เหตุการณ์ไฟไหม้รุนแรงโรงงานผลิตโฟมขนาดใหญ่ ของบริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด ภายในซอยกิ่งแก้ว 21 อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เป็นบทพิสูจน์ถึงความจำเป็นที่ไทยต้องมีความพร้อมในการรับมือ โดยเฉพาะอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ผู้เสียสละเสี่ยงชีวิต

ท่ามกลางเสียงระเบิดดังสนั่นเป็นระยะๆ จากสารเคมีวัตถุไวไฟ จนบ้านเรือนใกล้เคียงได้รับความเสียหาย และไฟปะทุเป็นระยะๆ เพราะกระแสลมเปลี่ยนทิศทาง พร้อมควันดำพวยพุ่งกระจายไปทั่ว และเกิดโศกนาฏกรรมทำให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บสาหัส 3 ราย

แม้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ส่งเฮลิคอปเตอร์ KA-32 ปฏิบัติภารกิจระงับเหตุ โปรยโฟมดับไฟ ซึ่งมีเพียง 2 ลำเท่านั้นในไทย จัดซื้อจากรัสเซียเมื่อปี 2562 เคยนำมาใช้ในการดับไฟป่าบนภูเขาสูงในภาคเหนือมาแล้ว แต่เหตุการณ์ล่าสุด อาจไม่เพียงพอในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้น จากหลายๆ ปัญหา เป็นอีกบทเรียนไม่ควรเกิดขึ้นซ้ำอีก และไม่ใช่แก้ปัญหาเหมือนไฟไหม้ฟางอีกต่อไป

...

“ชาติชาย ไทยกล้า” ที่ปรึกษาคณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ และผู้อำนวยการสถาบันฝึกดับเพลิงและกู้ภัยชั้นสูง (TFRTA) กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นปัญหาด้านความพร้อม การปรับตัวและการตรวจสอบของหน่วยงานต่างๆ ในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าเจ้าหน้าที่ในพื้นที่แต่ละจังหวัด ไม่ได้ถูกฝึกสอนมาโดยตรง ทำให้ไม่มีความรู้ในการเก็บบำรุงรักษา แม้จะมีแผนต่างๆออกมา แต่ก็เหมือนไม่มี ควรต้องทำอย่างไรให้เกิดความตระหนักในการเข้าไปในพื้นที่เกิดเหตุ ทั้งนักดับเพลิง และหน่วยกู้ภัย ต้องอยู่ภายใต้กติกา โดยเฉพาะพื้นที่สารเคมี ไม่ใช่การดับไฟในชุมชนแออัด ควรต้องมีการประเมินความเสี่ยง

“หากปิดวาล์วไม่ได้ ก็ต้องคุมการเผาไหม้ ปล่อยให้เพลิงไหม้อย่างปลอดภัย ฉีดน้ำบริเวณรอบนอกทำเหมือนบังเกอร์ เพื่อลดความร้อนอาคารข้างเคียงรัศมี 100 เมตร และอพยพคน เพราะสารเคมีมีมากถึง 60-70% หากใช้น้ำดับ จะเกิดไอพิษ และระเบิดตูมใหญ่ขึ้นมาอีก ควรควบคุมการเผาไหม้ ใช้แอลกอฮอล์โฟมดับ ให้อยู่ในกรอบจำกัด ไม่ใช่แต่ละหน่วยงานต่างเอาโฟมต่างชนิดเข้ามา หรือเอาโฟมเก่าเข้าไปดับ มันไม่ได้ผล คาดว่าไฟจะปะทุขึ้นมาอีก ใช้เวลาเกือบอาทิตย์จะคุมได้อยู่”

สิ่งสำคัญที่สุดหลังเกิดการระเบิดในช่วงแรก ไม่มีการตั้งจุดบัญชาการ เพื่อการวางแผนการทำงานอย่างชัดเจน กระทั่งมีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ควรมีการฝึกร่วมกับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เพื่อรับมือ และเมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุ ไม่ใช่ใครอยากทำอะไรก็ทำ ต้องมีการวางแผน มีการฝึกร่วมและฝึกซ้อม ซึ่งเป็นปัญหาในไทย จากมุมมองความคิด ขาดการวางแผนทำให้นักดับเพลิงทำงานจนมั่วไปหมด

...

อย่างกรณีการนำเฮลิคอปเตอร์ KA-32 เคยใช้ในการดับไฟป่ามาก่อน โดยบรรทุกน้ำ 3 พันลิตร พร้อมน้ำยาเคมี 150 ลิตร เพื่อนำโฟมมาปล่อยยังจุดเกิดเหตุ และฉีดน้ำตรงๆ ลงมาในระดับ 20 เมตร เพื่อแสดงศักยภาพว่าสามารถดับไฟอาคารสูงได้ ใช้เวลาเป็นชั่วโมง แต่ก็ยังไม่สามารถดับไฟได้ ถือเป็นความผิดพลาดในกระบวนความคิด ซึ่งความจริงแล้วต้องมาคุยกันในเรื่องแผนเผชิญเหตุ และที่ผ่านมาแต่ละกรม กอง ต่างคนต่างทำ เป็นเรื่องกระบวนความคิดอยากทำคนเดียว

“ต่อให้มีเฮลิคอปเตอร์ชนิดนี้ 20 ลำ เข้ามาฉีดน้ำ โปรยโฟมทิ้งลงไป ก็ทำไม่ได้ ขนาดมีรถน้ำระดมฉีดอยู่ข้างล่างเป็นแสนลิตร ก็เอาไม่อยู่ ใช้ได้เฉพาะดับไฟป่าเท่านั้น ไม่ใช่โรงงานสารเคมี จะทำอย่างไรไฟก็ไม่ดับ และเฮลิคอปเตอร์ KA-32 ใช้ในส่วนบรรเทาสาธารณภัย ในการเอาคนออกจากพื้นที่ ไม่ใช่ใช้ดับไฟในลักษณะนี้ มันคนละเรื่อง ถ้าจะฉีดก็ต้องฉีดเป็นวัน”

ในการฉีดน้ำ เป็นแค่การควบคุมพื้นที่โดยรอบ เพื่อลดความร้อน และอย่าฉีดลงพื้นในที่เกิดเหตุเป็นอันขาด ทำให้เกิดไอพิษ เหมือนตะเกียง ต้องปล่อยให้ไฟไหม้จนหมด หากได้กลิ่นไอระเหย อย่าเข้าไป แสดงว่ามีสารเคมีบางส่วนที่ติดไฟ ให้ใช้โฟมสำหรับดับแอลกอฮอล์ และใช้ผงเคมีแห้ง เพื่อเอาไอแก๊สและสารเคมีที่อยู่ในพื้นผิวออก พร้อมกับใช้ทรายถมรอบๆ และฉีดน้ำลดความร้อน

...

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนที่หน่วยงานของรัฐต้องทำงานโดยมีองค์ความรู้ ไม่ใช่แก้ปัญหาเหมือนไฟไหม้ฟาง อย่างการวางแผนผังบ้านที่อยู่อาศัยใกล้กับโรงงาน ควรมีกำแพงสูงกั้นในการป้องกัน หากถามว่าใครผิด ก็ต้องบอกว่าเป็นผู้บริหารระดับสูงในพื้นที่ไม่มีแผนปฏิบัติการ

ส่วนข้อถกเถียงกรณีเฮลิคอปเตอร์ KA-32 มีไม่เพียงพอนั้น ขอย้ำว่าไม่ได้ใช้ในการดับเพลิง แต่ใช้ในกรณีเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง เพื่อช่วยผู้ประสบภัยออกจากพื้นที่ ซึ่งในอดีตเคยคัดค้านการจัดซื้อ และเสนอให้ใช้เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบก โดยจ่ายชั่วโมงละ 5 หมื่นบาท ในการปฏิบัติภารกิจดับเพลิง เพราะเฮลิคอปเตอร์ KA-32 ใช้ไม่ได้ ยกเว้นนำไปดับไฟป่า ไม่ใช่เหตุไฟไหม้สารเคมีอย่างที่เกิดขึ้นล่าสุด คาดว่ากว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ คงใช้เวลากว่าสัปดาห์.