ย้อนกลับไป 25 ปีก่อน “พังสโตมมี” ช้างไทยวัย 55 ปี ถูกส่งคืนกลับมายังบ้านเกิดด้วยสภาพร่างกายทรุดโทรมตามกาลเวลา หลังไปใช้ชีวิตต่างแดนในสวนสัตว์โซนัน โดบุทสุ เมืองชิบะ ประเทศญี่ปุ่น กว่า 20 ปี ตลอดเวลาที่อยู่ในสวนสัตว์ ได้ทำหน้าที่จนเป็นขวัญใจคนญี่ปุ่น เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายทนสภาพอากาศหนาวเหน็บไม่ไหว ทางสวนสัตว์จึงยื่นเรื่องขอส่งคืนกลับมา แต่ไม่นานก็ล้มป่วย และสิ้นใจอย่างสงบบนแผ่นดินเกิด
บนพื้นที่ข่าวกรอบเล็กๆ เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2541 ภาพของ พังสโตมมี ช้างไทยที่อยู่ในกรง รอการขนส่งจากญี่ปุ่นกลับไทย ถูกเผยแพร่ในพื้นที่ข่าว มีการระบุว่า เจ้าของสวนสัตว์โซนัน โดบุทสุ เมืองชิบะ ประเทศญี่ปุ่น ทำหนังสือถึง องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ แจ้งความประสงค์ส่งมอบช้างพังชื่อ “สโตมมี” ให้กับศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย เพื่อให้ช้างเชือกนี้กลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายในแผ่นดินเกิด
ช้างจะเดินทางมาพร้อมกับเจ้าของสวนสัตว์ในญี่ปุ่น และควาญช้างอีก 2 คน โดยเดินทางออกจากสนามบินนาริตะ วันที่ 9 ก.พ. 2541 เวลาประมาณ 17.00 น. มาถึงท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ เวลาประมาณ 02.00 น. กลางดึกวันที่ 10 ก.พ. 2541 จากนั้นเวลาประมาณ 08.00 น. เดินทางโดยรถขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ไปยังสำนักงานอุตสาหกรรมป่าไม้ จ.ตาก และพักค้างคืน 1 คืน เช้าวันรุ่งขึ้นจะเดินทางต่อไปยังศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง
...
หน่วยงานภาครัฐของไทยเวลานั้นเปิดเผยว่า เจ้าของสวนสัตว์เอกชนของญี่ปุ่นติดต่อประสานงานมาว่าจะส่งช้าง “พังสโตมมี” กลับไทย เพราะเห็นว่าช้างมีอายุถึง 55 ปี หากยังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ใช่ถิ่นกำเนิดต่อไปอาจเป็นอันตราย โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวจะทำให้ช้างเชือกนี้ซึ่งมีอายุมากเกิดเจ็บป่วย ซึ่งก่อนหน้านี้ตัวแทนของสวนสัตว์จากญี่ปุ่นได้เดินทางมาดูงานที่ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง เห็นว่าที่ศูนย์อนุรักษ์เลี้ยงช้างทุกตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมั่นใจว่าจะส่งมอบช้างพังสโตมมีให้ศูนย์อนุรักษ์ช้างแห่งนี้เป็นผู้ดูแล
ผอ.องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ในเวลานั้นยังเปิดเผยว่า “พังสโตมมี” ขณะอยู่ในสวนสัตว์ญี่ปุ่น การดูแลช้างเชือกนี้เป็นไปด้วยความลำบาก เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกัน ที่สำคัญอาหารการกินบางครั้งต้องไปเหมาผักที่หมดอายุแล้วจากห้างสรรพสินค้ามาให้ช้างกิน ส่วนใหญ่แล้วช้างพังสโตมมีจะกินอาหารเม็ด เมื่อกลับถึงไทยคาดว่าคงใช้เวลาในการปรับตัวไม่นาน เพราะเป็นถิ่นกำเนิดเดิมอยู่แล้ว สำหรับค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ทางญี่ปุ่นเป็นผู้ออกทั้งหมด โดยเป็นค่าเดินทางประมาณ 1 ล้านบาท ภาษีศุลกากรอีกประมาณ 7 แสนบาท นอกจากนี้ทางญี่ปุ่นยังรับปากว่าจะเป็นผู้ออกค่าเลี้ยงดูช้างเชือกนี้ โดยจะรวบรวมเงินจากชมรมคนรักช้างของญี่ปุ่นมาให้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
ช่วงเวลาที่ พังสโตมมี อยู่ในญี่ปุ่นเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี เป็นขวัญใจของคนญี่ปุ่นจำนวนมาก มีคนรู้จักมากเพราะได้วนเวียนอยู่ในสวนสัตว์มาแล้วหลายแห่ง ถือเป็นโอกาสดีเมื่อช้างพังเชือกนี้กลับมาอยู่ไทย หากชาวญี่ปุ่นที่รักเจ้าสโตมมีคิดถึง สามารถเดินทางมาดูได้ และจะเป็นแนวทางในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงเวลานั้นด้วย
แต่หลังจาก “พังสโตมมี” กลับถึงไทยเพียง 13 วัน ช้างชราวัย 55 ปี กลับมีอาการทรุดหนัก ท่ามกลางความเป็นห่วงของผู้เฝ้าติดตามทั้งคนไทยและคนญี่ปุ่น โดยพักรักษาตัวอยู่ที่ ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง ซึ่งอาการของช้างทรุดลงจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทางเจ้าหน้าที่ต้องใช้รถแบ็กโฮช่วยพยุงตัวขึ้นจึงจะสามารถยืนได้ ตามเท้ามีอาการบวมเป่ง เพราะเกิดจากเล็บกลัดหนอง แถมยังมีแผลถลอกปอกเปิกทั่วตัว
ทางควาญช้างต้องนำอาหารประเภทกล้วย อ้อย มาป้อนให้ถึงปาก สัตวแพทย์ผู้ดูแลเล่าว่า สาเหตุการล้มป่วยเกิดจากการขนย้าย “พังสโตมมี” จากญี่ปุ่นมาไทยทำให้เกิดการกระทบกระเทือนและอ่อนล้า ประกอบกับช้างมีอายุมากทำให้ร่างกายทรุดโทรม พอมาเจอสภาพอากาศที่แตกต่างกันมากจึงทำให้ผิดอากาศเลยล้มป่วย ซึ่งทางโรงพยาบาลช้างจะดูแลให้ดีที่สุด คาดอีก 2 เดือนถึงจะบอกได้ว่าชีวิตของช้างพังผู้น่าสงสารเชือกนี้จะอยู่รอดหรือไม่
...
หลังจากนั้นเรื่องราวของช้างพังผู้น่าสงสารที่ต้องไปใช้ชีวิตในต่างแดนกว่า 20 ปี ได้หายไปจากหน้าสื่อ “ทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์” ได้สอบถามไปยังแพทย์ที่ดูแลช้างในพื้นที่ ถึงช่วงเวลาเมื่อ 25 ปีก่อน ได้รับการยืนยันว่า “พังสโตมมี” มีอาการผ่ายผอม ไม่ตอบสนองการรักษาหลังจากนั้น จนสิ้นใจอย่างสงบบนผืนแผ่นดินเกิดที่จากมากว่า 20 ปี
เรื่องราวของ “พังสโตมมี” เมื่อ 25 ปีก่อน แม้เป็นเพียงข่าวที่เงียบหายไปจากสังคม แต่ทำให้คนยุคนี้เห็นถึงปัญหาการส่งช้างไทยไปยังต่างประเทศ และหวังว่าต่อจากนี้จะไม่มีการส่งช้างไปเชื่อมสัมพันธไมตรีไม่ว่าจะโดยรัฐ หรือเอกชนอีก.