จากสถานการณ์ความร้อนแรงที่ชายแดนประเทศไทยและกัมพูชายังคงอยู่ในความตึงเครียด แม้ทั้ง 2 ฝ่ายพยายามลดความขัดแย้งและหาทางออกอย่างสันติเพื่อป้องกันความสูญเสีย ขณะเดียวกันก็มีความเคลื่อนไหวจากฝั่งการเมืองไทยทั้งฝ่ายบริหารที่นำโดยนายกรัฐมนตรี และ สส.จากฝ่ายนิติบัญญัติในประเด็นนี้

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความเคลื่อนไหวล่าสุดในการแถลงข่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำสัปดาห์ โดยมีใจความว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาแบ่งฝ่ายว่ารัฐบาลทำงานดีหรือไม่ ทหารทำงานอย่างไร แต่คนไทยต้องสามัคคีกันถึงจะมีแรงในการพูดคุยเจรจา แน่นอนว่าสันติวิธีคือสิ่งที่เลือก โดยยกเพลงชาติไทยว่า “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด” เตรียมความพร้อมรับมือในทุกรูปแบบ แม้จะไม่ต้องการปะทะ หรือเสียเลือดเนื้อก็ตาม รวมถึงบอกว่า แม้ผู้นำทั้ง 2 ประเทศจะเป็นเพื่อนกัน แต่ก็ไม่สามารถยกบ้านให้กับเพื่อนไปได้

ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม เพิ่งเดินทางลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ไปติดตามประเด็นนี้หลังจากเสร็จสิ้นการประชุม ครม. โดยก่อนหน้านี้ นายภูมิธรรม ยืนยันว่า ปัจจุบันรัฐบาลไม่นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมเดินหน้าเข้าสู่เวทีเจรจา JBC ในวันที่ 14 มิถุนายน ที่จะถึงนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

...

ขณะที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ได้โพสต์ชื่นชมทหารกองประจำการในพื้นที่ที่ปฏิบัติงานได้อย่างเป็นมืออาชีพ อดทนอดกลั้นต่อการยั่วยุ พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลทำหน้าที่ของตนเอง ไม่ใช่อดทนอดกลั้นแล้วไม่ทำอะไรเลย อีกทั้งยังต้องทำงานด้านการทูต และประสานความมั่นคงระหว่างประเทศ เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งบานปลายไปสู่ความสูญเสียโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อประชาชน

ส่วนนายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม โพสต์ถึงประเด็นนี้อย่างร้อนแรง โดยระบุว่า แม้แต่ 1 ตารางมิลลิเมตรเดียว ก็จะไม่ยอมสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนไทย และไม่ยอมให้ใครมาพรากไป แม้รัฐบาลจะอ่อนแอก็อ่อนไป แต่ฝ่ายนิติบัญญัติต้องเข้มแข็ง พร้อมให้กำลังใจพี่น้องกองทัพภาคที่ 2 ทุกนาย โดยยืนยันว่า นี่ไม่ใช่การปลุกปั่นให้เกิดสงคราม พร้อมย้ำว่า ประเด็นนี้ต้องเจรจากันไม่ใช่การใช้ความรุนแรง

โดยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์ กรณีสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยยืนยันว่า มีการตระหนักถึงความสำคัญสูงสุดในการปกป้องอธิปไตยของดินแดนไทยอย่างเต็มที่ พร้อมยึดหลักการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และมนุษยธรรม พร้อมให้ความมั่นใจว่า ได้ดำเนินการตามขั้นตอนอย่างครบถ้วน และคาดหวังว่าทั้ง 2 ประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านอาเซียน จะสามารถแก้ไขปัญหาร่วมกันได้