลกของการเรียนรู้และการเติบโต พวกเราหลายคนอาจยังจดจำรายละเอียดของการไปโรงเรียนวันแรกได้ดี ไม่ว่าจะเป็นชุดที่เราใส่ไปโรงเรียน ชื่อคุณครู เพื่อนคนที่นั่งติดกัน แต่สำหรับเด็กนับล้านคนในเวลานี้ การไปโรงเรียนวันแรกของพวกเขากลับถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด

“โรงเรียนในหลายประเทศ กำลังเริ่มกลับมาเปิดเรียนอีกครั้ง และเด็กประถม 1 หลายล้านคน ต่างเฝ้าคอยที่จะเข้าไปนั่งในห้องเรียนวันแรก แต่ขณะเดียวกันยังมีเด็กอีกหลายล้านคนที่อาจจะไม่ได้ไปโรงเรียนเลยตลอดภาคการศึกษานี้ และสำหรับเด็กกลุ่มเปราะบาง ความเสี่ยงที่พวกเขาจะไม่ได้เข้าเรียนอีกเลย ยิ่งมีมากเป็นทวีคูณ”

การเข้าเรียนปีแรกของชั้นประถมศึกษา เป็นการวางรากฐานสำหรับการเรียนรู้ในอนาคต ทั้งการเริ่มหัดอ่าน เขียน และคำนวณ การเรียนในชั้นเรียน ยังช่วยให้เด็กได้ฝึกฝนการเป็นตัวของตัวเอง ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ สร้างความสัมพันธ์กับคุณครูและเพื่อนๆ และยังช่วยให้ครูสังเกตเห็นว่าเด็กคนใดมีการเรียนรู้ช้า หรือมีปัญหาทางจิตใจ หรือถูกทำร้าย ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาวะของเด็กอย่างมหาศาล

...

ปี 2563 โรงเรียนทั่วโลกได้หยุดสอนเฉลี่ยเป็นเวลา 79 วัน แต่สำหรับเด็กนักเรียน 168 ล้านคน โรงเรียนของพวกเขาปิดเกือบตลอดทั้งปี นับตั้งแต่โควิดเริ่มระบาด และจนถึงปัจจุบันการเรียนของเด็กอีกจำนวนมากต้องหยุดชะงักลงเป็นปีที่ 2 อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในวงการการศึกษา

การปิดเรียนอาจส่งผลกระทบต่อเด็กๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะเด็กเล็ก ซึ่งเป็นวัยแห่งการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ที่หยุดชะงักจากความเครียด ตลอดจนการหลุดออกจากระบบการศึกษา การถูกใช้แรงงาน หรือการแต่งงานในวัยเยาว์

เด็กไทยเครียด เกินครึ่งประเทศไม่พร้อมเรียนออนไลน์

ผลการสำรวจเด็กและเยาวชนทั่วประเทศไทย ขององค์การยูนิเซฟ ในปี 2563 พบว่า การแพร่ระบาดของโควิด ทำให้เด็กและเยาวชนมากกว่า 7 ใน 10 คน มีความเครียด วิตกกังวลและเบื่อหน่าย และมาตรการปิดโรงเรียนทำให้เด็กและเยาวชนเกินครึ่งรู้สึกกังวลด้านการเรียน การสอบ โอกาสในการศึกษาต่อ และการจ้างงานในอนาคต

ในขณะที่หลายประเทศกำลังใช้การเรียนการสอนแบบออนไลน์ แต่นักเรียนชั้นประถมศึกษาอย่างน้อยร้อยละ 29 ทั่วโลก กลับเข้าไม่ถึงการเรียนออนไลน์ เนื่องจากขาดแคลนทุนทรัพย์ เทคโนโลยี ตลอดจนเครื่องมือสำหรับเรียนออนไลน์ ผนวกกับสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการเรียน ความกดดันจากการต้องช่วยงานบ้าน หรือแม้แต่การต้องถูกบังคับใช้แรงงาน

การสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในปี 2563 พบว่า ครอบครัวเกือบครึ่งหนึ่งในประเทศไทยไม่พร้อมที่จะให้ลูกเรียนออนไลน์ และร้อยละ 51 ไม่มีคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก หรือแท็บเล็ตที่บ้าน และอีกร้อยละ 26 ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต หรืออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ต้องใช้สำหรับเรียนออนไลน์ ในขณะที่อีกร้อยละ 40 บอกว่าไม่มีเวลาคอยช่วยลูกให้เรียนออนไลน์ได้

การศึกษาหลายฉบับพบว่า ประสบการณ์เชิงบวกในโรงเรียนของช่วงเปลี่ยนผ่านในวัยเด็ก จะเป็นตัวบ่งชี้อนาคตด้านสังคม อารมณ์ และการศึกษาของเด็กแต่ละคน และในขณะเดียวกัน เด็กที่ขาดการเรียนรู้และพัฒนาในช่วงปีแรก มักจะรั้งท้ายตลอดช่วงการศึกษา และช่องว่างการเรียนรู้ระหว่างเด็กสองกลุ่มก็จะกว้างขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ระดับการศึกษาของเด็ก ต่างมีผลต่อรายได้ในอนาคตอีกเช่นกัน

ต้องเร่งเปิดโรงเรียน นำเด็กสู่ระบบการเรียน เร็วที่สุด

ที่ผ่านมา องค์การยูนิเซฟ ร่วมกับธนาคารโลก และยูเนสโก เรียกร้องให้รัฐบาลแต่ละประเทศเร่งเปิดโรงเรียน ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูการเรียนการสอนในโรงเรียน จัดทำโครงการที่จะนำเด็กและวัยรุ่นทุกคนกลับสู่ระบบการเรียนในโรงเรียน ให้ตรงความต้องการของเด็กรายบุคคล และจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยทดแทนการเรียนรู้ที่ขาดหายไป และควรสนับสนุนครู ในการแก้ปัญหาการเรียนรู้ที่ขาดหายไป พร้อมกับนำเทคโนโลยีมาเป็นส่วนหนึ่งของการสอน

“วันแรกของการไปโรงเรียน คือ วันแห่งความหวังและความเป็นไปได้ มันคือจุดแห่งการเริ่มต้นที่ดี แต่ไม่ใช่เด็กทุกคนจะมีโอกาสเริ่มต้นที่ดีในแบบเดียวกัน เด็กบางคนยังไม่มีโอกาสได้เริ่มต้นเสียด้วยซ้ำไป เราต้องกลับมาเปิดโรงเรียนเพื่อให้เด็กได้นั่งเรียนในชั้นเรียนโดยเร็วที่สุดต้องแก้ปัญหาช่องว่างทางการเรียนรู้ที่เป็นผลมาจากการแพร่ระบาดครั้งนี้ หากไม่ลงมือแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังและเร่งด่วน เด็กจำนวนมากจะไม่มีวันตามทัน”

นอกจากนี้ องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ได้ร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ ในการกลับมาเปิดโรงเรียนอีกครั้งอย่างปลอดภัย และได้เห็นมาตรการต่างๆ ในการลดผลกระทบทางการศึกษาที่เด็กๆ และผู้ปกครองกำลังเผชิญ เช่น การเร่งฉีดวัคซีนให้กับครู การให้เงินเยียวยาแก่เด็กนักเรียนทั่วประเทศ และการสนับสนุนค่าอินเทอร์เน็ตสำหรับการเรียนออนไลน์.