“ขอให้คนรักชาตินำเงินฝากที่เก็บไว้ไปใช้จ่าย” คือประโยคที่เผยแพร่ผ่านสื่อตลอดวัน เมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา หลังจากนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้เสนอวิธีการช่วยชาติแบบนี้ จนทำให้หลายคนเกิดคำถามมากมายว่าแบบนี้ก็ได้เหรอ?
แต่วันต่อมา วันที่ 27 เมษายน นายสุพัฒนพงษ์ ออกมาชี้แจงว่า เป็นความคลาดเคลื่อนจากที่อยากสื่อสารคือ อยากจะสื่อว่า การบริโภคในประเทศจะช่วยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ พร้อมบอกด้วยว่า เงินฝากภาคเอกชนเพิ่มมากขึ้นหลายแสนล้านเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเป็นปีที่โควิด-19 ระบาด
จากการตรวจสอบข้อมูลที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ โดยเปรียบเทียบกับปี 2563 ณ สิ้นเดือนธันวาคม กับเดือนกุมภาพันธ์ 2564 พบว่า ตัวเลขจำนวนบัญชีเงินฝาก และจำนวนเงินฝากโดยรวมเพิ่มขึ้นจริง แต่อยู่ในหลักหมื่นล้าน โดยภาพรวมจำนวนบัญชีเงินฝาก เมื่อเดือนธันวาคม 2563 มีประมาณ 106 ล้านบัญชี และจำนวนเงินฝากมีรวมกัน 14,748,055 ล้านบาท ส่วนเดือนกุมภาพันธ์ 2564 มีบัญชีเงินฝาก 108 ล้านบัญชี จำนวนเงินฝากรวม 14,720,906 ล้านบาท คิดเป็นเงินฝากรวมเพิ่มขึ้น 27,149 ล้านบาท
หากพิจารณากลุ่มผู้ฝากเงิน ซึ่งเริ่มนับตั้งแต่กลุ่มที่มีเงินฝากต่ำกว่า 50,000 บาท จนถึงสูงสุดคือมากกว่า 500 ล้านบาท พบว่า กลุ่มที่มีเงินฝากรวมกันเพิ่มขึ้น คือ กลุ่มบัญชีเงินฝาก 100,000-500,000 บาท และกลุ่มที่มีเงินฝากมากกว่า 200 ล้านบาท
...
ส่วนกลุ่มที่มีเงินฝากโดยรวมลดลง มีทั้งกลุ่มที่เงินฝากต่ำกว่า 50,000 บาท และกลุ่มระดับเงินล้าน เมื่อลองเปรียบเทียบเฉพาะกลุ่มที่มีเงินฝากน้อยที่สุด คือต่ำกว่า 50,000 บาท กับกลุ่มที่มีเงินฝากเกิน 500 ล้านบาท พบว่า ในเดือนธันวาคม 2563 กลุ่มที่มีเงินฝากต่ำกว่า 50,000 บาท มีจำนวนกว่า 92 ล้านบัญชี มียอดเงินฝากรวม 436,639 ล้านบาท คิดเป็นเฉลี่ยมีเงินในบัญชีละ 4,718 บาท
มาในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 กลุ่มที่มีเงินฝากต่ำกว่า 50,000 บาท มีจำนวนกว่า 94 ล้านบัญชี มียอดเงินฝากรวมลดลง 1,433 ล้านบาท เหลือ 435,206 ล้านบาท ทำให้เฉลี่ยมีเงินในบัญชีลดลงเหลือบัญชีละ 4,162 บาท
ส่วนกลุ่มที่มีเงินฝากเกิน 500 ล้านบาท ในเดือนธันวาคม 2563 มี 1,557 บัญชี มียอดเงินฝากรวม 2,550,977 ล้านบาท คิดเป็นเฉลี่ยบัญชีละ 1,638 ล้านบาท มาในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 มีบัญชีเพิ่มขึ้นเป็น 1,575 บัญชี และมียอดเงินฝากรวมเพิ่มขึ้น 14,490 ล้านบาท เป็น 2,565,467 ล้านบาท แม้จะมียอดรวมเพิ่มขึ้น แต่จำนวนบัญชีเพิ่มขึ้นด้วย เมื่อหารออกมาแล้วมีเงินฝากเฉลี่ยบัญชีลดลงเหลือ 1,628 ล้านบาท
เห็นตัวเลขแบบนี้แล้ว เชื่อว่ารองนายกรัฐมนตรีจะบอกได้ถูกเป้าหมายยิ่งขึ้นกับประโยคใหม่ที่ว่าด้วย การบริโภคในประเทศจะช่วยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้