ประเด็นร้อนทางการเมืองขณะนี้ สำหรับ "พรรครวมไทยสร้างชาติ" ที่มี สส.จำนวน 36 คนในสภาฯ และร่วมรัฐบาลเพื่อไทยมากำลังจะครบ 2 ปี หลังจากเกิดศึกภายในที่ต้องการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค และยังไม่มีบทสรุปสำหรับเรื่องนี้

"พรรครวมไทยสร้างชาติ" เริ่มจดทะเบียนในเดือนมีนาคม 2564 โดย "แรมโบ้อีสาน" นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ก่อนที่ประชุมใหญ่ ณ สโมสรราชพฤกษ์ เมื่อเดือนสิงหาคม 2565 จะคัดเลือกกรรมการบริหารชุดใหม่จำนวน 9 คน นำโดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรค และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เป็นเลขาธิการพรรค

สำหรับจุดเปลี่ยนสำคัญของพรรคที่เกิดใหม่พรรคนี้ คือ การเปิดตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นสมาชิกพรรค สร้างความฮือฮาในหน้าข่าวการเมือง พร้อมขึ้นเป็นแคนดิเดตชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัยหนึ่ง โดยมีนายพีระพันธุ์ เป็นแคนดิเดตอีกหนึ่งคน ก่อนเข้าสู่เวทีเลือกตั้งในอีกครึ่งปี อีกทั้งยังมีนักการเมืองชื่อดังจำนวนมาก ทยอยตบเท้าเข้าเป็นสมาชิกพรรค อาทิ ชัชวาลล์ คงอุดม, ธนกร วังบุญคงชนะ, สุชาติ ชมกลิ่น, อนุชา บูรพชัยศรี, พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล และอนุชา นาคาศัย

...

สำหรับการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 พรรครวมไทยสร้างชาติที่ส่งผู้สมัครครบ 500 คน ทั้งในระบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เข้าสภาฯ จำนวน 36 คน เป็นรองเพียง พรรคก้าวไกล (151), พรรคเพื่อไทย (141), พรรคภูมิใจไทย (71) และพรรคพลังประชารัฐ (40)

ต่อมาในช่วงเดือน กรกฎาคม 2566 หลังผ่านการเลือกตั้งมาได้เพียง 2 เดือน พล.อ.ประยุทธ์ ได้ออกแถลงการณ์วางมือทางการเมือง และลาออกจากสมาชิกพรรคด้วย ทำให้สปอร์ตไลท์มาตกอยู่ที่ นายพีระพันธุ์ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน ที่ต้องคุมหัวเรือของพรรคทั้งหมดแทน

หลังจากนั้น พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ดีลจัดตั้งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยสำเร็จ โดยได้โควตารัฐมนตรี 4 คน แบ่งเป็น เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการ (รมว.) 2 คน และรัฐมนตรีช่วยว่าการ (รมช.) 2 คน และยังคงร่วมรัฐบาลมาจนถึงปัจจุบันนี้

ทว่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรค ได้นัดทานข้าวกับ สส.ในพรรค หลังเสร็จสิ้นภารกิจประชุมสภา สมัยวิสามัญ พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท โดยเข้าร่วมและโหวตเห็นชอบครบ 100% ท่ามกลางกระแสข่าวว่า เตรียมย้ายสมาชิกไปสังกัด "พรรคโอกาสใหม่" ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปในปี 2570 สะท้อนรอยร้าวที่เกิดขึ้นภายในพรรค

ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. นายเสกสกล ได้ออกมาทิ้งบอมบ์ลูกใหญ่ ประกาศขอทวงคืนพรรค ในฐานะคนก่อตั้ง โดยให้เหตุผลว่า ขอพรรคไปดูแลแต่ทำได้ไม่ดี มีความแตกแยกขึ้น หัวหน้าพรรคเข้าถึงยาก สนใจแต่พวกตัวเอง และยังไม่สามารถชี้แจงข้อสงสัยที่ถูกร้องเรียนได้อย่างกระจ่าง

ขณะเดียวกัน "เสธ.หิ" ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษาของรองนายกฯ และรมว.พลังงาน ในฐานะ ผอ.พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ออกมาตอบโต้กลับว่า นายเสกสกล ได้ลาออกจากพรรคแล้ว ไม่ได้เป็นสมาชิก และนายพีระพันธุ์ ดำรงตำแหน่งอย่างถูกต้อง อีกทั้งวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งพรรค เพื่อเป็นตัวแทนสมาชิกเสนอนโยบายและแนวทางบริหาร มีสมาชิกถึง 40,000 คน จึงไม่ได้เป็นของคนใดคนหนึ่ง

ขณะเดียวกัน หลังมีกระแสข่าวว่า สส.กลุ่มของนายสุชาติ ย้ายออกจากพรรค รทสช. พบว่าในการประชุมพรรครทสช.เมื่อวันที่ 27 พ.ค.เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 นายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครทสช.ได้กล่าวในที่ประชุมพรรค หลังจากนายสุชาติ ให้สัมภาษณ์สื่อว่าอาจจะย้ายออกจากพรรครทสช. ตอนหนึ่งว่า “ขอให้พวกเราอย่าหวั่นไหว ให้มั่นใจว่าพรรครทสช. ยังไปได้ ยังไงการเลือกตั้งรอบหน้า ยังมีพรรคอยู่ เรายังไปรอด”

ประเด็นร้อนนี้ยังคงต้องจับตาดูต่อไปอย่างใกล้ชิดว่า หลังจากนี้จะมีความเคลื่อนไหวใดออกมา ในฐานะ "พรรคเฉพาะกิจ" ที่ถูกมองว่า จัดตั้งขึ้นเพื่อรับกระแสของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา แต่ผลคะแนนไม่เป็นดังที่หวัง จนประคองตัวร่วมรัฐบาลมาถึงทุกวันนี้ กำลังจะถึงจุดจบจริงๆ หรือไม่ แล้วอุณหภูมิอันร้อนแรงจากภายใน จะเป็นการนับถอยหลังเวลาที่เหลืออยู่ของพรรคนี้หรือไม่