“แม่น้ำโขง” หรือ สายน้ำแห่งชีวิต แม่น้ำสายหลักที่ให้ “น้ำดื่มน้ำกิน” สารอาหารประเภทโปรตีน กับผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติ โดยเฉพาะจีน ไทย ลาว เวียดนาม และกัมพูชา
แต่แล้วมาวันนี้ พ.ศ.นี้ แม่น้ำสายหลักแห่งนี้เริ่มเปลี่ยนไป เกิดปรากฏการณ์ “โขงสีคราม” หรือ สีแผ่นฟ้าสะท้อนผืนน้ำใส สวยใส แต่...คือ สัญญาณอันตราย
โดย เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ GISTDA ได้เผยภาพดาวเทียม Landsat-8 ที่ส่องบริเวณแม่น้ำโขง ช่วง อำเภอปากชม จังหวัดเลย ซึ่งเป็นภาพถ่ายเปรียบเทียบ เมื่อช่วงเดือนมกราคมของปี พ.ศ.2562 และ พ.ศ.2564 แสดงให้เห็นถึงปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน จนปรากฏสันดอนทรายโผล่กลางแม่น้ำ รวมถึงริมตลิ่งของพื้นที่ทั้งสองฝั่งตลอดแนวลำน้ำทั้งในอำเภอปากชม จังหวัดเลย และพื้นที่อื่นๆ
นอกจากนี้ สีครามของแม่น้ำ ในภาพปัจจุบันยังสะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ที่ฝนทิ้งช่วงมาสักระยะ เนื่องจากหากมีน้ำฝนไหลลงมารวมที่แม่น้ำ มักจะมาพร้อมกับตะกอนดินจำนวนมากจนทำให้น้ำในแม่น้ำเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อน อย่างเช่นภาพเมื่อปี 62
...
GISTDA ระบุว่า สภาพของแม่น้ำโขงที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนเช่นนี้ เป็นตัวบ่งชี้ถึงวิกฤติแม่น้ำโขงที่ระดับพื้นผิวน้ำลดลงอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จากสถานการณ์นี้อาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ รวมถึงผลผลิตทางการเกษตรหลายชนิดในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยเฉพาะจังหวัดที่อยู่ติดกับแม่น้ำโขง อาทิ เลย นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี เป็นต้น
ผู้ช่วยศาสตรจารย์ ดร.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ แห่งภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ม.มหาสารคาม ให้ความเห็นว่า แม่น้ำโขงแห้งขอดในปีนี้รุนแรง เชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากน้ำมือมนุษย์ นั่นก็คือการสร้าง “เขื่อน” ทั้งเขื่อนที่สร้างบริเวณแม่น้ำโขงตอนบน ในประเทศจีน เพื่อกักเก็บ ควบคุม และปล่อยน้ำให้ไหลลงมา และการสร้างเขื่อนในพื้นที่แม่น้ำโขงตอนล่างในประเทศลาว
จากข้อมูลรายงานของสำนักงานวิจัยพัฒนาและอุทกวิทยา ที่เก็บข้อมูลปริมาณน้ำที่ไหลในลุ่มแม่น้ำโขง ผ่าน 6 สถานี ประกอบด้วย 1.แม่น้ำโขงเชียงแสน จ.เชียงราย 2.แม่น้ำโขงเชียงคาน จ.เลย 3.แม่น้ำโขงหนองคาย 4.แม่น้ำโขง จ.นครพนม 5.แม่น้ำโขง จ.มุกดาหาร และ 6.แม่น้ำโขงเจียม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
รายงานระบุว่า น้ำที่ไหลผ่าน ทั้ง 6 สถานีถือว่าต่ำมาก ซึ่งปริมาณน้ำในแต่ละจุดมีเพียง 10% เท่านั้น ซึ่งอยู่ในเกณฑ์น้ำน้อย คำถามคือ น้อยเกิดจากสาเหตุอะไร เจ้าหน้าที่ที่ทำรายงานเรื่องนี้ระบุว่า..
1.น้ำโขงตอนบน ที่ไหลผ่านจีนถือว่าน้อยลง แต่ไม่ถึงขั้นผิดปกติ เมื่อเทียบกับอัตราการไหลในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา
2.ลำน้ำสาขา ที่ไหลมาเติมแม่น้ำโขงก็มีน้อยลงมาก เพราะฝนไม่ได้ตกกระจายและต่อเนื่อง ทำให้น้ำส่งไปไม่ทั่วถึง ทำให้แม่น้ำสาขามีน้ำน้อย
3.น้ำโขงอีกส่วนหนึ่งถูกเขื่อนเก็บกักไว้
จีนปฏิเสธ แม่น้ำโขงในไทยแห้งขอด ไม่เกี่ยวกับการสร้างเขื่อน เพราะไกลมาก!
ที่ผ่านมา ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ เคยสอบถามทางการจีนเกี่ยวกับปัญหาแม่น้ำโขงแห่งขอด เนื่องจากเริ่มปัญหาภัยแล้ง ซึ่งทางการจีนได้นำความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ อธิบายว่า เขื่อนในแม่น้ำล้านช้างสามารถบรรเทาความแห้งแล้งในภาคอีสานของไทยได้บ้าง แต่ก็มีจำกัด ซึ่งมีสาเหตุ 3 ประการ
1.ปริมาณน้ำในแม่น้ำล้านช้างมีจำกัด ตามรายงานจากคณะกรรมการแม่น้ำโขง น้ำที่มาจากตอนบนตั้งแต่สถานนีอุทกวิทยาเชียงแสนขั้นไป (รวมทั้งแม่น้ำล้านช้างและแม่น้ำโขงช่วงอยู่ในเมียนมา และลาว) คิดเป็น 16% เท่านั้น หากมีน้ำจากแม่น้ำสาขาไหลสมทบ เขื่อนจีนก็จะมีบทบาทน้อยลงในการปรับระดับน้ำตั้งแต่เวียงจันทน์ลงไป
...
2. ภาคอีสานของไทยอยู่ห่างไกลจากจีน จังหวัดเลยซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดกับจีนห่างจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำจิ่งหงประมาณ 900 กิโลเมตร เท่ากับขับรถจากเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ แล้วต่อไปถึงพัทยา แม่น้ำล้านช้างไหลออกจากจีนแล้วต้องใช้เดินทางไกล 900 กิโลเมตรจึงไปถึงภาคอีสานของไทยได้ ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในการเดินทางระยะทาง 900 กิโลเมตร
3.แม่น้ำล้านช้างเป็นต้นแม่น้ำโขง มีผลกระทบน้อยมาก ซึ่งแม่น้ำโขงในประเทศไทย เปรียบเสมือนปลายน้ำ ซึ่งการที่แม่น้ำโขงในไทยแห้งขอด เกิดจากแม่น้ำสาขา ต้องให้ชลประทานในพื้นที่ร่วมแสดงบทบาท
ผลกระทบกับพันธุ์ปลา จากการสร้างเขื่อน...
อาจารย์ไชยณรงค์ อธิบายว่า ก่อนหน้านี้มีเขื่อนที่ประเทศจีน ความจริงประเทศจีนสามารถผลิตไฟฟ้าด้วยวิธีอื่นก็ได้ แต่จีนก็ยังเลือกที่จะสร้างเขื่อน และควบคุมการไหลของน้ำโขงทางตอนบน โดยสร้างไปแล้ว 11 เขื่อน
ต่อมา มีการก่อสร้างเขื่อนอีก 1 แห่งในประเทศลาว หลังจากเปิดใช้งานมาเกือบ 2 ปี กลายเป็นว่า เขื่อนแห่งนี้สร้างผลกระทบซ้ำเติมปัญหาแม่น้ำโขง ทำให้แม่น้ำโขงทางตอนล่างลงมาลดปริมาณลงเป็นอย่างมาก
...
เวลาหน้าแล้งก็จะมีการปล่อยน้ำให้ไหลลงมา ทำให้ “ปลา” เกิดเข้าใจผิดว่าเป็นช่วงน้ำหลาก ปลาที่กำลังเริ่มตั้งท้องวางไข่ (ซึ่งส่วนใหญ่เพิ่งตั้งระยะแรก จาก 5 ระยะ) ก็จะเริ่มว่ายน้ำอพยพมาวางไข่ยังแหล่งน้ำลึกเพื่อจะไปวางไข่ แต่ปลาที่จะไปวางไข่เหล่านั้นก็วางไข่และผสมพันธุ์ไม่ได้ เพราะยังไม่ถึงเวลาผสมพันธุ์!
ผศ.ดร.ไชยณรงค์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วงคือ แหล่งอาหารของสัตว์ในแม่น้ำโขงโดยเฉพาะป่าน้ำท่วม หรือ ป่าไคร้ (คนไทยอีสานริมฝั่งโขงเรียกตามชนิดของต้นไม้) ซึ่งป่าพวกนี้จะมีมากมายตามลำน้ำโขง หรือตามแก่ง ตามดอนต่างๆ ซึ่งเราพบต้นไคร้มากมายในชายแดนไทย-ลาว ป่าประเภทนี้หน้าฝนต้องถูกน้ำท่วม ใบและดอกก็เป็นอาหารของปลาตามรากและลำต้นคือที่อาศัยของสัตว์น้ำ หน้าแล้งน้ำลดก็จะเขียวชอุ่ม เมื่อน้ำหน้าฝนน้อย ป่าเหล่านี้ก็ตาย และส่งผลต่อสัตว์น้ำเพราะเท่ากับอาหารของปลาในน้ำก็เหลือน้อย รวมทั้งไม่มีบ้านให้สัตว์น้ำวางไข่ เป็นแหล่งอนุบาลและอาศัยด้วย
“ครั้งหนึ่งผมลงพื้นที่ไปดูป่าน้ำท่วม ที่ อ.สังคม จ.หนองคาย หลังจากน้ำลดอย่างรวดเร็วเพราะเขื่อนกักน้ำไว้ พบกุ้ง หอย ปู ปลา ตายมากมาย เพราะเขาหนีลงร่องน้ำลึกไม่ทัน เมื่อไม่มีป่าน้ำท่วมตรงนี้เท่ากับปลาจะขาดแหล่งอาหารด้วย เพราะป่าเหล่านี้จะมีสารอาหารมากมาย เช่น สาหร่าย ตะไคร่น้ำ นอกจากนี้ ยังสูญเสียที่วางไข่ของปลาบางชนิดด้วย”
...
“ปลาอพยพ” ถูกบล็อก ไปไหนไม่ได้ กระทบต่อการวางไข่
สายพันธุ์ปลาที่ได้รับผลกระทบหนักสุด จะเป็นปลาประเภทปลาที่มีลำตัวสีขาว เพราะปลาเหล่านี้คือปลาอพยพตามฤดูกาล เวลาน้ำมากก็จะไปวางไข่ตามกอหญ้า รากไม้ หาดในแม่น้ำโขง และแม่น้ำสาขา เช่น แม่น้ำกก แม่น้ำปิง แม่น้ำสงคราม แม่น้ำเลย แม่น้ำมูล หน้างแล้งก็จะอพยพกลับมาอยู่ตามจุดน้ำลึกในแม่น้ำโขงมีหลายจุด บางจุดลึกถึง 100 เมตร ก็มี แต่ปัจจุบันนี้ ถูกตะกอนทับถมเพราะเขื่อนทางตอนบนทำให้ชายฝั่งพังทลาย และกระแสน้ำไหลช้าลง ตะกอนจึงทับถมแหล่งน้ำลึกดังกล่าว เวลาหน้าแล้ง ก็จะลึกเหลือแค่ประมาณไม่กี่เมตร หรือบางที่ก็เหลือแค่ 5-6 เมตร
“ส่วนจุดอื่นๆ เรียกว่าตื้นเลยก็ได้ บางจุดน้ำใสมากจากปรากฏการณ์ “โขงสีคราม” และน้ำลึกเพียง 1 เมตร ก็มี”
ผศ.ดร.ไชยณรงค์ เล่าย้อนถึงช่วงที่ทำงานวิจัยเรื่องแม่น้ำโขง และศึกษาเรื่อง “ปลาบึก” ปลาที่พบแต่ในแม่น้ำโขงเท่านั้น และถือว่าเป็นปลาชนิดไม่มีเกล็ดที่ใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่งของโลก สถิติที่บันทึกไว้ที่เชียงของพบว่า ปลาบึกที่ยาวที่สุดยาวถึง 3 เมตร และมีน้ำหนักสูงสุดที่เคยจับได้ถึง 282 กิโลกรัม ในปี 2547 พบเรื่องน่าใจหายเป็นอย่างยิ่ง คือ ปลาบึก ได้หายไปจากแม่น้ำโขงกว่า 90% (เทียบกับ 10 ปีก่อน หรือประมาณปี 2536) โดยเราได้เก็บข้อมูลจากการพบเจอของประมงพื้นบ้าน เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงได้มีเสนอต่อสหภาพสากลเพื่อการอนุรักษ์ (IUCN) เพื่อจัดให้ปลาบึกเป็น “สิ่งมีชีวิตที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งยวด” และ IUCN ก็ได้จัดให้ปลาบึกอยู่ในบัญชีดังกล่าว
“สาเหตุที่ปลาบึกเริ่มหายาก มีหลายปัจจัย สาเหตุหลักคือแหล่งที่อยู่อาศัย และที่วางไข่ของมันถูกทำลาย จากการที่การไหลของน้ำโขงไม่เป็นไปตามธรรมชาติ และการที่จุดน้ำลึกในแม่น้ำโขงหายไป ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรุนแรงกับแม่น้ำโขงบริเวณชายแดนไทย-ลาว แถบเชียงแสนและเชียงของที่เป็นที่วางไข่ของปลาบึก นอกจากนั้น การสร้างเขื่อนต่างๆ กั้นแม่น้ำโขง และแม่น้ำสาขาก็ขัดขวางไม่ให้ปลาบึกอพยพ เมื่อก่อนแม่น้ำมูลก็มีปลาบึก แต่ปัจจุบันไม่พบแล้ว เพราะถูกเขื่อนปากมูลกั้น แม่น้ำงึม ก็เคยพบ แต่ประเด็นคือ การสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำทำให้เส้นทางของมันถูกบล็อกไปหมด เหมือนกับประตูปิดตาย”
ผศ.ดร.ไชยณรงค์ กล่าวอย่างเศร้าสร้อยว่า ทุกวันนี้ประเพณีล่าปลาบึก ไม่มีแล้ว เพราะมันไม่มีให้ล่า ปลาบึกที่พบในธรรมชาติเวลานี้ คือปลาบึกที่จับพ่อแม่พันธุ์ตามธรรมชาติมารีดไข่และน้ำเชื้อ เพื่อผสมเทียมเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว แต่ปลาเหล่านั้นเมื่อปล่อยสู่แหล่งธรรมชาติ ก็ไม่มีหลักฐานว่าจะสามารถมีน้ำเชื้อและไข่ที่สามารถผสมพันธุ์เพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์ได้ ซึ่งหากแม่น้ำโขง ยังเป็นแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
นอกจากสายพันธุ์ปลาบึกแล้ว ยังมีสายพันธุ์ปลาอื่นๆ ได้รับผลกระทบเหลือน้อย เช่น ปลาเอิน หรือปลายี่สก (ไม่ใช่ปลายี่สกที่เราบริโภคกัน เพราะเป็นสายพันธุ์ของต่างประเทศ) ปลาเทโพ ปลาเทพา รวมทั้งปลาชนิดที่มีลำตัวสีขาวที่เป็นปลาอพยพและเป็นปลาเศรษฐกิจเกือบทุกชนิด
“สิ่งที่อยากจะวอนขอ คือ ถ้าเป็นไปได้ อยากให้ภาครัฐประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านให้มีการปล่อยน้ำจากเขื่อนให้เป็นไปตามธรรมชาติ 5-10 ปี เพราะเวลานี้ระบบนิเวศในแม่น้ำโขงเริ่มมีปัญหาแล้ว หากทำตอนนี้ก็ยังเชื่อว่าจะฟื้นคืนได้ แต่ถ้าไม่เริ่มทำ ก็จะส่งผลในระยะยาวแน่นอน ซึ่งนอกจากสุ่มเสี่ยงทำให้เกิดปลาบางชนิดสูญพันธุ์แล้ว ยังส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและรายได้ทางเศรษฐกิจของชาวบ้านกว่า 60 ล้านคน ริมฝั่งที่พึ่งพาแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา ทั้งที่อยู่ในประเทศไทยและในลาว กัมพูชา และเวียดนาม”
ผู้เขียน : อาสาม
กราฟิก : เทพอมร แสงธรรมาพิทักษ์
ที่มาภาพและข้อมูลบางส่วน : gistda, Atlas of deep pools in the Lower Mekong River and some of its tributaries
อ่านข่าวที่น่าสนใจ
เปิดสถิติ “ขยะทะเล” พลาสติกยังแชมป์ ปี 63 ไหลผ่าน 9 ปากแม่น้ำ 145 ตัน
I Care a Lot จากหนังสู่ความจริง กับกฎหมายทรัสต์ ช่วยดูแลเงินคนสูงอายุ
ธุรกิจ “โต๊ะจีน” ล่มสลาย! เดลิเวอรี่หาใช่ทางออก รัฐไม่ช่วย ดีแต่เก็บภาษี
แฉวงการกีฬาเกาหลีใต้ "โค้ช" ถูกเสมอ อุ้มชูให้ท้าย กลายเป็นกดขี่
เปิดปูม "ตู้สติกเกอร์" จากของเล่นสุดจ๊าบยุค 90 สู่เทรนด์ฮิต 2021