รัฐบาลกู้เงินรวมแล้ว 1.5 ล้านล้านบาท แต่สถานการณ์เศรษฐกิจยังย่ำแย่ จากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงและต่อเนื่องหลายระลอก ตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน และยังไม่รู้จุดสิ้นสุด บวกกับเศรษฐกิจไทยเอง ยังขาดการลงทุนเพื่อเตรียมเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในรูปแบบนิวนอร์มอล ตามเมกะเทรนด์โลก ที่เน้นพัฒนาด้านเทคโนโลยี สุขภาพ และคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น คำถามคือ รัฐบาลควรกู้เพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาทหรือไม่ 

กู้เงินเพิ่ม 1 ล้านล้านถมเศรษฐกิจ จำเป็นแค่ไหน

ที่ผ่านมาตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทยลดลง และติดลบบางไตรมาส และมีโอกาสต่ำที่สุดในภูมิภาคเอเชีย และคาดว่าจะอยู่ในภาวะอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเช่นนี้นานกว่าประเทศอื่น เนื่องจากไทยมีสัดส่วนจีดีพีที่พึ่งพิงรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุดในเอเชีย คิดเป็น 11.5% ของจีดีพี ดังนั้นขณะที่ประเทศอื่นใช้เวลาฟื้นตัวราว 2 ปี แต่ไทยอาจใช้เวลานานกว่า 3 ปี หรือรอไปฟื้นปี 2566 ภาพเช่นนี้ทำให้หน่วยงานเศรษฐกิจภาครัฐและภาคเอกชน ไม่ลังเลในการปรับประมาณการจีดีพีปีนี้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนถึงติดลบ

รายได้เข้ากระเป๋าประเทศหดหาย แนวทางแก้ไขปัญหาโดยการกู้เงินมาใช้จ่ายจึงเกิดขึ้น งวดแรกรัฐบาลได้ออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ประกาศใช้เมื่อ 18 เม.ย. 2563 โดยเงินส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการแจกจ่ายเพื่อเยียวยาประชาชน

ถัดมาปีกว่า การระบาดของโควิด-19 รุนแรงขึ้น ยอดผู้ติดเชื้อรายวันทะลุหลักพัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก หลายธุรกิจขาดรายได้ แรงงานยังไม่สามารถกลับเข้าระบบการจ้างงาน รัฐบาลจึงได้ออก พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติมฉบับที่ 2 วงเงินไม่เกิน 500,000 ล้านบาท มีผลบังคับใช้เมื่อ 25 พ.ค. 2564 โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ยืนยันว่าหนี้ในปี 2564 ยังอยู่ในกรอบวินัยการคลัง คือ ไม่เกิน 60% ของจีดีพี เพราะจะกู้ในปี 2564 เพียงบางส่วน และหนี้ที่เพิ่มขึ้นจะไม่กระทบเครดิตเรตติ้งประเทศ เนื่องจากเป็นการกู้ในประเทศเป็นหลัก และสามารถบริหารจัดการหนี้ที่เพิ่มขึ้นได้

...

สถานการณ์วิกฤติหนักในเดือน ส.ค.2564 ยอดผู้ติดเชื้อสะสมในไทยทะลุหลักล้านราย การแพร่ระบาดยังไม่จบ และไม่แน่นอนสูง ระบบเศรษฐกิจแทบจะหยุดชะงัก ทำให้ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เสนอให้กู้เงินเพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาท เพื่อพยุง และเตรียมการฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิดให้สามารถพลิกฟื้นกลับมาได้โดยเร็ว

ข้อเสนอนี้มาจากสิ่งที่ปรากฏชัดคือ การใช้จ่ายของภาคประชาชนปรับลดลงมากจากการล็อกดาวน์ ส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ แทบจะไม่ต้องคาดหวัง เพราะอีกนานกว่าจะกลับมาเท่าเดิม แม้ว่าภาคการส่งออกไทยขยายตัวได้ดี แต่ยังไม่สามารถชดเชยรายได้แทน ขณะที่จำนวนการฉีดวัคซีน ยังห่างไกลอัตราการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity)

นี่คือสภาพเบื้องต้นที่ ธปท.คาดว่าจะทำให้รายได้หายไป เป็น “หลุมรายได้” ขนาดใหญ่ ที่หายไปจากระบบเศรษฐกิจไทยในช่วงปี 2563-2565 ประมาณ 2.6 ล้านล้านบาท และประเมินว่าจีดีพีไทยปี 2564 จะเติบโต 0.7% และปี 2565 จะเติบโต 3.7%

“ด้วยขนาดของรายได้ที่จะหายไป 2.6 ล้านล้านบาท เม็ดเงินของภาครัฐที่มีอยู่ในปัจจุบันคงไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องเพิ่มแรงกระตุ้นทางการคลัง เพื่อช่วยให้กลับมาฟื้นตัวได้โดยเร็วที่สุด และลดแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่จะกลายเป็นอุปสรรคในการพัฒนาเศรษฐกิจหลังโควิด เบื้องต้นเม็ดเงินจากภาครัฐที่เติมเข้าไปในระบบควรมีอย่างน้อย 1 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 7% ของจีดีพี โดยคาดว่าหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นไปสูงสุดที่ประมาณ 70% ของจีดีพี ในปี 2567 และจะทยอยลดลงเมื่อเศรษฐกิจขยายตัวดีขึ้น” ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวสรุปความเห็น

กราฟิก : ประดิษฐ์ พูลสารกิจ
กราฟิก : ประดิษฐ์ พูลสารกิจ

โควิด-19 ยังไม่จบ คือความไม่แน่นอน ที่ยังมองไม่เห็น
เมื่อไม่รู้อนาคตจะเป็นอย่างไรในการสกัดโควิด-19 นายเชาว์ เก่งชน ประธานกรรมการบริหาร บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด จึงมองว่า สาเหตุที่ภาคธุรกิจส่วนใหญ่ อย่าง คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และ ธปท. อยากให้รัฐบาลกู้เพิ่ม เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่เติบโตลดลง และมองว่าปัญหายังไม่จบ บางช่วงแม้สถานการณ์จะดีขึ้น ก็อาจกลับมาแย่ได้อีก เพราะยอดฉีดวัคซีน ณ วันที่ 25 ส.ค. 2564 สะสมรวมอยู่ที่ประมาณ 26 ล้านโดส แต่คนที่ฉีดครบ 2 โดส มีเพียงประมาณ 6.4 ล้านคน

ขณะที่การเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ต้องมีผู้ได้รับวัคซีน 2 โดส 70% ของประชากร หรือราว 40-50 ล้านคน ซึ่งประเมินว่าจะเกิดขึ้นช่วงไตรมาสแรกปี 2565 และที่สำคัญถึงเวลานั้นจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้ผลหรือไม่ เพราะไวรัสกลายพันธุ์ ดังนั้นดูจากยอดฉีดวัคซีนจึงยากที่จะมองว่าสถานการณ์มันจะกลับมาได้ในเร็ววัน

ขณะที่ฝั่งรัฐบาลมองว่า ไม่จำเป็นต้องไปกู้เพิ่มอีก เน้นใช้เงินที่มีมากกว่า จึงต้องการให้เศรษฐกิจพึ่งตัวเอง เพราะรัฐเห็นว่าเศรษฐกิจอยู่ได้ด้วยตัวเองดีกว่าการพึ่งรัฐ และส่งสัญญาณว่า หากคลายล็อกดาวน์จะกลับมาค้าขายได้ เงินที่รัฐบาลมีก็น่าจะพอให้ใช้ได้ ซึ่งรัฐบาลมองสถานการณ์ในแง่ดี

“การมองไปข้างหน้า และมองการแพร่ระบาดของสองฝ่ายไม่เหมือนกัน รัฐมองว่าใกล้จะคลี่คลายและน่าจะกลับมาได้ คนค้าขายจะกลับมาทำกินได้ คนไม่มีงานทำจะกลับมาทำงานได้ แต่ฝั่งคนที่อยากให้กู้เพิ่มมองปัญหาว่ายังไม่จบง่ายๆ แต่ควรกู้เพิ่มหรือไม่ เส้นแบ่งไม่ชัด มีข้อกังวลว่า การกู้ไปแล้วรัฐบาลจะหยุดเมื่อไหร่ กู้มากไปคงไม่ดี ปัญหา คือ ไม่รู้ว่าความพอดีที่สองฝ่ายสบายใจจะขีดเส้นยังไง ดังนั้น ถ้าให้รัฐบาลเป็นคนตัดสินใจ เขาก็คงพยายามให้คนยืนอยู่บนขาตัวเอง ซึ่งทั้งหมดเวลาจะเป็นตัวตัดสิน” นายเชาว์ กล่าว

...

กราฟิก : ประดิษฐ์ พูลสารกิจ
กราฟิก : ประดิษฐ์ พูลสารกิจ

แนะ 5 ข้อใช้เงินกู้ต้องรอบคอบ ป้องกันหนี้ระเบิด
กู้ 1 ล้านล้านบาทเพิ่มได้ แต่ต้องมีแผนการใช้ที่รอบคอบ คือความเห็นจาก นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน กลุ่มธุรกิจการเงิน เกียรตินาคินภัทร 

รัฐบาลควรกู้เพิ่ม แต่การกู้ต้องมีเงื่อนไข เพื่อให้การใช้งบเกิดประสิทธิภาพ มีการวางแผนการใช้จ่าย เพราะในทางเศรษฐศาสตร์มันไม่มีอะไรฟรี ถ้าไม่กู้เพิ่ม ไม่จัดงบขาดดุล อาจต้องขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ดังนั้น เราควรรู้ว่ามันคุ้มกันหรือไม่ ที่สำคัญก่อนกู้ต้องจัดระเบียบกระเป๋าเงินตัวเองด้วย ต้องดูงบปัจจุบันด้วยว่าจัดลำดับความสำคัญใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหรือยัง เช่น ต้องไม่ใช้งบในการไปดูงานต่างประเทศ ไปซื้อของจากต่างประเทศ เป็นต้น

...

เมื่อกู้เงินแล้ว ต้องมีนโยบายการคลังที่ให้ความสำคัญตามลำดับ คือ

1. เตรียมพร้อมการจัดสรรทรัพยากรอย่างเพียงพอเพื่อเสริมศักยภาพด้านสาธารณสุข

2. การจัดหาและกระจายวัคซีนที่มีคุณภาพให้เพียงพอ เพื่อลดการแพร่ระบาดและการสูญเสีย

3. การเยียวยา เพราะล็อกดาวน์ให้คนอยู่บ้านแล้วเขาเสียรายได้ รัฐควรต้องไปชดเชยให้ครอบคลุม เพื่อให้เขาไม่อดตาย และช่วยธุรกิจไม่ให้พัง

4. การใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆ ให้เงินหมุน ซ่อมสร้างเศรษฐกิจระหว่าง 2 ปีนี้

และ 5. เพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น พัฒนาทักษะแรงงานเพื่อรับความท้าทายหลังโควิด-19 ให้ระบบเศรษฐกิจเดินหน้าได้ ลงทุนในประเทศ เป็นต้น

“หนี้สาธารณะตอนนี้ถึงไม่ทำอะไรก็เกิน 60% ของจีดีพีได้ ดังนั้น หากทำแล้วช่วยการขับเคลื่อนไปข้างหน้าก็ทำได้ คนไม่กังวลระดับหนี้จะอยู่ที่เท่าไหร่ แต่อาจกลัวหนี้จะระเบิด คือ หนี้โตกว่าจีดีพี โดยหนี้โตจากดอกเบี้ยและการขาดดุล ตามศักยภาพจีดีพีไทยจะโตปีละ 2-3% ถ้ากู้ตอนนี้ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อยู่ที่ราว 1% กว่า การกู้ที่มีหนี้สาธารณะราว 70% ของจีดีพีจะมีภาระดอกเบี้ยจ่ายต่ำกว่า 2% ของจีดีพี หนี้จึงมีโอกาสระเบิดน้อย แต่การใช้เงินต้องมีประสิทธิผล (Productive) ป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจหดตัว

ถ้าปีนี้จีดีพีติดลบอีกจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) เพราะติดลบ 2 ปีติดต่อกัน นอกจากนี้ กู้แล้วต้องทำให้ตลาดเชื่อมั่นว่าเรามีวินัย คืนหนี้ได้ มีแผนลดหนี้ รวมทั้งนโยบายการเงินและการคลังต้องสอดรับกันมากขึ้น” นายพิพัฒน์ ระบุ

เมื่อประเมินจากหลายมุมมองดูเหมือนการกู้เพิ่มจะไม่ใช่ปัญหา ถ้าใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพทำให้เศรษฐกิจฟื้นกลับมาได้ แต่หากใช้จ่ายโดยไม่มีแผนชัดเจน ผลที่ได้จะไม่ต่างกับการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เกิดความเคยชินในการแจกเงิน และสุดท้ายการกู้เงินก็จะเกิดขึ้นโดยไม่รู้จักจบ แต่หนี้สินจะท่วมประเทศโดยไม่รู้ตัว.

...