วันนี้ (26 มิ.ย. 2568) แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยแพร่รายงานฉบับใหม่ว่า รัฐบาลกัมพูชากำลังเพิกเฉยต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนสารพัดรูปแบบที่กระทำโดยกลุ่มอาชญากรรมในศูนย์สแกมเมอร์อย่างน้อย 53 แห่ง ใน 16 จาก 25 จังหวัดทั่วประเทศ
แอกเนส คาลามาร์ด เลขาธิการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า การถูกหลอก ถูกจับค้ามนุษย์ และถูกกดขี่ ผู้รอดชีวิตจากศูนย์เหล่านี้ต่างเล่าว่าตนติดอยู่ในฝันร้าย เพราะถูกบังคับให้เข้าองค์กรอาชญากรรมที่กระทำการภายใต้ความยินยอมที่เห็นได้ชัดของรัฐบาลกัมพูชา
“ผู้หางานจากเอเชียและภูมิภาคอื่นๆ ถูกหลอกล่อด้วยคำสัญญาว่ามีงานที่ให้ค่าตอบแทนสูง แต่ท้ายสุดพวกเขากลับถูกส่งเข้าค่ายแรงงานนรกที่ดำเนินการโดยขบวนการอาชญากรรม และถูกบังคับให้หลอกลวงผู้อื่นโดยถูกข่มขู่ว่าจะใช้ความรุนแรงอย่างจริงจัง”
ข้อค้นพบของแอมเนสตี้บ่งชี้ถึงการประสานงานและอาจถึงขั้นสมรู้ร่วมคิดระหว่างหัวหน้าศูนย์ชาวจีนกับตำรวจกัมพูชาที่อยู่เบื้องหลังความล้มเหลวในการสั่งปิดศูนย์เหล่านี้
...
ลิซ่า สาวไทยผู้รอดชีวิตวัย 18 ปี เล่าว่าหางานทำช่วงปิดเทอมก่อนถูกจับค้ามนุษย์ เล่าว่า “นายหน้าบอกว่าจะให้ทำงานฝ่ายธุรการ ส่งรูปโรงแรมมีสระว่ายน้ำมาให้ เงินเดือนก็ดีมาก”
แต่สุดท้ายลิซ่ากลับถูกพาตัวข้ามแม่น้ำหลบเข้ากัมพูชาตอนกลางคืน และถูกคุมตัวไว้ยาวนานกว่า 11 เดือน โดยมียามที่มีอาวุธครบคอยจับตา พร้อมบังคับให้ทำงานหลอกลวง พอเธอพยายามหลบหนีก็ถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล พบว่า สถานที่ต้องสงสัยว่าเป็นศูนย์สแกมเมอร์ อาคารหลายแห่งเคยเป็นกาสิโนหรือโรงแรมที่ถูกดัดแปลงโดยกลุ่มอาชญากรรมที่มีสมาชิกส่วนมากเป็นชาวจีน และมีลักษณะเหมือนออกแบบมาเพื่อกักขังคน มีการติดกล้องวงจรปิด ลวดหนามรอบกำแพง และมียามถือกระบองไฟฟ้าจำนวนมาก บางรายมีอาวุธปืน ผู้รอดชีวิตหลายคนเล่าว่า “ไม่มีทางหนี” บางแห่งจะมี “ห้องมืด” สำหรับทรมานผู้ที่ไม่ยอมทำงาน ไม่สามารถทำงาน ทำงานไม่ได้ตามเป้า หรือพยายามติดต่อเจ้าหน้าที่ เหยื่อบางคนถูกขายต่อ มีหลายคนเล่าว่าตนถูกบอกว่าเป็นหนี้ศูนย์เหล่านี้ จึงต้องทำงานเพื่อชดใช้
เหยื่อส่วนมากถูกหลอกล่อมากัมพูชาด้วยโฆษณางานบนโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม ก่อนถูกบังคับให้คุยกับคนผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อหลอกลวงพวกเขา มีทั้งหลอกให้ผู้เสียหายหลงรักหรือหลอกให้ลงทุน หลอกขายผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีการจัดส่ง หรือทำให้เหยื่อเชื่อใจและหลอกเอาเงิน ซึ่งเรียกว่า “หลอกหมูขึ้นเขียง”
รายงานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ยังพบว่ารัฐบาลกัมพูชาล้มเหลวในการสืบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนในศูนย์สแกมเมอร์ ทั้งที่ได้รับแจ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มอนต์เซ เฟอร์เรอร์ ผู้อำนวยการภูมิภาคฝ่ายวิจัย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่าทางการกัมพูชารู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นในศูนย์สแกมเมอร์ แต่กลับปล่อยให้ดำเนินต่อไป โดยรัฐบาลอ้างว่ากำลังแก้ปัญหาวิกฤตสแกมเมอร์ผ่านคณะกรรมการต่อต้านการค้ามนุษย์กัมพูชา (NCCT) มีตำรวจเข้า “ช่วยเหลือ” เหยื่อจากศูนย์สแกมเมอร์หลายครั้ง อย่างไรก็ตามศูนย์สแกมเมอร์กว่า 2 ใน 3 ยังคงดำเนินการอยู่ แม้ถูกตำรวจบุกและช่วยเหลือแล้วก็ตาม โดยในหลายครั้งตำรวจไม่ได้เข้าไปตรวจสอบภายในศูนย์ แต่แค่ไปพบผู้จัดการหรือยามที่ประตู เพื่อรับตัวผู้ร้องขอความช่วยเหลือออกมา จากนั้นธุรกิจภายในก็ดำเนินต่อตามปกติ
...
“รัฐบาลกัมพูชาสามารถหยุดการละเมิดเหล่านี้ได้ แต่เลือกที่จะไม่ทำ การแทรกแซงของตำรวจที่บันทึกไว้ดูจะเป็นเพียง ‘การสร้างภาพ’ เท่านั้น” มอนต์เซ เฟอร์เรอร์กล่าว
“ทางการกัมพูชาต้องรับประกันว่าจะไม่มีผู้หางานคนใดถูกค้ามนุษย์เข้าสู่ประเทศเพื่อเผชิญการทรมาน การเป็นทาส หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่นใดอีก ทางการต้องเร่งสืบสวนและปิดศูนย์สแกมเมอร์ทั้งหมด พร้อมระบุตัว ช่วยเหลือ และคุ้มครองเหยื่ออย่างเหมาะสม การเป็นทาสจะเติบโตได้เมื่อรัฐบาลเมินเฉย”
ทั้งนี้ภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รัฐกัมพูชามีหน้าที่รับประกันว่าไม่มีบุคคลใดถูกจับเป็นทาส ถูกจองจำรับใช้ หรือถูกบังคับใช้แรงงาน รัฐมีหน้าที่คุ้มครองเด็กจากการถูกนำมาแสวงหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และต้องป้องกัน ห้ามปราม สืบสวน และดำเนินคดีต่อการทรมานและการค้ามนุษย์ทั้งหลาย
...