ปี 2569 ที่กำลังจะถึงนี้ เป็นหนึ่งในปีที่แสดงถึงพลังของประชาชน ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริงในการปกครองของสังคมไทย โดยมีการเลือกตั้งที่รอคอยอยู่มากถึง 4 สนามด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดนี้จะอัดแน่นอยู่ในช่วงครึ่งปีแรก


เลือกตั้งใหญ่ (สส.)


การเลือกตั้งทั่วไป สนามใหญ่ที่สุดของการเลือกตั้งในบ้านเรา กำลังจะมาถึงในช่วงต้นปี 2569 แม้จะยังไม่ครบวาระ 4 ปีของสภาฯ ชุดปัจจุบัน แต่เนื่องด้วยเกมการเมืองที่มีความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากเก้าอี้นายกฯ จนเกมพลิกมาอีกฝั่ง ที่รับเงื่อนไขของพรรคประชาชน เสียงส่วนใหญ่ในสภาฯ (143 เสียง) ยื่นเงื่อนไขยุบสภาฯ ภายใน 4 เดือน หลังแถลงนโยบาย จึงคาดว่า จะมีการยุบสภาฯ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2569


รัฐธรรมนูญกำหนดให้จัดการเลือกตั้ง กรณีการยุบสภาฯ ภายใน 45-60 วัน จึงคาดว่าจะเกิดขึ้นไม่เกินเดือนเมษายนนี้


สำหรับการเลือกตั้งใหญ่ จะมีการเลือก “ผู้แทน” หรือเรียกว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) 2 ระบบ คือ ระบบแบ่งเขต 400 คน เป็น สส.พื้นที่จากทั่วทั้งประเทศ และระบบบัญชีรายชื่อ หรือปาร์ตี้ลิสต์ 100 คน จากการคำนวณสัดส่วนผ่านการออกเสียงของประชาชนเช่นกัน จึงจะต้องเลือก 2 ใบ 2 ระบบ และกาได้ใบละ 1 เบอร์เท่านั้น


การออกเสียงประชามติ


การจัดทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาแล้วว่า ต้องผ่านการจัดออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง

โดยครั้งที่ 1 ให้สอบถามประชาชนว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ครั้งที่ 2 สอบถามเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีวิธีการและเนื้อหาสำคัญอย่างไร ซึ่งสามารถทำประชามติครั้งที่ 1-2 พร้อมกันได้ ส่วนครั้งที่ 3 ให้ประชาชนให้ความเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

สำหรับไทม์ไลน์การเมือง มีข้อเสนอให้ทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งใหญ่ ที่มีเงื่อนไขการยุบสภาฯ ภายใน 4 เดือน นับจากวันแถลงนโยบาย หรือเป็นเวลาประมาณ 6 เดือนหลังจากนี้ นั่นทำให้กรอบเวลาของสภาฯ ต้องพิจารณาร่างแก้ไข ม.256 วาระที่ 1-2 ให้เสร็จสิ้นทันก่อนเดือนธันวาคมนี้ เพื่อให้ทันตามระยะเวลาการเลือกตั้งใหญ่ที่ต้องการดำเนินการไปพร้อมกัน

...


การเลือกตั้งท้องถิ่น (อบต.)


บรรดาผู้บริหารและสมาชิกท้องถิ่นระดับ อบต. (องค์การบริหารส่วนตำบล) ชุดแรกตามรัฐธรรมนูญ 2560 กว่า 5,000 แห่ง กำลังจะครบวาระในวันที่ 27 พฤศจิกายนนี้ ตามไทม์ไลน์การเลือกตั้งภายใน 45 วัน และข้อมูลจากงานสัมมนาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ล่าสุด คาดว่าจะจัดการเลือกตั้งได้ในวันที่ 11 มกราคม 2569 เป็นสนามแรกประเดิมปีแห่งการเลือกตั้ง ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 ของปีเลย


ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา กกต. ได้ออกจดหมายข่าวเตือนผู้ที่ต้องการจะลงรับสมัครเลือกตั้งว่า ห้ามกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น เป็นเวลา 180 วัน หรือ 6 เดือน ก่อนวันครบวาระ เริ่มตั้งแต่ 31 พฤษภาคม และสิ้นสุดในเวลา 18.00 น. วันก่อนวันเลือกตั้ง


ทว่า สนาม อบต. เป็นการเลือกตั้งท้องถิ่นหน่วยย่อยที่สุด ความดุเดือดจึงค่อนข้างน้อยมาก หากเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งเทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่เพิ่งเกิดขึ้นไปในปีนี้ แม้อาจจะไม่ได้รับความสนใจมากนัก แต่อาจจะมีบางแห่งที่การเมืองใหญ่ต้องการเจาะพื้นที่นี้ เช่น พรรคประชาชนที่พยายามขับเคลื่อนการเมืองกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่นแบบเปิดเผยชื่อพรรคอย่างชัดเจน แม้จะยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่นักจากหลายสนามที่ผ่านมา แต่กระแสการเลือกตั้งอาจปลุกความตื่นตัวของประชาชนมากขึ้น จนให้ความสำคัญกับเวทีเล็กก็ได้


การเลือกตั้งผู้ว่า กทม. และนายกพัทยา


การปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ทั้งกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา คาดว่าจะเกิดขึ้นเป็นสนามส่งท้ายปี 69 ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมนี้ (อาจเป็นวันที่ 5 ก.ค.) โดยเฉพาะสนามของเมืองหลวงที่อุณหภูมิร้อนแรงเป็นพิเศษ จากล่าสุดในปี 2565 ที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครอิสระ อดีตรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย คว้าชัยชนะด้วยคะแนนสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์กว่า 1.3 ล้านเสียง ด้วยกระแสฟีเวอร์อย่างมาก ณ เวลานั้น 


ทว่า 4 ปี ของผู้ว่าฯ ชัชชาติ ผลงานก็มีให้เห็นเป็นระยะ แม้จะไม่หวือหวามากนัก แต่ก็มีโอกาสที่ผู้สมัครจาก "พรรคส้ม" เจ้าของเก้าอี้ 32 จาก 33 เขตในการเลือกตั้งใหญ่ ปี 66 จะยึดเก้าอี้คืนกลับมาได้ แม้จะยังไม่แง้มว่าจะส่งใครมาลงชิงชัยสนามนี้ จากเดิมที่เป็นนายวิโรจน์ ลักษณาอดิศร ซึ่งคาดว่าจะเป็นคนในอีกเช่นเคย


แต่ความร้อนแรงของสนาม กทม. อาจจะถูกกลบด้วยกระแสการเมืองใหญ่ที่ในช่วงกลางปี คงอยู่ในโค้งแรกของรัฐบาลชุดใหม่ จึงอาจทำให้กระแสไม่ได้แรงเท่ากับปี 2565 ที่เป็นสนามเดี่ยวโดดๆ จนมีเวทีดีเบต และพื้นที่สื่อให้ช่วงชิงกันเต็มไปหมด 


ขณะที่นายกเมืองพัทยา เก้าอี้เดิมเป็นของ "กลุ่มเรารักพัทยา" คือ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ก็คงจะมีการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้น เพราะเดิมในปี 2565 ก็เอาชนะ นายสินไชย วัฒนศาสตร์ จากกลุ่มพัทยาร่วมใจ มาได้เพียง 2,000 คะแนน อีกทั้งกลุ่มพรรคส้มที่คะแนนห่างกันไม่มากนัก ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้สนามนี้ดุเดือดมากขึ้น อีกทั้งต้องรอเอฟเฟกต์จากผลการเมืองใหญ่ด้วยเช่นกัน

...