ปริศนาการเสียชีวิตของ “น้องชมพู่” เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ในหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ผ่านไปกว่า 8 เดือน ยังไม่สามารถคลี่คลายได้ นับตั้งแต่หายตัวไป กระทั่งพบศพ เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ปีที่แล้ว มีผู้ต้องสงสัยหลายราย โดยเฉพาะคนใกล้ชิดน้องชมพู่

  • แม้ตำรวจยังไม่มีหลักฐานที่จะดำเนินคดีกับใคร แต่เชื่อว่า “น้องชมพู่” ไม่สามารถเดินขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟจุดที่พบศพ ซึ่งห่างจากบ้าน 2 กม. ได้ด้วยตนเอง และต้องมีผู้พาน้องชมพู่ไป ทำให้ถึงแก่ความตาย ทั้งทางตรงหรือทางอ้อม

  • คดีน้องชมพู่ กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง เมื่อตำรวจพาตัว นายไชย์พล วิภา หรือลุงพล อายุ 44 ปี และนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น อายุ 41 ปี ลุงเขยและป้าของน้องชมพู่ ไปสอบปากคำด้วยเครื่องจับเท็จ เมื่อกลางดึกวันที่ 8 ม.ค. ที่ผ่านมา 

  • ก่อนหน้านี้ตำรวจนำผู้เกี่ยวข้องกับน้องชมพู่ทั้งหมด มาดำเนินการในลักษณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 5 ม.ค. เริ่มจากน้องสะดิ้ง พี่สาวของน้องชมพู่ แต่ไม่ได้เข้าเครื่องจับเท็จ เนื่องจากเป็นเยาวชน ตามด้วย นายอนามัย และนางสาวิตรี พ่อแม่ของน้องชมพู่ ต่อมาวันที่ 6-7 ม.ค. เป็นคิวของน้าเขย และน้าสาวของน้องชมพู่ 



  • สำหรับเครื่องจับเท็จ มีการใช้กล้องและเครื่องจับชีพจร หากใครมีพิรุธหรือโกหก ชีพจรจะเต้นไม่เป็นปกติ จากการซักถามซ้ำๆ วนไปวนมาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และให้ตอบเพียงว่าใช่กับไม่ใช่เท่านั้น เป็นหนึ่งในกระบวนการสอบสวน นำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของหลักฐานประกอบสำนวนคดี แต่ไม่ใช่การชี้ขาดว่าใครคือคนร้าย

  • การแปลผลจากเครื่องจับเท็จ ต้องผ่านความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญอย่างน้อย 2-3 คน ทางตำรวจคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้ โดยคนทำผิดหรือทำอะไรไปจะรู้อยู่แก่ใจ และคงนอนไม่หลับ

  • แต่ไม่ทันจะทราบผลการวิเคราะห์จากเครื่องจับเท็จ สังคมต้องแปลกใจกับพฤติกรรมของลุงพล ที่ดูค่อนข้างหงุดหงิดมีอาการเกรี้ยวกราดของขึ้นใส่นักข่าว ขณะเจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้าตรวจสอบท่อนไม้ บริเวณศาลแม่ตะเคียนโสรภี ที่นำมาตั้งให้ชาวบ้านกราบไหว้ พบว่าเป็นไม้มะค่าแต้ ซึ่งเป็นไม้หวงห้าม จนวันต่อมาได้ตั้งโต๊ะแถลงขอโทษกับสิ่งที่ทำ พร้อมยืนยันยังนอนหลับปกติดี ไม่มีความกังวลใดๆ

...

จากพฤติกรรมล่าสุดของ “ลุงพล” ภายหลังเข้าเครื่องจับเท็จเมื่อ 10 กว่าวันก่อน จึงเกิดคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น? จึงไม่สามารถบริหารจัดการและควบคุมอารมณ์ได้ ทาง “ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์” รีบไขข้อข้องใจในประเด็นนี้กับ “รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล” ผู้ช่วยอธิการบดี และประธานกรรมการ คณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งรู้สึกแปลกใจกับการแสดงออกของลุงพล ไม่มีเหตุผลที่ต้องทำกับนักข่าวเช่นนี้ เชื่อว่ามีความเครียดทั้งเรื่องคดีน้องชมพู่ และเรื่องไม้หวงห้าม สะท้อนตัวตนว่าดูเป็นคนใจเย็น ไม่น่าเป็นอย่างนั้น เพราะไม่สามารถบริหารจัดการอารมณ์ได้

ในกรณีตำรวจนำผู้ต้องสงสัยเข้าเครื่องจับเท็จ ซึ่งแต่ละคนจะมีรูปแบบการบริหารจัดการทางอารมณ์ที่แตกต่างกัน แม้กระทั่งคนกระทำความผิด หากเคยกระทำความผิดมาก่อนแล้วมาทำความผิดซ้ำ จะมีการบริหารจัดการอารมณ์ที่ต่างกัน หรือกรณีคนไม่ได้กระทำความผิด อาจเกิดความเกรงกลัว ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลในการจัดการความเครียด และในทางกลับกัน คนมีปัญหาการจัดการทางอารมณ์ ยิ่งมีความเกรงกลัวว่าตัวเองจะถูกคุมขัง อาจทำให้เกิดความเครียดได้ ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เครียดได้

ในแง่หลักฐานจากการวิเคราะห์ผลจากเครื่องจับเท็จ ศาลอาจไม่รับฟัง 100% แต่เป็นแนวทางการสอบสวนที่เป็นประโยชน์ในการใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ ในการบ่งบอกปฏิกิริยาของร่างกาย ทั้งการเต้นของหัวใจ การเต้นของชีพจร ความดันโลหิต และการขยายตัวของปอด รวมถึงการแสดงออกของสีหน้า แววตา และการกัดลิ้น กระดิกเท้า จิกเล็บมือ

“หากคนพูดความจริง ไม่โกหก กราฟจะมีความแตกต่างจากการจับการเต้นของหัวใจ วัดชีพจร จับปลายนิ้วมีเหงื่อออกมาหรือไม่ หากพูดไม่จริง กราฟจะมีความชันมากขึ้น จากปฏิกิริยาตอบสนองในร่างกาย ต้องผ่านกระบวนการทางความคิด สามารถตีค่าออกมาได้ แต่ก็มีข้อแตกต่าง หากคนคนนั้นโกหกเก่ง อาจมีผลทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้ หรือคนนั้นมีสภาพทางจิต มีการใช้ยา มีผลต่อการเต้นของหัวใจ”

ในอดีตที่ผ่านมา มีการใช้เครื่องจับเท็จจนสามารถคลี่คลายคดีได้ เช่น กรณี เสริม สาครราษฎร์ ฆ่าหั่นศพเจนจิรา พลอยองุ่นศรี และกรณี สมพงษ์ เลือดทหาร คนขับแท็กซี่โกหกว่าเก็บเงิน 20 ล้านคืนต่างชาติ

หรือกรณี “น้องสะดิ้ง” พี่สาวของ "น้องชมพู่" เคยบอกกับตำรวจว่า หลับขณะน้องชมพู่หายตัวไป แต่เมื่อมีการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ด้วยเทคโนโลยี จึงไม่สามารถปฏิเสธได้ ซึ่งการที่ตำรวจนำผู้ต้องสงสัยในคดีน้องชมพู่เข้าเครื่องจับเท็จ เพราะเชื่อว่าผู้ก่อเหตุมีความชำนาญเส้นทาง โดยเฉพาะจุดวางศพน้องชมพู่ และเชื่อว่าเป็นคนใกล้ชิด จนน้องชมพู่ยอมไปด้วย โดยตำรวจได้ทำไทม์ไลน์เป็นรายบุคคล เพื่อคลี่คลายคดีว่าใครทำให้น้องชมพู่เสียชีวิต ไม่ได้เสียชีวิตเอง

นอกจากนี้ยังเชื่อว่าตำรวจต้องมีพยานหลักฐานแล้ว ซึ่งต้องหาพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีมาประกอบทำสำนวนคดี เพื่อออกหมายจับผู้กระทำผิด ส่วนจะถึงขั้นออกหมายจับได้หรือไม่ ต้องติดตามต่อไป.

...