จากการเลี่ยงตอบคำถามเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วเดินลงจากโพเดียม หรือแท่นสำหรับยืนแถลงข่าว พร้อมขวดสเปรย์แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรคขวดเล็กๆ และโดยไม่มีใครคาดคิดว่านายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไล่ฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์ใส่นักข่าวที่อยู่ตรงหน้า กลายเป็นเหตุการณ์ฮือฮาประจำวัน ที่ทำเนียบรัฐบาลไทยเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564 จนสื่อต่างชาตินำไปรายงานเกี่ยวกับผู้นำของไทยอีกครั้ง
คำถามจากผู้ห่วงใยในตัวบุคคลที่เป็นผู้นำประเทศคือ นี่หรือคือสิ่งที่ควรทำในฐานะผู้นำประเทศที่เป็นมาแล้วกว่า 7 ปี นับตั้งแต่รัฐประหารเมื่อปี 2557 จนมาถึงหลังเลือกตั้ง 2562
ผู้นำกับทัศนคติที่มีต่อมนุษย์ด้วยกัน
รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก ให้ข้อสังเกตว่า ในช่วงหลังนายกรัฐมนตรีเคยคุมอารมณ์ได้บ้าง แต่สักพักก็หลุด อย่างล่าสุดเรื่องการฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์ของนายกรัฐมนตรีใส่นักข่าวนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ซึ่งไม่ใช่แค่ไม่ควรทำกับนักข่าว แต่กับใครก็ไม่ควรเกิดขึ้น
คุณสมบัติการเป็นผู้นำประเทศนั้น รศ.ดร. นันทนาแนะนำว่า ต้องเป็นคนที่มีบุคลิกทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกศรัทธาและเชื่อถือ ต้องมีวุฒิภาวะ ต้องไม่แสดงอารมณ์โกรธอย่างหนัก ดีใจไม่ใช่ดีใจสุดๆ ต้องคุมอารมณ์ให้ได้ รู้จักกาลเทศะ ถ้าอยู่ภาวะสนุกสนาน ก็แสดงสีหน้าท่าทางสนุกสนานในสถานการณ์ที่ทำได้ ในทางกลับกันในภาวะวิกฤติตึงเครียด มีการสูญเสีย โศกเศร้า คนในประเทศก็อยากเห็นผู้นำแสดงความรู้สึก เห็นอกเห็นใจ เสียใจกับญาติพี่น้อง
หากโกรธ หรือเครียด ไม่ต้องแสดงออก ไม่แสดงความรู้สึกหดหู่สิ้นหวังให้คนรู้สึก ที่สำคัญการแสดงออกของผู้นำต้องมีความเคารพความเป็นมนุษย์ ไม่ทำให้มนุษย์ด้วยกันรู้สึกด้อยค่า เพราะการกระทำต่างๆ ที่ออกมาย่อมสะท้อนทัศนคติที่มีต่อมนุษย์ด้วยกัน
...
ดังนั้น การแสดงออกจะดีขึ้นได้ต้องปรับทัศนคติต่อมนุษย์ด้วยกัน ต้องเชื่อเรื่องความเท่าเทียมกันในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และผู้นำต้องตระหนักตลอดเวลาในเรื่องความเป็นผู้นำว่า สิ่งที่แสดงออกผ่านกิริยาท่าทาง และคำพูดผ่านสื่อ คือ การถ่ายทอดออกไปยังประชาชน หากไม่เหมาะสม ประชาชนจะขาดศรัทธา และลดความเป็นผู้นำของคนคนนั้นได้
ส่วนที่ผู้นำบางคนยังทำพฤติกรรมซ้ำๆ นั่นเป็นเพราะว่า ไม่มีใครเตือน ไม่มีใครตอบโต้ จนอาจทำให้คนจำนวนหนึ่งคิดว่า พฤติกรรมเหล่านี้ทำได้ นานวันเข้าทำให้บางคนยอมรับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมไปในที่สุด
ภาวะผู้นำทางการเมืองยุคสังคมตื่นรู้
แล้วผู้นำทางการเมืองปัจจุบันถูกคาดหวังจากสังคมอย่างไรบ้าง ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ให้ความเห็นว่า สังคมคาดหวังการกระทำหรือแสดงออกในส่ิงที่ประชาชนต้องการหรืออยากเห็น และไม่อยากให้แสดงออกในสิ่งที่ไม่อยากเห็น ดังนั้นสถานการณ์ปกติย่อมแสดงออกต่างจากสถานการณ์วิกฤติ

ความคาดหวังนี้ ผู้นำในปัจจุบันจึงต้องระมัดระวัง พิจารณาแยกแยะให้ได้ว่า สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้เป็นแบบไหน เพราะทุกสถานการณ์มีความคาดหวังแตกต่างกัน ไม่ใช่การกระทำเดียวจะใช้ได้กับทุกสถานการณ์ ต้องละเอียดในการอ่านสถานกรณ์ เพื่อเชื่อมโยงสถานการณ์กับความรู้สึกของผู้คนให้ได้ เช่น ในสถานการณ์ และสถานที่ที่เศร้าโศก การแสดงออกของผู้นำ ไม่ใช่การชูนิ้วแสดงสัญลักษณ์มินิฮาร์ท เป็นต้น
ดร.สติธร ระบุถึงผู้นำทางการเมืองในอุดมคติว่า ส่วนใหญ่ในหลายประเทศผู้นำที่ไต่เต้ามาตามเส้นทางประชาธิปไตย ผ่านระบบคัดกรองจากพรรคการเมือง ลงพื้นที่สัมผัสชีวิตประชาชนมาก่อน ผ่านการบริหารประเทศจากตำแหน่งเล็กมาจนตำแหน่งใหญ่ระดับรัฐมนตรี จนถึงระดับนายกรัฐมนตรี จะมีทักษะในการเชื่อมโยงสถานการณ์กับความรู้สึกของผู้คนได้ดี
ขณะที่หลายประเทศผู้นำทางการเมืองมีการเติบโตอีกแบบ ที่บางคนนอกจากไม่เข้าใจความรู้สึกของประชาชน บางคนไม่เข้าใจในระบบการบริหาร ทำให้บริหารประเทศโดยเน้นเป้าหมายสร้างฐานคะแนนเสียงมากกว่า การพัฒนาประเทศ
ผลจากการขาดทักษะความเป็นผู้นำทางการเมือง เมื่อมาบริหารประเทศจึงทำสิ่งที่คนไม่ต้องการ แต่ไม่ทำในสิ่งที่คนเฝ้ารอ กรณีนี้หากผู้นำมีทักษะการสื่อสารที่ดี ก็พออยู่ได้ แต่หากสื่อสารไม่เก่ง ทั้งการพูด และภาษากายก็จะเกิดปัญหา
ส่วนกรณีผู้นำไม่อยากตอบคำถามนักข่าว โดยแสดงถึงความฉุนเฉียวโมโหกลบเกลื่อน รวมไปถึงล่าสุด ฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์อาจจะเพื่อหยอกล้อ หรือเพื่อกลบเกลื่อนก็ตาม เป็นการแก้ปัญหาที่ไม่อยากเปิดเผยข้อมูล แต่ก็เจอปัญหาการถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างที่เป็นอยู่ ทั้งที่ความเป็นจริงในยุคนี้เป็นสังคมตื่นรู้ ที่ผู้นำควรตอบคำถามได้อย่างตรงไปตรงมา เพื่อช่วยกันทำให้สังคมก้าวหน้ายิ่งขึ้น
อย่างที่ว่า ยุคนี้ไม่ใช่เวลาที่ใครก็ตาม จะแสดงพฤติกรรมที่สะท้อนทัศนคติที่ว่า "สังคมไม่ควรรู้เรื่อง ไม่ควรรู้ข้อมูล คือสิ่งที่ดีที่สุดอีกต่อไป"