- การระบาดของโควิดไม่สามารถควบคุมได้ คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 4 ล้านคนทั่วโลก กลายเป็นผลพวงน่าสลดใจ ทำให้ชีวิตเด็กถูกทอดทิ้งอย่างกะทันหัน จากการเสียชีวิตของพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย และผู้เลี้ยงดู สร้างผลกระทบหลายอย่างตามมา
- ทีมนักวิจัยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาดของสหรัฐฯ และมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน รวบรวมข้อมูล 21 ประเทศ ตั้งแต่เดือน มี.ค. 2563 ถึงเม.ย. 2564 พบว่าเด็กมากกว่า 1 ล้านคน สูญเสียพ่อแม่ 1 คน หรือทั้งคู่ และเด็กอีกครึ่งล้านคน สูญเสียผู้ดูแล หรือผู้เลี้ยงดู
- เฉพาะสหรัฐฯ มีเด็กมากกว่า 110,000 คน หรือประมาณ 1.5 คน จากเด็ก 1 พันคน ต้องสูญเสียพ่อแม่ หรือผู้ดูแล ซึ่งต้องให้การช่วยเหลือเด็กกำพร้าเหล่านี้อย่างเร่งด่วน ป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และสวัสดิภาพที่สูงขึ้น

รวมถึงประเทศอินเดีย โควิดสายพันธุ์เดลตาแพร่กระจายไปทั่วประเทศ มีการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เด็กกำพร้าเพิ่มขึ้น 8.5 เท่า โดยเดือนพ.ค. มีเด็กทั่วประเทศ อย่างน้อย 577 คน กลายเป็นลูกกำพร้า หลังพ่อแม่เสียชีวิต และตัวเลขวันที่ 5 มิ.ย. มีเด็กกำพร้าเฉียบพลันมากถึง 3,632 คน และ 27,176 คน สูญเสียพ่อ หรือแม่ไป
...
ส่งผลให้ปัจจุบันเด็กกำพร้าทั่วโลก มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากพ่อแม่เสียชีวิตด้วยโรคโควิด หรือผู้ใหญ่ ทุกๆ 2 คน ที่เสียชีวิตจะมีเด็ก 1 คน ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และจากสถิติในรายงานของธนาคารโลก ระบุทุกๆ 12 วินาที จะมีเด็ก 1 คนกำพร้า ขณะที่ยูนิเซฟ ชี้ว่าเด็กกำพร้ามีความเสี่ยงสูงด้านสุขภาพ มีแนวโน้มจะประสบปัญหาสุขภาพจิต ความยากจน ความรุนแรงทางร่างกาย อารมณ์ และทางเพศ

ขณะที่ประเทศไทย มีเด็กกำพร้า จากการสำรวจบ้านพักเด็กและครอบครัว ใน 15 จังหวัด โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พบมีเด็กกำพร้า 35 คน ทั้งกำพร้าบิดา กำพร้ามารดา กำพร้าผู้ดูแล ในจำนวนนี้กำพร้าทั้งบิดาและมารดา 1 ราย ในจ.พระนครศรีอยุธยา เป็นเพียงการสำรวจเบื้องต้นยังไม่ครอบคลุมทุกจังหวัด คาดจะมีเด็กกำพร้ามากกว่านี้

วิกฤติโควิด กระทบเด็ก ต้องแก้ไขด้วยความเข้าใจ
ผลกระทบจากโควิด นอกจากทำให้เด็กกำพร้า เพิ่มขึ้นอย่างน่าใจหายแล้ว ยังสร้างความบอบช้ำต่อจิตใจ จากสถานการณ์คนในครอบครัวเจ็บป่วย เสียชีวิต และสารพัดปัญหาภายในครอบครัว พ่อตกงาน แม่ตกงาน ไม่มีเงิน กลายเป็นความรุนแรง เอาความเครียดมาลงที่เด็กโดยไม่รู้ตัว
"รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์" ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล มองว่า วิกฤติโควิดก่อผลกระทบกับเด็กหลายด้าน ในกรณีเด็กติดเชื้อจากพ่อแม่ เนื่องจากหน่วยงานเข้าไปดูแลล่าช้า และเมื่อมีการโทรขอความช่วยเหลือ ไม่มีการซักถามว่าครอบครัวอยู่กันกี่คน ถามแต่อาการ จนทำให้เด็กเป็นผู้ติดเชื้อร่วมไปด้วย เป็นแนวทางการช่วยเหลือที่ไม่มีทิศทาง อาจเป็นเพราะทรัพยากรมีจำกัด เพราะหากคนในครอบครัวติดเชื้อ ควรแยกเด็กไปอยู่ที่อื่นยังศูนย์พักคอย
ส่วนใหญ่เด็กที่ติดเชื้ออาการไม่หนัก แต่มักถูกรังเกียจ ไม่มีเตียงสำหรับเด็ก และเมื่อเด็กเป็นตัวต่อเชื้อจากผู้ใหญ่ ทำให้แพร่เชื้อไปสู่ปู่ย่าตายาย เพราะเด็กระวังตัวไม่เป็น ใส่แมสก์ไม่ได้ ถือเป็นความยาก ก่อให้เกิดความสูญเสียในครอบครัว

...
อีกกรณีเมื่อคนในบ้านมีการสูญเสีย ซึ่งเป็นปู่ย่าตายายที่เลี้ยงเด็กจนเติบโต เพราะพ่อแม่ไม่ได้อยู่ดูแล ทำให้เด็กสูญเสียคนที่รัก เกิดความเครียดสูง แต่ที่น่าห่วงจะเป็นกลุ่มเด็กกำพร้า ขาดผู้ดูแล ซึ่งทางกระทรวงพัฒนาสังคมฯ อาจช่วยเหลือเบื้องต้น จนกว่าจะหาญาตินำไปเลี้ยงดูต่อ และอาจดูแลระยะยาว ส่งต่อไปบ้านสงเคราะห์ แต่คุณภาพไม่ดี อาจต้องหาครอบครัวทดแทนเป็นผู้รับดูแล และมีการตรวจคุณภาพเหมือนต่างประเทศ
“กลุ่มเด็กที่สูญเสียคนที่รัก อาจมีคนเลี้ยงดู สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ แต่ต้องดูแลเพราะมีความบอบช้ำทางใจ และประสบเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ในชีวิต ทั้งการเสียใจ เป็นความบาดเจ็บทางใจ มีฮอร์โมนความเครียด จะมีผลต่อการเรียนรู้ แม้มีญาติดูแล แต่อาจไม่เข้าใจเด็ก”

เปิดเทอม เด็กอาจไม่เหมือนเดิม ก้าวร้าวใช้อารมณ์
วิกฤติโควิดยังส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจ ทำให้ผู้เลี้ยงดูไม่เข้าใจภาวะจิตใจของเด็ก ซึ่งการจัดการฟื้นฟูจิตใจจะยากด้วยการรักษาระยะห่าง ทั้งๆ ที่เด็กต้องการรักษาอาการบอบช้ำทางใจ ควรทำให้เด็กรู้สึกว่าปลอดภัย ทำให้ตัวตนของเด็กกลับมา เพราะเมื่อเปิดเทอมเด็กอาจไม่เหมือนเดิม เกิดความก้าวร้าวในลักษณะ "หนี นิ่ง สู้" อย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะใช้สมองส่วนของอารมณ์ ทำให้สมองส่วนหน้าที่ควบคุมความคิดและเหตุผล ปิดหมด
...
“หากมีคนดูแล ทำให้เด็กมีตัวตน สภาพจิตใจจะฟื้นขึ้นมาได้ หากมัวแต่แยกไม่เข้าใกล้ตัวเด็ก คอยกำกับต้องรักษาระยะห่าง จะทำให้เด็กเครียด และถ้าสามารถทำได้ควรให้ครูมาเยี่ยม สังเกตอาการเป็นพิเศษ ปรับวิธีการเรียน ทำกิจกรรมให้ความสนใจกับเด็ก ต้องเตรียมพร้อมทั้งการป้องกันการระบาด และมีความไวในการดูแลเด็กที่บอบช้ำทางใจ คาดว่าเปิดเทอมไม่น่าเกินเดือน พ.ย.นี้ ในรูปแบบนิวนอร์มอล”

นอกจากมีเด็กได้รับความบอบช้ำ จากการสูญเสียคนที่รักแล้ว ยังมีความเครียดจากการไม่ได้เจอเพื่อน พ่อแม่ห้ามไม่ให้ออกไปเล่นนอกบ้าน หากพ่อแม่เล่นกับลูก ใช้การพูดคุยเชิงบวก แม้มีปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่ไม่แสดงอาการต่างๆ ให้เด็กเห็น โดยค่อยๆ ให้เด็กเรียนรู้โรคระบาดจากการใส่แมสก์ จะทำให้เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้

...
เด็กถูกด่าลงโทษ กระทบจิตใจ ปมลึกสาหัส ยากแก้ไข
ในทางตรงกันข้ามกับกรณีเด็กที่พ่อแม่เสียชีวิตจากโควิด ไม่มีใครมาปลอบประโลม เพราะคนที่เข้ามาไม่เข้าใจเด็ก หรือกรณีพ่อแม่ทะเลาะกัน เพราะอีกคนติดโควิด จนต้องแยกทางกัน ยิ่งทำให้เด็กเครียด เมื่อสะสมนานเกินไป จะส่งผลต่อพฤติกรรมเด็ก จนเกิดความก้าวร้าว
หรือกรณีเด็กติดโควิด ต้องนอนโรงพยาบาล โดยพ่อแม่จะไปให้กำลังใจไปอยู่กับลูก ซึ่งต้องระวังตัวในการป้องกันด้วยการสวมชุดที่มิดชิด เพราะลูกอาจเครียดในการเปลี่ยนสถานที่อยู่อาศัย มาอยู่เตียงคนป่วยแทน หรือหากพ่อแม่ป่วยก็ต้องให้ลูกไปอยู่ด้วยกัน ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแม้จะสร้างความเครียด เด็กอาจร้องไห้งอแง แต่ไม่เกินกว่าจุดที่จะแก้ไขจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป สุดท้ายเด็กจะปรับตัวได้ใช้เวลาไม่เกิน 6 สัปดาห์
สรุปแล้วความเครียดของเด็ก จากการที่พ่อแม่เสียชีวิตดูเหมือนจะเป็นความรุนแรงสาหัส แต่เป็นภาพที่เห็นชัดสามารถเข้าไปแก้ไขได้เร็ว มากกว่าการที่เด็กได้เห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน มีการลงโทษลูกรุนแรง หรือปู่ยาตายายเสียชีวิต มีการกล่าวโทษเด็ก จนเด็กไม่ทำตามก็จะถูกตีซ้ำ เป็นภาพที่คนข้างนอกมองไม่เห็น จะกลายเป็นปัญหาที่หนักมากกว่า เกินจะเยียวยารักษาจิตใจ กระทั่งสายเกินไปในที่สุด.
ผู้เขียน : ปูรณิมา