เอเชียใต้คุกกรุ่น หลังความสัมพันธ์ระหว่าง “อินเดีย” และ “ปากีสถาน” ซึ่งมีข้อพิพาทเหนือพื้นที่แคว้นแคชเมียร์มายาวนานกว่า 78 ปี ได้ทวีความตึงเครียดขึ้นอีก เนื่องจากเมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา เกิดเหตุสังหารหมู่นักท่องเที่ยวที่เมืองปาฮัลกัม บนภูเขาในแคว้นแคชเมียร์ฝั่งที่อยู่ภายใต้การดูแลของอินเดีย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 26 คน
อินเดียกล่าวหาปากีสถานว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการโจมตีครั้งนี้ และประกาศลดระดับความสัมพันธ์ ระงับความร่วมมือในข้อตกลงแบ่งปันน้ำในแม่น้ำสินธุ ด้านฝ่ายปากีสถานปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมเสนอให้มีการสืบสวนเหตุการณ์นี้อย่างเป็นกลาง และประกาศลดระดับความสัมพันธ์เช่นกัน ซึ่งทั้งสองประเทศได้มีการปะทะกันประปรายตามแนวพรมแดน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2568 เจ้าหน้าที่ระดับสูงของปากีสถานออกมาอ้างว่าพวกเขามีข้อมูลข่าวกรองที่เชื่อถือได้ว่า อินเดียจะมีมาตรการทางทหารต่อพวกเขาภายใน 24-36 ชั่วโมงข้างหน้า
ความตึงเครียดนี้สร้างความกังวลในระดับนานาชาติ เพราะถือว่ารุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เหตุการณ์คาร์บอมบ์ที่คร่าชีวิตทหารอินเดียในแคว้นแคชเมียร์ไป 40 นายเมื่อปี 2019 โดยอินเดียและปากีสถาน ต่างเป็นประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์จำนวนมาก และไม่อยู่ภายใต้สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) ที่ห้ามแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ ลดอาวุธนิวเคลียร์ และใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ
...
เทียบขุมกำลัง “อินเดีย-ปากีสถาน”
ข้อมูลจากสถาบันวิจัยนานาชาติ (IISS) เรื่องความมั่นคงและการป้องกันประเทศ พบว่า แสนยานุภาพกองทัพอินเดียเหนือกว่ากองทัพปากีสถาน โดยอินเดียติดท็อป 5 ของประเทศที่มีการใช้จ่ายด้านการทหารมากที่สุดในโลก ที่ 8.6 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อปี 2024 (ราว 2.8 ล้านล้านบาท) มีทหารประจำการราว 1,480,000 นาย อยู่ในกองทัพบก 1.2 ล้านนาย กองทัพอากาศ 1.5 แสนนาย กองทัพเรือ 7.55 หมื่นนาย และหน่วยยามฝั่ง 1.34 หมื่นนาย
ขณะที่ปากีสถาน มีทหารประจำการราว 6.6 แสนนาย อยู่ในกองทัพบก 5.6 แสนนาย กองทัพอากาศ 7 หมื่นนาย กองทัพเรือ 3 หมื่นนาย
ด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ อินเดียมีเครื่องบินรบ 480 ลำ เรือรบ 210 ลำ ขณะที่ปากีสถาน มีเครื่องบินรบ 300 ลำ เรือรบ 44 ลำ
ด้านอาวุธนิวเคลียร์ ทั้ง 2 ประเทศต่างไม่ทราบแน่ชัดว่าอีกฝ่ายมีอาวุธนิวเคลียร์ชนิดใดและจำนวนเท่าใด โดยอินเดีย ได้ทำการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2517 ขณะที่ปากีสถานเริ่มครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2531 โดยสถาบันวิจัยคาดว่า อินเดียมีหัวรบนิวเคลียร์ 172 หัว ขณะที่ปากีสถานมีหัวรบนิวเคลียร์ 170 หัว แต่นักวิเคราะห์บางส่วนก็คาดว่าปากีสถานอาจมีถึง 200 หัว
แม้จะมีความขัดแย้งกันมาหลายทศวรรษ แต่ทั้ง 2 ประเทศได้ลงนามในข้อตกลงว่าจะไม่โจมตีไซต์นิวเคลียร์ของกันและกัน และแลกเปลี่ยนรายชื่อโรงงานและการติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในเดือนมกราคมของทุกๆ ปี ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 34 ปีแล้ว
อย่างไรก็ดีโอกาสใช้อาวุธนิวเคลียร์ยังมีน้อย เพราะเป้าหมายการมีอาวุธนิวเคลียร์ของทั้งสองประเทศคือเพื่อ “หยุดสงคราม” ไม่ใช่เพื่อ “เริ่มสงคราม” โดยอินเดียมีนโยบาย No First Use คือไม่เริ่มใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน แต่จะใช้เพื่อตอบโต้หากฝ่ายตรงข้ามใช้อาวุธนิวเคลียร์กับกองทัพหรือดินแดนของอินเดีย
ขณะที่ปากีสถานมีนโยบายที่แตกต่างออกไป คือใช้เพื่อ “ป้องปรามเต็มรูปแบบ” โดยจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธี (tactical nuclear weapons) เพื่อตอบโต้ภัยคุกคามทางนิวเคลียร์หรือการโจมตีทางทหารจากคู่ขัดแย้งที่แข็งแกร่งและร่ำรวยกว่า และไม่ตัดความเป็นไปได้ในการเริ่มใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน หากประเมินแล้วว่าเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของประเทศ
อย่างไรก็ดี ปากีสถานมีแสนยานุภาพทางทหารด้อยกว่าอินเดียมาก และในอดีตเคยแพ้อินเดียในสงครามถึง 3 ครั้ง จึงเป็นไปได้ยากหากปากีสถานจะเริ่มเปิดฉากใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน
แรงกดดันจากนานาชาติ
จากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง สงครามรัสเซียยูเครน และสงครามการค้าที่กำลังดำเนินอยู่นี้ นานาชาติจึงไม่ต้องการความขัดแย้งในภูมิภาคเอเชียใต้อีก โดย มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ติดต่อไปยังอินเดียและปากีสถาน ขอให้ทั้งสองประเทศลดความตึงเครียดลง เช่นเดียวกับประเทศจีนที่ได้เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายอดทนอดกลั้น
ขณะที่พันธมิตรในอ่าวอาหรับของปากีสถาน ก็ได้แสดงจุดยืนว่าต้องการความมั่นคงและปลอดภัยในภูมิภาค และอินเดียก็ได้ติดต่อกลุ่มประเทศ G7 ถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ด้านสหประชาชาติ ก็ได้ออกมาขอให้ทั้งสองประเทศ ลดความตึงเครียดลงเช่นกัน
...