ในปีที่ผ่านมา ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ มีโอกาสได้เขียนรายงานพิเศษย้อนรอยคดีปริศนา 3 คดี ซึ่งแต่ละคดีถือว่ามี “ความน่าสนใจ” และมีปริศนาที่ทำให้เจ้าหน้าที่สืบสวนงวยงง และที่สำคัญ บางคดีก็ยังเป็นปริศนาจนทุกวันนี้ 

แกะรอยคดีปริศนา ฆ่า 5 ศพ "บ้านสยองขวัญ" ฝรั่งเศส 2 ทฤษฎีฆาตกรสาบสูญ

คดีแรกที่ว่า ถูกขนานนามว่า “บ้านสยองขวัญ” (House of Terror) แห่งประเทศฝรั่งเศส

การตายของแม่-ลูก 5 ศพ และหมาอีก 2 ตัว ในบ้านหลังหนึ่งที่เมืองน็องต์ ประเทศฝรั่งเศส ถูกเปิดเผยขึ้น ในวันที่ 21 เมษายน 2011 เมื่อตำรวจเปิดการสืบสวนคดีฆาตกรรม หลังพบศพหญิงสาววัย 49 ปี ชายหนุ่มวัย 21 ปี, 18 ปี และ 13 ปี และสุดท้ายเป็นเด็กสาววัย 16 ปี รวม 5 ศพ และสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์อีก 2 ตัว ถูกฝังอยู่ในสวนหลังบ้านพัก ย่านคนชั้นกลาง ทางตะวันตกของเมืองน็องต์ โดยทั้ง 5 ศพ เป็นคนในครอบครัวในตระกูล "ดูปองต์ เดอ ลิกอนเนส" (Dupont de Ligonnes)

แต่เดี๋ยวก่อน! ท่ามกลางความตกตะลึงและโศกเศร้านั้น ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างขาดหายไป?

แม่ 1 คน, ลูกชาย 3 คน, ลูกสาว 1 คน และสุนัขอีก 2 ตัว แล้ว...คนที่เป็นหัวหน้าครอบครัวล่ะ หายไปไหน?

ซาวิเยร์ ดูปองต์ เดอ ลิกอนเนส (Xavier Dupont de Ligonnes) อายุ 50 ปี คือ ชื่อของหัวหน้าครอบครัวคนที่ว่านั้น

...

เขาเป็นสามีของ 1. นางโอดองเชร์ ดูปองต์ เดอ ลิกอนเนส (Hodanger Dupont de Ligonnes) 49 ปี และเป็นบิดาของ 2. อาร์ตูร์ ดูปองต์ เดอ ลิกอนเนส (Arthur Dupont de Ligonnes) 21 ปี, 3. โธมาส์ ดูปองต์ เดอ ลิกอนเนส (Thomas Dupont de Ligonnes) 18 ปี, 4. เบนัวต์ ดูปองต์ เดอ ลิกอนเนส (Benoit Dupont de Ligonnes) 13 ปี และ 5. แอกเนส์ ดูปองต์ เดอ ลิกอนเนส (Anne Dupont de Ligonnes) 16 ปี

หรือทั้ง 5 ศพที่ถูกฝังอยู่ในบ้านเลขที่ 55 ถนนโบเลอวาร์ด โรแบรต์ ชูมัง (boulevard Robert-Schuman) ซึ่งปัจจุบันถูกขนานนามว่า "บ้านสยองขวัญ" (House of Terror)

อะไรคือ จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมที่ว่านี้?

ซาวิเยร์ ดูปองต์ เดอ ลิกอนเนส เป็นบุตรชายของ แบร์นาร์ด โอแบรต์ ดูปองต์ เดอ ลิกอนเนส (Bernard-Hubert Dupont de Ligonnes) ผู้สืบเชื้อสายจากตระกูลขุนนางอันเก่าแก่ของฝรั่งเศส โดย "ซาวิเยร์" เติบโตมาในวงจรชีวิตของคนชั้นสูงที่เคร่งครัดในศาสนาและอนุรักษนิยมในกรุงปารีส

เขาพบรักกับ "โอดองเชร์" ภรรยาสาวและแต่งงานกับเธอตอนอายุได้ 20 ปี ทั้งๆ ที่เธอตั้งท้องกับชายอื่น ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ท้าทายต่อบรรทัดฐานทางสังคมของคนชั้นสูงฝรั่งเศสที่เคร่งครัดในศาสนาเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นทั้งคู่ใช้เวลาหมดเปลืองไปกับการท่องเที่ยวทั่วประเทศ พร้อมๆ กับครอบครัวที่เติบโตขึ้นอย่างช้าๆ โดยในช่วงปี 2000 "ซาวิเยร์" พยายามอย่างยิ่งที่จะพาครอบครัวอพยพไปยังฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ไม่ว่าจะพยายามสักกี่ครั้งก็ไม่ประสบความสำเร็จ หนำซ้ำยังเสียเงินก้อนโตไปกับความพยายามที่ว่านี้ด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น "ซาวิเยร์" จึงพาครอบครัว มาปักหลักที่เมืองน็องต์อันเงียบสงบ ด้วยเงินทองที่ร่อยหรอลงทุกทีๆ

และนั่นคือ...จุดเริ่มต้นของปัญหาที่ค่อยๆ เริ่มก่อตัวขึ้นในครอบครัวอย่างเงียบๆ

ปัญหาทางการเงินเริ่มทำให้ "ซาวิเยร์" มีความเครียดสะสม ปี 2005 เขาถูกภรรยาแจ้งข้อหาใช้กำลังทำร้ายลูกชายคนโต (อาร์ตูร์) นอกจากนี้ การนำเงินไปลงทุนในหลายๆ ธุรกิจของเขาต่างล้วนแล้วแต่ประสบความล้มเหลวทั้งสิ้น จนกระทั่งถึงปี 2011 "ซาวิเยร์" ก็แทบสิ้นเนื้อประดาตัว

...

"ชีวิตของฉันอาจถึงจุดสิ้นสุด หากในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ฉันไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ 25,000 ยูโร"

ข้อความจากอีเมลของ "ซาวิเยร์" ที่ส่งถึงชู้รักที่เขาเก็บซ่อนไว้ที่กรุงปารีสเมื่อปี 2010 คือ หลักฐานชั้นดีที่บ่งบอกถึงความย่ำแย่ทางการเงินของเขาในช่วงเวลาวิกฤตินั้น

อาวุธสังหาร มรดกเพียงชิ้นเดียวที่ได้รับจากบิดา

ท่ามกลางหายนะที่ใกล้จะเข้ามาเยือน ในช่วงมกราคม ปี 2011 บิดาของเขา แบร์นาร์ด โอแบรต์ ดูปองต์ เดอ ลิกอนเนส ได้เสียชีวิตลง "ซาวิเยร์" ได้เดินทางไปที่อพาร์ตเมนต์ของพ่อ โดยหวังว่าจะได้ทรัพย์สินหรือของมีค่าติดไม้ติดมือกลับไปบ้างในฐานะทายาทขุนนางเก่า

แต่แล้ว...เขา ก็ได้พบกับความจริงที่โหดร้ายว่า บิดาของเขาก็ประสบปัญหาทางการเงินก่อนที่จะเสียชีวิต และไม่เหลืออะไรเอาไว้ให้เป็นมรดกแก่เขาเลย ยกเว้นเพียงปืนไรเฟิล .22 กระบอกเดียวเท่านั้น!


โดยหลังจากได้มันมา "ซาวิเยร์" ซึ่งปกติแทบไม่เคยแสดงความสนใจอาวุธปืน ได้ไปขอใบอนุญาตการใช้ปืนและเริ่มนำมันไปฝึกซ้อมยิงบ่อยๆ แถมในบางครั้งยังพา "อาร์ตูร์" ลูกชายคนโตไปร่วมการฝึกซ้อมที่ว่านี้ด้วย

...

หากแต่...สิ่งที่น่าผิดสังเกตนอกจากความคลั่งไคล้ปืนที่ออกนอกหน้าของ "ซาวิเยร์" ก็คือ จู่ๆ เขาก็สั่งซื้ออุปกรณ์เก็บเสียงสำหรับปืนไรเฟิล ปูนซีเมนต์ ปูนขาว กระสุนปืน อุปกรณ์ทำความสะอาด ถุงขยะ จอบ และรถเข็น โดยที่คนในครอบครัวไม่มีใครได้ทันสังเกต

จากนั้น...ก็เริ่มมีบางอย่างที่ผิดปกติ โดยเฉพาะเมื่อคนในครอบครัวค่อยๆ หายตัวไปทีละคนสองคนจากสายตาของเพื่อนบ้านและคนใกล้ชิดทั้งที่โรงเรียนและที่ทำงาน ตั้งแต่วันที่ 1 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2011 หรือก่อนที่บ้านพักเลขที่ 55 ถนนโบเลอวาร์ด โรแบรต์ ชูมัง จะปิดตาย...

นี่เป็นเพียงเนื้อหาเพียงบางส่วน ยังมีปริศนาหลายอย่างที่ถูกผูกและร้อยเข้ามา การสร้างหลักฐานเท็จ ทฤษฎีสมคบคิด ที่เชื่อว่า "หัวหน้าครอบครัว" อาจสร้างตัวตนใหม่ หรือบ้างก็ว่า สมาชิกในครอบครัว ยังไม่ตาย

อ่านเนื้อหาฉบับเต็ม 

ไขปริศนาการหายตัว "เอลิซา แลม" หลากทฤษฎีสมคบคิด สุดท้ายจบแสนเศร้า

คดี "เอลิซา แลม" ถือเป็นคดีปริศนาที่ถูกกล่าวขวัญ และมีการแชร์ "คลิป" เหตุการณ์ที่เธอมีท่าทีแปลกๆ ในลิฟต์ มากที่สุดในโลกคลิปหนึ่ง และมีการเชื่อมโยงไปถึงเรื่องผีสาง แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่..?

26 มกราคม ปี 2013

หญิงสาววัยเพียง 21 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังในแคนาดา ซึ่งกำลังสนุกสนานกับการพาตัวเองท่องเที่ยวผจญภัยไปทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เข้าพักที่โรงแรมเซซิล (Cecil) ในนครลอสแอนเจลิส

แต่แล้ว...มันได้เกิดสิ่งผิดปกติขึ้น เมื่อ "เธอ" ไม่มาเช็กเอาต์และหายตัวไปจากห้องพักในวันที่ 31 มกราคม ทำให้ครอบครัวที่ทราบถึงการหายตัวไปอย่างลึกลับ เร่งออกติดตามหา "เธอ" ทันที

...

และนั่นคือ จุดเริ่มต้น...ที่ทำให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องพบกับความแปลกประหลาดที่เต็มไปด้วยปริศนา...

แล้วอะไร? คือความแปลกประหลาด และเต็มไปด้วยปริศนาที่ว่านั้นบ้าง...

ที่มาคลิป : Dennis Romero 

เมื่อ "คุณ" กดดูคลิปที่อยู่ด้านบน "คุณ" เห็นอะไร?

และนั่นคือ ปริศนาที่ 1 "เธอเหมือนกำลังพยายามหลบซ่อน หรือค้นหาใครสักคน?" ในลิฟต์ ก่อนที่ "เธอ" จะหายตัวไป?

แต่แล้วอีกเกือบ 3 สัปดาห์ต่อมา... ก็พบร่างของหญิงสาวคนนี้ กลายเป็นศพอยู่ในแท็งก์น้ำบนหลังคาโรงแรมที่ "เธอ" หายตัวไป

และนั่นคือ ปริศนาที่ 2 "เธอ" เสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรรม หรือ "เธอ" กระทำอัตวินิบาตกรรมกันแน่?

หญิงสาวผู้เต็มไปด้วยปริศนานี้ เธอคือใคร?

เธอคนนี้ มีชื่อว่า "เอลิซา แลม" (Elisa Lam) เกิดเมื่อวันที่ 30 เมษายน 1991 นักศึกษามหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา โดยหลังได้รับอนุญาตจากครอบครัวให้สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวในสหรัฐอเมริกา ด้วยตัวคนเดียว ภายใต้คำมั่นสัญญาว่าจะติดต่อกับทางครอบครัวทุกวัน เพื่อยืนยันความปลอดภัย "เอลิซา" จึงได้พาตัวเองมาเช็กอินที่โรงแรมเซซิล (Cecil) ในนครลอสแอนเจลิส เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2013

แต่แล้ว...ในวันที่ 31 มกราคม ซึ่งเป็นกำหนดที่ "เอลิซา" ต้องเช็กเอาต์ออกจากโรงแรม มีอะไรบางอย่างเริ่มผิดปกติ? จู่ๆ "เอลิซา" ขาดการติดต่อกับครอบครัวดั่งที่ทำเป็นปกติในทุกๆ วัน ครอบครัวของเธอเริ่มกระวนกระวายใจ และได้ติดต่อไปทางตำรวจนครลอสแอนเจลิส เพื่อให้ช่วยไปติดตามหา "เอลิซา" ที่โรงแรมเซซิลทันที

ปริศนาการหายตัวไปของ "เอลิซา แลม"?

ผลการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจแอลเอไร้ผล ไม่มีใครพบตัว "เอลิซา"...เธอหายไปไหน?

และแล้ว...การไล่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดในโรงแรมเซซิลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ได้พบอะไรบางอย่าง ภาพจากกล้องวงจรปิดในลิฟต์ของโรงแรม ปรากฏร่างของเธอเดินเข้าไปในลิฟต์ แล้วกดปุ่มไปที่ชั้นที่ 4 จากนั้นเธอออกไปมองที่หน้าประตูลิฟต์ที่เปิดอยู่ ราวกับกำลังซ่อนตัว หรือมองหาใครสักคนหนึ่ง ก่อนที่จะกลับไปกดปุ่มอีกครั้ง จากนั้นก็ออกไปยืนนอกประตูลิฟต์ ก่อนจะขยับมือไปมาเหมือนกับกำลังคุยกับใครสักคนนอกลิฟต์ แล้วก็เดินจากไป ซึ่งแทบไม่แตกต่างอะไรกับซีนสุดสะพรึงในภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง Dark water (ปี 2005) ทำให้ใครก็ตามที่ได้เห็นคลิปนี้ โดยเฉพาะในโลกโซเชียลมีเดีย ทึกทักเอาว่า...หรือบางที "เธอ" อาจจะกำลังคุยกับวิญญาณปิศาจร้าย

อย่างไรก็ดี...คลิปวิดีโอปริศนาอันน่าชวนฉงนนี้ ก็ยังคงไม่สามารถตอบคำถามสำคัญที่ว่า "เธอ" หายไปไหน ณ เวลานั้นได้?

อะไรที่ทำให้เอลิซาเสียชีวิต?

และแล้ว...ถัดจากวันที่มีการประกาศว่า "เธอ" หายตัวไปถึง 19 วัน คำถามดังกล่าวก็ได้รับคำตอบ...ร่างของเธอถูกพบในแท็งก์น้ำบนดาดฟ้าของโรงแรม ภายหลังจากบรรดาลูกค้าร้องเรียนว่า น้ำที่พวกเขาทั้งดื่มและใช้อาบน้ำในช่วงหลายวันที่ผ่านมา มีสีคล้ำและส่งกลิ่นเหม็น และเมื่อเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงเข้าไปตรวจสอบ ก็ได้พบร่างที่เริ่มจะเน่าเปื่อยของเธออยู่ใน 1 ใน 4 ของแท็งก์น้ำบนดาดฟ้าของโรงแรม!

สถานที่...ที่ตำรวจแอลเอไม่ได้เข้าไปตรวจสอบ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ระดมกำลังกันค้นหาแทบจะทุกซอกทุกมุมของโรงแรมมาโดยตลอด 19 วันที่เอลิซาหายตัวไป

ผลการชันสูตรพลิกศพเอลิซา พบว่า...

1. ไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยใดๆ ที่บ่งบอกได้ว่า "เธอ" ถูกฆาตกรรม

2. พบน้ำในปอดของ "เธอ" ซึ่งเป็นหลักฐานที่บ่งบอกได้ชัดเจนว่า "เธอ" เสียชีวิตหลังจากตกลงไปในแท็งก์น้ำ

ผลการชันสูตรศพเพียงเท่านี้ก็น่าจะบอกได้แล้วใช่หรือไม่ว่า "เอลิซา" น่าจะกระทำอัตวินิบาตกรรม แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง ที่มันน่าประหลาดก็คือ...

1. "เธอ" ผ่านประตูที่ล็อกอยู่บนชั้นดาดฟ้าโรงแรมที่มีเพียงเฉพาะเจ้าหน้าที่ของโรงแรมเท่านั้นที่ผ่านเข้าไปได้ เพื่อเดินไปยังแท็งก์น้ำได้อย่างไร?

2. "เธอ" อยู่ในสภาพเปลือยในแท็งก์น้ำ และหากเธอลงไปด้วยตัวเอง ฝาแท็งก์น้ำมันจะปิดลงมาได้อย่างไร?

3. ท่าทางประหลาดในลิฟต์ของ "เธอ" ที่ดูราวกับกำลังสนทนาอยู่กับ "ใคร" สักคน มันมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้หรือไม่?

หรือ...แท้ที่จริงแล้ว คดีนี้มันคือ คดีฆาตกรรมปริศนากันแน่?

นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของปริศนาการหายตัวไปของ "เอลิซา แลม" ที่สุดท้าย บทสรุปของคำตอบคือเรื่องแสนเศร้า

คลิกอ่านเนื้อหาฉบับเต็ม

เจาะคดีปริศนา The Oslo Woman สายลับ ห้องปิดตาย จัดฉาก?

พบกระสุนฝังอยู่ในศีรษะของเธอ

พบปืนอยู่ในมือร่างที่ไร้ชีวิตของเธอ

ประตูห้องพักถูกล็อกจากด้านใน

และ...ภายในห้องพักไม่ปรากฏหลักฐานการต่อสู้

รายงานข้างต้น คืออีกปริศนาที่เกิดขึ้นภายในห้องพัก หมายเลข 2805 กับคดี "The Oslo Woman"

เวลา 19.50 น. วันที่ 3 มิถุนายน 1995

หน้าห้องพักหมายเลข 2805 ชั้น 28 เรดิสัน บลู พลาซา โฮเทล (Radisson Blu Plaza Hotel) โรงแรมสุดหรูหราใจกลางกรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์

พนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงแรมใช้มือเคาะประตูค่อนข้างแรง หวังเรียกเจ้าของห้องเพื่อขอบัตรเครดิตมาชำระค่าบริการ หลังเจ้าของห้องเช็กอินเข้าพักในห้องสุดหรูราคาถึงคืนละ 330 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 9,914 บาท (ค่าเงินปัจจุบันเทียบอัตราเงินเฟ้อ) มานานถึง 3 วัน โดยที่ยังไม่ได้ชำระเงินแม้แต่แดงเดียว

อย่างไรก็ดี เมื่อการกระทำที่เต็มไปด้วยมารยาท ไร้ซึ่งการตอบสนอง เขาจึงตัดสินใจเคาะประตูเรียกคนที่อยู่ในห้องอีกครั้ง

แต่แล้ว...อีกเพียงไม่กี่วินาทีถัดมา ได้บังเกิดเสียงปืนดังขึ้นในห้องสวนกับเสียงเคาะประตู ด้วยความตกใจ หนุ่มพนักงานรักษาความปลอดภัยวิ่งไปหาที่หลบบริเวณทางเดินทันที ก่อนที่อีกไม่กี่วินาทีต่อมา เขารีบพาตัวเองเข้าไปในลิฟต์แล้วลงไปแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัยของโรงแรมที่ชั้น 1

เวลา 20.04 น. หัวหน้าและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขึ้นลิฟต์กลับมาที่หน้าห้องพักหมายเลข 2805 อีกครั้ง เขาตัดสินใจรวบรวมความกล้าเคาะประตูเรียกอีก 2 ครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีการตอบรับใดๆ

ไม่กี่อึดใจต่อมา หัวหน้า รปภ. จึงตัดสินใจใช้คีย์การ์ดเปิดประตูด้วยความระมัดระวัง แต่แล้วเขากลับพบว่า ประตูยังถูกล็อกจากด้านในอีกถึง 2 ชั้น ซึ่งนั่นแปลว่า นอกจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงแรมแล้ว จะไม่มีทางที่พนักงานคนอื่นๆ ของโรงแรมหรือบุคคลภายนอกจะสามารถเข้าไปภายในห้องดังกล่าวได้

และเมื่อก้าวเท้าเข้าไปภายในห้องได้สำเร็จ ภาพที่หัวหน้า รปภ. คนนั้นแลเห็น คือ...ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนอนเสียชีวิตจมกองเลือดอยู่บนเตียง

และจากรายงานข้างต้น พบกระสุนฝังที่ศีรษะ, พบปืนอยู่ในมือร่างที่ไร้ชีวิตของเธอ ประตูห้องพักถูกล็อกจากด้านใน และ...ภายในห้องพักไม่ปรากฏหลักฐานการต่อสู้

เธอเช็กอินเข้าโรงแรมได้ โดยไม่ได้ใช้ทั้งพาสปอร์ต บัตรเครดิต หรือหลักฐานที่ระบุตัวตนใดๆ

เพียงเท่านี้ "คุณ" อาจจะคิดว่าแปลกแล้วใช่ไหม? แต่...มันไม่ใช่เลย

เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่เกือบทั้งหมด ป้ายโลโก้แบรนด์สินค้าและรหัสสินค้าที่สามารถระบุถึงที่มาได้ถูกถอดออกเกือบหมด จนไม่สามารถระบุได้ว่า เสื้อผ้าเหล่านั้นถูกผลิตมาจากประเทศใด หรือถูกซื้อในช่วงระยะเวลาใด

ไม่ปรากฏว่า มีแปรงสีฟัน เครื่องเป่าผม หรืออุปกรณ์อาบน้ำ ที่จะสามารถนำไปใช้ตรวจหา DNA เพื่อระบุตัวตนของเธอได้

หมายเลขทะเบียนบน "ปืน" ที่พบในที่เกิดเหตุ ถูกใช้น้ำกรดลบทิ้งแบบมืออาชีพ จนไม่สามารถสืบค้นหาเจ้าของได้

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีหลักฐานใดๆ แม้แต่ชิ้นเดียวในที่เกิดเหตุ ที่จะนำไปสู่การค้นหาคำตอบที่ "คุณ" กำลังงุนงงอยู่ ณ บรรทัดนี้ ได้ว่า "เธอ" ผู้นี้คือใคร?

แล้วเพราะอะไร เธอคนนี้จึงต้องมาเสียชีวิตอยู่ในห้องพักหมายเลข 2805

รวมถึง...คำถามที่ใหญ่กว่านั้น คือ "เธอ" เสียชีวิต เพราะ "ตัวเธอเอง" หรือ เพราะ "เธอ" ถูกฆาตกรรมกันแน่?

และ "คุณ" เชื่อหรือไม่? กาลเวลาพ้นผ่านมาถึง 25 ปี แล้ว คำถามดั่งที่ "คุณ" ได้อ่านไปทั้งหมดตามบรรทัดด้านบน ยังคงเป็นปริศนาที่ไร้ซึ่งคำตอบ!

อีก 1 คดี ที่อยากให้คุณผู้อ่านได้ร่วมแกะรอย ตามเศษขนมปังในคดี "The Oslo Woman" จากหลักฐานอย่างละเอียด เป็นอีก 1 เรื่อง ที่ไม่อยากให้คุณพลาด

อ่านเนื้อหาฉบับเต็ม

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

อ่านสกู๊ปที่น่าสนใจ 

"ฆาตกามเกาหลี" สู่จับแพะยัดคุก ยุติธรรมอัปยศแห่ง "ฮวาซอง"

"ผู้กอบกู้" เศษซาก JAL พิชิต "ใจ" บทเรียนยกเครื่องสายการบินแห่งชาติ

เฮลโล คิตตี้ ไม่มีปาก แต่อยากพูด จากปู่สู่หลาน ก้าวย่างสำคัญ "ซานริโอ"

40 ปี เกม Pac-man "NAMCO" โกยหมื่นล้าน คนสร้างไม่ได้สักเยน