จริงหรือไม่ ประเทศไทยของเราเคยมี 4 สถาบัน สังคมที่เข้มแข็งมาก คือ (1) สถาบันผู้ใหญ่ (2) สถาบันครู (3) สถาบันสงฆ์ (4) สถาบันเพื่อน...

แต่ปัจจุบัน ความเข้มแข็งของสถาบันสังคมไทย ได้เปลี่ยนไปแล้ว?

หรือว่า ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทำ คือ ก็ปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลง “เพื่อความอยู่รอด”

แต่ชีวิตมิใช่จะมีแต่ “เพื่อความอยู่รอด!” 

“เชื่อ คิดและทำ อย่างวิทยาศาสตร์” วันนี้จึงขอเชิญชวนท่านผู้อ่าน มาช่วยกันส่องดูความเปลี่ยนแปลงของสถาบันสังคมไทยว่าเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ?

สำคัญที่สุด ถ้าจริง แล้วเราควรจะทำอย่างไร เพื่อให้ชีวิตมิใช่มีแต่ “เพื่อความอยู่รอด” เท่านั้น ?

ในช่วงชีวิตกว่าครึ่งศตวรรษของผู้เขียน มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศหลายครั้ง และหลายครั้ง ก็ต้องขึ้นเวทีบรรยาย หรือจัดงานเกี่ยวกับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย

...

ปัจจุบันนี้ การค้นหาข้อมูลเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทย เป็นเรื่องง่าย เพราะมีในสื่อดิจิทัลมากมาย แต่เมื่อหลายสิบปีก่อนยุคดิจิทัลนั้น แหล่งข้อมูลทั่วไปของประเทศต่างๆทั่วโลก คือ สารานุกรม หรือ Encyclopedia ซึ่งมีเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทยน้อยมาก แม้แต่ที่สถานทูตหรือกงสุลไทยในประเทศต่างๆ ก็มีไม่มาก

ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ชาวต่างชาติรู้จักประเทศไทย มีอยู่ 2 อย่าง คือ หนึ่ง : ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งสาวงาม เพราะนางงามจักรวาล ปี 2508 คือ อาภัสรา หงสกุล และ สอง : ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้ม (Land of smile) หรือ ยิ้มสยาม แสดงถึงความเป็นชาติมีน้ำใจและไมตรีต่อทุกคน

สิ่งหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำของผู้เขียน คือ ความภูมิใจที่ได้บรรยายถึงสถาบันสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบันสังคมหนึ่ง ที่มี “วัด” เป็นสัญลักษณ์...

จำได้ว่า มีผู้ฟังบางคนบอกผู้เขียนว่า ก่อนได้ฟังการบรรยาย คิดว่า มีแต่ประเทศพม่าหรือเมียนมาร์ในปัจจุบัน ที่มี “วัด” เป็นจำนวนมากทั่วประเทศ ซึ่งผู้เขียนก็บอกไปว่า ไม่ผิดหรอก เพราะพม่าเป็นประเทศมีวัดมากจริง แต่ประเทศไทยก็มีวัดมากด้วย

อย่างแน่นอน สถาบันสังคมไทยที่มี “วัด” เป็นสัญลักษณ์ คือ สถาบันสงฆ์ ซึ่งเป็นสถาบันสังคมอันดับที่สามที่ผู้เขียนตั้งใจเขียนถึง (โดยไม่เกี่ยวกับลำดับความสำคัญ) ดังนั้น เราไปเริ่มต้นกันที่สถาบันสังคมอันดับแรก คือ สถาบันผู้ใหญ่

สถาบันผู้ใหญ่ !

ผู้ใหญ่ในสถาบันผู้ใหญ่ของเราวันนี้ ผู้เขียนเปิดกว้าง หมายถึง ผู้ใหญ่ในความหมายทั่วไป ในครอบครัว ในสังคมและในบ้านเมือง

ตัวอย่างตรงๆก็คือ :-

*คุณพ่อ-คุณแม่

*พี่ ป้า ลุง น้า อา

*ผู้ใหญ่ด้วยวัยวุฒิ สถานะทางสังคม และสถานะทางเศรษฐกิจ

*ผู้ใหญ่ด้วยตำแหน่งหน้าที่ทางสังคม และของบ้านเมือง ดังเช่น ผู้บริหารประเทศ ข้าราชการ นักการเมือง ฯลฯ

จากการศึกษาเรื่องราวในอดีตของประเทศไทยและสังคมไทย ย้อนหลังไปถึงจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ประเทศไทยเมื่อประมาณ 700 ปีก่อน ในยุคสมัยของกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี และย้อนหลังไปไกลกว่ายุคกรุงสุโขทัยหลายพันปี ประเทศไทยไม่เคยขาดตัวอย่าง “ผู้ใหญ่” ที่ยังอยู่ในความทรงจำที่ดี ในการปกป้อง – รักษา – กอบกู้บ้านเมืองและความเป็นไทย

แต่ในอดีตเท่าที่ผู้เขียนได้ประสบด้วยตนเอง คือ กว่าครึ่งศตวรรษมานี้ ผู้เขียนก็ได้ทั้งประสบด้วยตนเองและจากการ “อยู่กับสังคมไทย” ได้ศึกษารับทราบ สภาพของสังคมไทย

ผู้เขียนกล่าวได้ว่า มีความทรงจำที่ “ดี” ของ “สถาบันผู้ใหญ่” ของสังคมไทย มากกว่าและชัดเจนกว่า ความทรงจำและการรับรู้ที่ “ไม่ดี” หรือ “ไม่สบายใจ”

ถึงแม้ความทรงจำที่ไม่ดี มักจะ “ฝังลึก” และ “อยู่นาน” มากกว่าความทรงจำที่ดี แต่ความทรงจำที่ไม่ดี อย่างน้อย ผู้เขียนก็หวังว่า จะเป็น “ตัวอย่าง” เตือนสติของผู้พบเห็นว่า เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ จะต้องไม่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่อย่างที่เราก็ไม่อยากเห็น

...

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้เขียนเอง อย่างแน่นอน ก็มีประสบการณ์พบตัวอย่างที่ “ไม่อยากจดจำ” แต่ก็ได้พบผู้ใหญ่ที่ “น่าจดจำ” “ประทับอยู่ในความทรงจำที่ดี” มากกว่าที่ “ไม่อยากจดจำ” อย่างชัดเจน และจากการรับรู้เกี่ยวกับสังคมไทยในระดับใหญ่ ผู้เขียนจึงมั่นใจพอจะกล่าวดึง “สถาบันผู้ใหญ่” ของไทยในอดีตครึ่งศตวรรษก่อนว่า เป็นสถาบันผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งมาก

อย่างไร ?

อย่างตรงๆ สถาบันผู้ใหญ่ที่เข้มแข็ง ก็คือ สังคมที่ผู้ใหญ่ “ส่วนใหญ่” :-

*เชื่อถือได้ (ทั้งคำพูดและการกระทำ)

*เป็นที่พึ่งได้ (เพราะตั้งใจจะเป็นที่พึ่งของคนอื่น ถ้าเป็นไปได้)

*เป็นตัวอย่างที่ดีได้ (ทั้งพฤติกรรมและการดำเนินชีวิต)

*อบอุ่นเมื่ออยู่ใกล้ (ไม่เป็นผู้ใหญ่ที่น่าเบื่อ)

แล้วในด้านตรงข้ามล่ะ ?

ผู้ใหญ่แบบไหนที่ทำให้สถาบันผู้ใหญ่อ่อนแอ?

...

คงไม่ปฏิเสธกันว่า ก็หมายถึงผู้ใหญ่ที่ :-

*เชื่อถือไม่ได้ (เพราะไม่รักษาคำพูด)

*เป็นที่พึ่งไม่ได้ (เพราะไม่จริงใจที่จะเป็นที่พึ่งของใคร)

*เป็นตัวอย่างที่ดีไม่ได้ (ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมและการดำเนินชีวิต)

*ไม่อบอุ่นเมื่ออยู่ใกล้ (เป็นผู้ใหญ่ที่น่าเบื่อ จุกจิกจู้จี้ ขี้บ่น หยาบคาย คิดว่าตนเองเก่ง รู้ดีที่สุด ในทุกเรื่อง เพียงคนเดียว)

แล้วในปัจจุบันล่ะ ?

จริงหรือ สถาบันผู้ใหญ่ในปัจจุบัน อ่อนแอกว่าที่เคยเป็นในอดีต 

จากเรื่องราวข่าวสารที่ปรากฏทุกวันนี้ จะเห็นได้ชัดเจนว่า มีข่าวมีเรื่องราวมากมาย เกี่ยวกับผู้ใหญ่ในสังคมทุกวงการ ทุกระดับ ทั้งในครอบครัว ในสังคมทั่วไป และถึงระดับชาติ ที่ดูเหมือนจะ “เตือน” ว่า สถาบันผู้ใหญ่ของไทย กำลังมีปัญหาหรืออ่อนแอกว่าเมื่อประมาณห้าสิบปีก่อน

แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีข้อสังเกตเตือนสติทุกคนว่า บางที สิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้นมากในปัจจุบัน เป็นเพราะความแพร่หลายของสื่อในยุคดิจิทัล ที่นอกเหนือไปจากสื่อหลัก ก็ยังมีสื่อโซเชียลที่ทุกคนเข้าถึง และทำตัวเป็นทั้งแหล่งข่าวและเป็นผู้สื่อข่าวเองด้วย

อีกทั้งข่าวที่ได้รับความสนใจ จะเป็น “ข่าวร้าย” มากกว่า “ข่าวดี”

สภาพของสถาบันผู้ใหญ่ในปัจจุบัน ที่ดูจะ “ชัดเจน” ในสื่อปัจจุบัน จึงไม่น่าจะใช้เปรียบเทียบกับสภาพของสถาบันผู้ใหญ่ในอดีตได้

...

สถาบันครู !

สถาบันครู เป็นสถาบันที่ชัดเจน ไม่ซับซ้อน มีตัวเล่นสำคัญ คือ “ครู” แต่สำหรับผู้เขียน คิดว่า ตนเองโชคดีที่สุดที่ได้เกิดและเติบโตในยุคสมัยที่สถาบันครูมีความเข้มแข็งเป็นพิเศษ

คำกล่าวที่ผู้เขียนได้ยินและเห็นตั้งแต่เป็นเด็กเริ่มเข้าเรียนหนังสือ คือ ครูเป็นพ่อ-แม่คนที่สอง สำหรับผู้เขียนต้องกล่าวคำว่า “ใช่เลย!” ถ้าไม่ใช่เพราะครูท่านหนึ่งเมื่อผู้เขียนเรียนจบชั้นประถมศึกษา ผู้เขียนก็คงไม่ได้เรียนหนังสือต่อในระดับชั้นมัธยม และถ้าไม่ใช่เพราะคุณครูอีกท่านหนึ่ง เมื่อเรียนจบชั้นมัธยม ก็คงไม่ได้เข้าเรียนวิทยาศาสตร์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยดังที่เคยฝันเอาไว้

คำว่า “ครู” มีรากฐานจากคำภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต แปลว่า “หนัก” ซึ่งสะท้อนบทบาทหน้าที่ของ “ครู” ได้อย่างดีว่า ครูมิได้มีหน้าที่เพียงเป็นผู้ “ให้ความรู้” แก่ศิษย์เท่านั้น ยังต้องเป็น “แบบอย่างการดำเนินชีวิต” ที่ดีแก่ศิษย์อีกด้วย

ผู้เขียนเชื่อว่า ภารกิจของ “ความเป็นครู” ทั้งสองอย่างนี้ ฝังรากลึกใน “จิตวิญญาณแห่งความเป็นครู” ของไทยตั้งแต่เก่าแก่มานาน และทำให้ครูจึงเป็นเสมือนกับ “พ่อแม่คนที่สอง” ของศิษย์ และก็คงเป็นเพราะความคาดหวังของสังคมจากครู จึงทำให้ “สถาบันครู” ในอดีต มีความเข้มแข็งเป็นพิเศษ

ครู...อย่างน้อยเมื่อประมาณ 50 ปีก่อน ที่ผู้เขียนจำได้...จึงต้อง :-

*เก่งในด้านความรู้และการถ่ายทอด คือ “สอน” ลูกศิษย์

*ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกศิษย์และสังคม

*ช่วยชี้แนะทางสว่างของชีวิตแก่ลูกศิษย์

*มุ่งมั่นในการดำเนินชีวิตอย่างสุจริต ไม่หลงติดในอบายมุข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเสี่ยงโชคและการพนันทุกชนิด

อย่างแน่นอน ครูที่ไม่ยึดติดในจิตวิญญาณแห่งความเป็นครู ก็ย่อมต้องมีอยู่ทุกยุคสมัย แต่เท่าที่ผู้เขียนจำได้ แม้แต่เพียงเมื่อประมาณ 50 ปีก่อน ไม่มีเด็ดขาดที่ครูจะออกมาแสดงตัวอย่างเปิดเผย ชักจูงให้คนคิดรวยทางลัดด้วยการเสี่ยงโชค

มาถึงยุคปัจจุบัน ถ้าผู้เขียนได้เดินทางไปจากโลกเมื่อ 50 ปีก่อน แล้วกลับมายังประเทศไทยของเราวันนี้ ผู้เขียนคงจะไม่แน่ใจว่า ได้กลับมายังประเทศไทยบ้านเกิดอย่างถูกที่จริงหรือไม่ หรือว่าเป็นประเทศไทยใน “มิติคู่ขนาน” เพราะการเปลี่ยนแปลงที่ “มากอย่างไม่น่าเชื่อ” รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของสถาบันครูที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน

หรือว่า สถาบันครู ก็เป็นเช่นเดียวกับความเป็นไปในสังคมไทย ที่ย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย

เพียงแต่ว่า ความก้าวหน้าและการแพร่หลายของข้อมูลข่าวสาร อีกทั้งธรรมชาติของคนเราที่ชอบ ฟัง “ข่าวร้าย” มากกว่าการติดตาม “ข่าวดี” ทำให้ข่าวคราวความอ่อนแอของสถาบันครู “เด่นชัด” กว่าเมื่อ 50 ปีก่อน ในขณะที่ครูส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็ยังมี “จิตวิญญาณแห่งความเป็นครู” ที่เข้มข้นดังเช่นในอดีต

สถาบันสงฆ์

ตามรัฐธรรมนูญ คนไทยทุกคนมีสิทธิจะรับนับถือศาสนาใดก็ได้ เพราะทุกศาสนาและประชาชนคนไทยทุกคน ได้รับการคุ้มครองในเสรีภาพแห่งการนับถือศาสนา...

แต่เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่กว่า 90% นับถือศาสนาพุทธ และเฉพาะศาสนาพุทธเท่านั้น ที่มี “สงฆ์” เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการ อีกทั้งศาสนาอื่นๆในประเทศไทย เท่าที่ผู้เขียนทราบและเห็น ล้วนมีความศรัทธาและการยึดปฏิบัติที่เคร่งครัด อย่างน้อยในช่วงกว่าครึ่งศตวรรษของชีวิตผู้เขียน

ดังนั้น สถาบันสงฆ์ที่ผู้เขียนกำลังกล่าวถึงวันนี้ จึงเป็นเรื่องสถาบันสงฆ์ของพุทธศาสนาเท่านั้น

สถาบันสงฆ์ จริงๆ แล้ว มิได้หมายถึงพระสงฆ์เท่านั้น ยังหมายถึง “วัด” อีกด้วย

จริงหรือไม่ สถาบันสงฆ์ของไทย...ทั้งพระสงฆ์และวัด...ได้คลายความเข้มแข็งในความเป็นที่พึ่งทางใจและศรัทธาของคนไทยไปอย่างมากในปัจจุบัน เปรียบเทียบกับเมื่อประมาณ 50 ปีก่อน

หลักฐานที่ดูจะสนับสนุนว่า “จริง” คือ ข่าวคราวและเรื่องราวอื้อฉาวของพระสงฆ์ ที่ดูจะกำลังเกิดขึ้นอย่างมากมายในปัจจุบัน ทั้งในเรื่องพระธรรมวินัยและกฎหมาย

ส่วนพุทธสถาน ก็ดูจะถูกครอบงำด้วยพุทธพาณิชย์ จนกระทั่งวัดที่ “สงบ” “ร่มเย็น” สำหรับทุกคน หาได้ยากขึ้น!

ผู้เขียนมีบ้านเกิดอยู่ติดวัดในจังหวัดนครราชสีมา เริ่มต้นเรียนหนังสือกับโรงเรียนวัด เคยบวชเป็นเณรเมื่อตอนเป็นเด็ก (ด้วยความอยากบวชเอง มิใช่บวชตามประเพณี) เติบโตมากับวัด ได้อาศัยพักพิงอยู่กับวัดในกรุงเทพฯ ช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย และจึงได้เห็นสภาพและความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับสงฆ์และวัด และยอมรับว่าไม่สบายใจกับความเปลี่ยนแปลงที่ดูจะได้เกิดขึ้นกับสถาบันสงฆ์

หรือว่าจริงๆ แล้ว สิ่งที่ดูจะเป็นเรื่องราวความเปลี่ยนแปลงของสถาบันสงฆ์ ที่ดูจะเกิดขึ้นมากกว่าในอดีต ก็เป็นไปตามเหตุผล คำอธิบายสำหรับกรณีของสถาบันผู้ใหญ่และสถาบันครู คือ ความแพร่หลายของข้อมูลข่าวสารยุคดิจิทัลในปัจจุบัน เมื่อเปรียบเทียบกับในอดีต ทำให้ “จับผิด” ทั้งสงฆ์ที่มีพฤติกรรมนอกรีต และสภาพของวัด ที่ถูกครอบงำด้วยพุทธพาณิชย์ “ง่ายขึ้น” และจึงดู “มากขึ้น” ...

นั่นคือ สถาบันสงฆ์มิได้เปลี่ยนไปเพราะในอดีต ก็มีทั้งสงฆ์และวัด ที่ทำให้ชาวพุทธเกิดความไม่สบายใจ แต่ไม่ปรากฏเป็นข่าวให้เห็นมากเท่าในปัจจุบัน

สถาบันเพื่อน!

ความสำคัญของสถาบันเพื่อน จะเห็นได้จากความตระหนักหรือรับรู้โดยทั่วไปว่า มนุษย์เราแต่ละคน นอกเหนือไปจากคุณพ่อ-คุณแม่และพี่น้องแล้ว ก็มี “เพื่อน” ที่สามารถจะพูดคุยแบบเปิดอกได้ (แทบจะ) ทุกเรื่อง มากกว่าที่จะคุยกับคุณพ่อ-คุณแม่ หรือญาติ-พี่น้อง...

และบ่อยๆ ก็จะได้ยินได้ฟังกันว่า “ลูก” ฟังและเชื่อ “เพื่อน” มากกว่า คุณพ่อ-คุณแม่ หรือญาติพี่น้อง

และอย่างแน่นอน คู่ชีวิตของผู้คนมากมาย ก็เริ่มจากความเป็นเพื่อน

จริงหรือไม่ สถาบันเพื่อนของไทยเปลี่ยนไปแล้ว จากความเป็นสถาบันสังคมที่เข้มแข็งมากเมื่อประมาณ 50 ปีก่อน มาเป็นอ่อนแอลงอย่างมากในปัจจุบัน ?

จากข่าวความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ “เพื่อน” ที่ปรากฏในสื่อต่างๆ ตลอดช่วงเวลาประมาณ 50 ปี ถึงปัจจุบัน คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ข่าวไม่ดี เรื่องราวสะเทือนความรู้สึก เกี่ยวกับเพื่อน เช่น ข่าวเพื่อนหลอกลวงเพื่อน เพื่อนโกงเพื่อน เพื่อนทรยศหักหลังเพื่อน เพื่อนหากินกับเพื่อน มีเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา...

ซึ่งก็น่าจะเป็นตัวบ่งชี้ได้ว่า สถาบันเพื่อนของสังคมไทยได้อ่อนแอลงอย่างน่าใจหาย

หรือว่า สภาพที่อ่อนแอลงของสถาบันเพื่อนที่ปรากฏ มิได้สะท้อนสภาพความเป็นจริง หากเป็นเพียงผลพวงของความแพร่หลายของสื่อยุคใหม่ ดังเช่นที่อาจเกิดขึ้นได้กับสภาพที่ดูอ่อนแอลง ของอีกสามสถาบันสังคมที่ได้กล่าวถึงไปแล้ว คือ สถาบันผู้ใหญ่ สถาบันครูและสถาบันสงฆ์ ?

ผู้เขียนก็แอบหวังไว้เช่นนั้น!

ถึงแม้ผู้เขียนจะยอมรับว่า ไม่สบายใจกับสภาพความเปลี่ยนแปลงที่ดูอ่อนแอลง ของทั้งสี่สถาบันสังคมไทย คือ สถาบันผู้ใหญ่ สถาบันครู สถาบันสงฆ์ และสถาบันเพื่อน

แต่อย่างลึกๆ ผู้เขียนก็ยังมีความหวังและความเชื่อมั่นว่า สถาบันสังคมทั้งสี่สถาบัน ก็ยังเป็นสถาบันสังคมที่ไม่สิ้นหวัง

สำคัญที่สุด ถึงแม้เราอาจจะไม่สามารถหยุดยั้งความเปลี่ยนแปลงในทางเสื่อมลงของสี่สถาบันสังคมของไทยได้ทั้งหมด แต่เราจะต้อง “ไม่ยอมแพ้” นั่นคือ เราต้องไม่เพียงแต่ยอมปรับตัว “เพื่อความอยู่รอด” กับความเปลี่ยนแปลงเท่านั้น

อย่างน้อย เราต้องเริ่มต้นกับตัวเรา เพราะเราไม่สามารถบังคับจิตใจคนอื่นได้

แล้วท่านผู้อ่านล่ะครับ คิดเรื่องสี่สถาบันสังคมไทยกับความเปลี่ยนแปลงอย่างไร?