รองเท้ายี่ห้อดังที่คนไทยยกพลเป็นซอมบี้บุกเข้าช็อปในห้างดัง

เบเกอรี่จากต่างประเทศที่เพิ่งมาเปิดสาขาในไทยมีคนต่อแถวยาวเหยียดเป็นกิโลฯ

ไอติมยี่ห้อดังที่ทดลองขายในร้านสะดวกซื้อบางสาขา 

ป๊อปคอร์นจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่นิยมซื้อเป็นของฝาก

เวเฟอร์แบบแท่งเคลือบช็อกโกแลตรสชาเขียว จากแดนซากุระ

ชากลิ่นกุหลาบ หอมชวนดื่ม มีจุดขายอยู่ที่ช่วยถ่ายคล่อง

น้ำดื่มแต่งกลิ่น มโนว่า ดื่มแล้วทำให้อารมณ์ดี ขำไม่หยุดตั้งแต่ปากซอยยันท้ายซอย

จนล่าสุด ผงช็อกโกแลตอัดก้อนสี่เหลี่ยม กินเปล่าๆ ก็ได้ ชงใส่น้ำก็ดี

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนไทยที่จะแห่แหนกันไปซื้อสินค้าตามกระแส ใครว่าดี ใครว่าอร่อย ได้ลองแล้วอินเทรนด์ ขอให้บอก! ต้องเสาะหามาไว้ครอบครองให้จงได้

และยิ่งซื้อตามกระแสยิ่งเป็นต้นตอที่ทำให้สินค้าเหล่านี้ มีราคาสูงขึ้นตามกลไกท้องตลาด อุปสงค์-อุปทาน ตามทฤษฎีก็ว่ากันไป

แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความสงสัย นั่นก็คือ เพราะเหตุใดกัน ทั้งที่รู้ว่ามันเป็น “การตลาด” ของผู้ผลิต แต่หลายคนก็ยอมที่จะ “ตกเป็นเหยื่อ” ของสินค้าเหล่านี้ จนไม่ลืมหูลืมตา ควักกระเป๋ายอมจ่ายแพงกว่า 2-3 เท่า!!!

...

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ขอหยิบยกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในสังคมไทยมาพูดถึง โดย อ.ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย นักการตลาดชื่อดัง มาวิเคราะห์จากประสบการณ์ในประเด็น “รู้ทันไวรัลการตลาดในโซเชียล”

เจ้าของฉายาขาโหด เกริ่นนำถึงสาเหตุที่คนไทยตามกระแสบริโภคนิยม ว่า เนื่องจากวิธีคิดของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน อย่างประเทศตะวันตก จะคิดแบบปัจเจกชนสูง ทำอะไรค่อนข้างอิสรเสรี ขณะที่ประเทศไทย เป็นประเภทชอบทำอะไรตามๆ กัน

ทั้งนี้ ในสมัยก่อนการตลาดแบบปากต่อปาก ยังไม่ได้มีเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เข้ามาช่วย แต่ในปัจจุบันมีโซเชียลมีเดีย ทำให้มีการแพร่ไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งลักษณะนี้ เรียกว่า “การตลาดโรคระบาด” เริ่มจากคนไม่มากที่ถ่ายรูปลงสื่อโซเชียล และเหมือนโรคระบาดที่ไวรัสแพร่ไปในอากาศ ส่วนการตลาดไวรัลแพร่ไปในสื่อโซเชียล จากหนึ่งคนไปสู่สองคน และจากสองคนเป็นสี่คน ลักษณะการแพร่จะทวีคูณ แต่ประเด็นจะต้องมีลักษณะพิเศษบางอย่าง ไม่เช่นนั้นสินค้าทุกอย่างจะติดตลาดหมด

อ.ธันยวัชร์ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น เช่น เบเกอรี่ชื่อดังที่เมื่อก่อนต้องต่อคิวรอ ใช้กลิ่นเป็นสิ่งดึงดูด หรือรองเท้ายี่ห้อดัง ซึ่งปกติทำเพื่อนักกีฬา แต่ได้ปรับเปลี่ยนมาให้คนทั่วไปใส่ได้ เพิ่มลวดลาย ความสวยงาม วัตถุดิบ โดยมีเอกลักษณ์ที่ว่า “โดดเด่นเมื่อสวมใส่ ขายต่อก็มีราคา”

หรืออย่างผงช็อกโกแลตซึ่งเป็นที่รู้จักมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่เปลี่ยนรูปร่างผลิตภัณฑ์ให้พกง่าย จะกินเลยหรือจะใช้ชงกับน้ำก็ย่อมได้ แม้กระทั่ง ไอติมยี่ห้อดัง ไม่ได้วางขายทั่วไป มีขายเฉพาะที่นั่นที่นี่

ดังนั้น การทำให้มีสินค้าอยู่ในตลาดจำนวนน้อย ท่ามกลางความต้องการเยอะ ถือว่าเป็นกลยุทธ์ทางการตลาด หรือที่เรียกกันว่า “ลิมิเต็ดอิดิชั่น” ยิ่งน้อย ยิ่งหายาก ยิ่งมีราคาสูง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “การแย่งของ” ขึ้นมา

#รีวิว รัวๆ แบรนด์แห่ลงโฆษณาผ่านสื่อโซเชียล

กูรูมาร์เก็ตติ้ง กล่าวต่อว่า เดี๋ยวนี้หากใครเล่นโซเชียลต้องเห็นการรีวิว อาหาร เครื่องดื่ม ร้านค้า เต็มโซเชียล ซึ่งคนกลุ่มวัย 15-30 ต้นๆ จะเป็นคนที่อยู่ในโลกออนไลน์เยอะ เป็นคนที่อยู่ในเทรนด์ และนิสัยคนไทยส่วนใหญ่ (ไม่ทุกคน) เป็นคนอยากรู้อยากเห็น ... อะไรใหม่ อะไรที่ว่าดี ก็ชอบลอง

ขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งเป็นคนที่มีผู้ติดตามเยอะทั้งในเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม ก็จะโพสต์รีวิวเรื่องพวกนี้ รวมทั้งก็มีการรับจ้างโพสต์จากแบรนด์ต่างๆ พอทำให้คนเกิดความเชื่อก็เป็นกระแสขึ้นมา จึงทำให้สื่อหลักๆ มาวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้สินค้าเป็นที่พูดถึงของสังคม ทำให้มัน “ดัง” ขึ้นมา

...

การรีวิวว่า กินแล้วเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่เมื่อทดลองไม่ได้เป็นจริงอย่างที่กล่าวอ้าง จะเสียภาพลักษณ์แบรนด์หรือไม่? อ.ธันยวัชร์ ถามกลับอย่างทันควันว่า “เจ้าของแบรนด์เขาพูดเองหรือเปล่า?” ก่อนอธิบายต่อว่า “เขาไม่ได้พูดเองว่ากินแล้วจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ เกินความจริง และเขาก็ไม่ได้บอกว่าเขาจ้างมารีวิวด้วย อีกทั้งเขาเองก็ไม่ได้บอกว่า ดื่มน้ำนี้แล้วจะสวย เพียงแต่ชื่อของผลิตภัณฑ์ทำให้คนเกิดความเชื่อไปเองว่าดื่มแล้วสวยเท่านั้น”

นักการตลาดชื่อดัง อธิบายว่า การตลาดเป็นเรื่องของการสร้าง Perception หรือการรับรู้ ทำให้คนเชื่อไปเอง ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ เช่น ดื่มแล้วเรียนหมอ เรียนวิศวะได้ ซึ่งไม่ได้โฆษณาว่ากินแล้วฉลาดเลย แต่คนไปคิดเอาเองว่ากินแล้วต้องฉลาดแน่ๆ ถึงเข้าเรียนหมอและวิศวะได้

ดังนั้น การตลาด จึงเป็นการทำให้คนเชื่อว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้ โดยที่ไม่ต้องบอกออกไปตรงๆ ให้คนไปคิดเอาเอง ซึ่งในข้อเท็จจริงจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้

...

ทริกมาร์เก็ตติ้ง! ทำอย่างไรให้คนเกิดความอยากรู้อยากลอง นำมาสู่การซื้อผลิตภัณฑ์?

อ.ธันยวัชร์ เปิดเผยว่า เทคนิคการตลาดขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์นั้นๆ เช่น ร้านอาหาร ให้แม่ค้าส้มตำแต่งตัวแปลกๆ หรือมีพริตตี้สาวสวยหุ่นดี มาตำส้มตำ หรือเมื่อก่อนมีเชลล์ชวนชิม ไปกินที่ไหนที่ว่าอร่อย เราก็ตามไปกินด้วย ขณะที่ ปัจจุบันมีสื่อหลายช่องทาง ยิ่งมีรถไฟฟ้ายิ่งทำให้เดินทางสะดวกขึ้น จึงเกิด Topic ที่ว่า “กินอร่อยตามซอยอารีย์, กินอร่อยตามแนวรถไฟฟ้า” ออกเป็นหนังสือรวมเล่ม สร้างคอนเทนต์บนเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน ออกรายการทีวี ซึ่งก็แล้วแต่ว่าออกสื่อไหน ยิ่งเป็นสื่อหลัก คนก็ยิ่งนิยมตามไปกิน

หรืออย่างในปัจจุบันที่คนนิยมเล่นโซเชียลมากกว่า การเสพสื่อกระแสหลัก จึงทำให้แบรนด์หันมาจ้างคนที่มีผู้ติดตามเยอะมารีวิวสินค้า อาหาร ให้ โดยเนื้อหาจะต่างกับการลงโฆษณาในทีวีหรือหนังสือพิมพ์ที่จะเป็นการโฆษณาอย่างตรงไปตรงมา

แต่การโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดีย จะเป็นไปในลักษณะการเขียนวิจารณ์ เขียนคอนเทนต์ให้ดึงดูดใจ พร้อมสอดแทรกผลิตภัณฑ์ลงไปในคอนเทนต์นั้นด้วย จนเกิดเป็นกระแสในโลกออนไลน์ขึ้นมา และไม่เพียงเท่านั้น ยิ่งทำให้สื่อกระแสหลักลงมาเล่นกับคอนเทนต์เหล่านี้ด้วย ยิ่งทำให้กระแสมัน “ดัง” ขึ้นมา จนคนต้องไปหาซื้อ “สินค้า” เหล่านี้

...

2 คำรู้ไว้! ไม่ตกเป็นเหยื่อการตลาด

“มีสติ อย่าโลภ” 2 คำสั้นๆ จากนักการตลาดชื่อดัง พร้อมอธิบายต่อว่า “การตลาด” มักจะเล่นกับ “ความอยาก” ของคน และคนเราเมื่อเกิดความอยาก รวมทั้งเห็นคนอื่นทำกัน แต่เราไม่ได้ทำ สุดท้ายก็เหมือนมีอะไรค้างคาใจอยู่ แต่ถ้าเราอยากได้และมีรายได้มากพอเราก็ไปซื้อได้ แต่ถ้าเรามีรายได้ไม่พอ เราก็จะต้องตั้งสติให้ดีว่า ถ้าเราลงเงินไปกับสิ่งนี้แล้วมันคุ้มไหม เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องของเหตุผล มันเป็นเรื่องของอารมณ์ล้วนๆ

“ผมว่ามันก็ต้องให้แบรนด์เขาทำการตลาดบ้าง ไม่งั้นแบรนด์ก็ขายไม่ได้ เราไม่ได้พูดถึงเรื่องจริยธรรมนะ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่คนไทยเป็นประเภทที่ว่าต้องกระตุ้นไม่งั้นไม่มาซื้อกัน และทำแบบนี้จะได้พื้นที่สื่อด้วย โซเชียลลง ทีวี นสพ. เว็บออนไลน์ ลงกันไปลงกันมา ก็ต้องไปจัดสักอันแล้วกัน (หัวเราะ) บางเรื่องผมยังตกเป็นเหยื่อเลย”

พรีออเดอร์ ไม่ได้ของ เข้าข่ายหลอกลวง!

เมื่อเกิดกระแสความต้องการสินค้าเยอะ ก็ทำให้มีมิจฉาชีพหลอกรับพรีออเดอร์โดยไม่ส่งของให้หลายต่อหลายกรณี จนถึงกรณีล่าสุดที่สินค้าไม่มีขายในประเทศไทย ต้องพรีออเดอร์เข้ามา และผู้บริโภคเห็นว่ามีราคาถูกจึงสั่งซื้อ แต่สุดท้ายกลับไม่ได้ของ

นายพิฆเนศ ต๊ะปวง รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวถึงรณีที่สั่งสินค้าออนไลน์แล้วไม่ได้รับสินค้าว่า เป็นลักษณะการเข้าข่ายหลอกลวง สามารถดำเนินการทางกฎหมายอาญาฐานฉ้อโกงได้ แต่หากเป็นกรณีผิดสัญญาทั่วไป เช่น ของไม่พอ ส่งช้า ของชำรุด ผู้บริโภคสามารถร้องเรียนมาได้ที่ สคบ.

แต่อย่างไรก็ดี ยกเว้นว่า สั่งซื้อเพื่อขายทำกำไรต่อ ซึ่งจะเข้าข่ายผู้ประกอบธุรกิจไม่ใช่ผู้บริโภคที่จะซื้อไปใช้ไปกินเอง ต้องไปดำเนินคดีกันเอง สคบ.จะปฏิเสธไม่รับเรื่อง เนื่องจากว่าไม่ใช่อำนาจหน้าที่ ภารกิจของสคบ. ซึ่งอาจจะนำไปสู่การฟ้องข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้

ของแพง แสดงราคาชัด ไม่จัดเป็นสินค้าควบคุม ตั้งราคาสูงไม่ผิด!?

ส่วนกรณี “กระแสบริโภคนิยม” นั้น รองเลขาฯ สคบ. ระบุว่า สคบ. สามารถเข้าไปดำเนินการได้ในขอบเขตอำนาจที่มีอยู่ นั่นคือ ทำให้ผู้บริโภคเกิดความตระหนักรู้ ใช้สินค้าอย่างประหยัด ซึ่งเป็นแนวทางของรัชกาลที่ 9 ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกันที่ดี โดยให้น้อมนำมาใช้ในการบริโภคสินค้าทั่วๆ ไป

ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาหลังกระแสบริโภคนิยม นั่นคือ ราคาสูงขึ้นตามความต้องการที่มากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นไปตามกลไกทางการตลาด อีกทั้ง ขนมหรือเครื่องดื่มเหล่านี้ ไม่ใช่สินค้าที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ควบคุมราคา

เพียงแต่ผู้ประกอบการควรจะแสดงราคาสินค้าให้ผู้บริโภคเห็นด้วย ซึ่งหากมีการแจ้งแสดงราคาอย่างชัดเจนก็ถือว่าเกิดความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายเพราะผู้บริโภคได้รับรู้ราคาและมีสิทธิ์ในการตัดสินใจว่าจะเลือกซื้อหรือไม่ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ

“แต่ถ้าราคามันแพงเกินไปหลายเท่า สคบ.จะตรวจสอบดูว่าสินค้านั้น เป็นสินค้าในลักษณะที่มีความจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตไหม เหตุที่มีราคาแพงเกิดจากปัจจัยใดบ้าง เช่น ค่าขนส่งต่างๆ แต่เมื่อผู้บริโภคเห็นราคาชัดเจนแล้วคิดว่าแพงมาก ผู้บริโภคอาจเลือกที่จะไม่ซื้อก็ย่อมได้” รองเลขาฯ สคบ. กล่าว

เตือน ‘นักรีวิว’ โฆษณาเกินความจริง ระวังติดร่างแห

นอกจากนี้ การโฆษณาเกินจริงก็อยู่ในอำนาจของ สคบ. ที่จะเข้าไปจัดการด้วย โดย นายพิฆเนศ กล่าวถึงกรณีที่แบรนด์โฆษณาเกินจริง ที่ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ถือว่าเป็นการโฆษณาที่ไม่เป็นธรรมสำหรับผู้บริโภคด้วย สามารถที่จะใช้กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคว่าด้วยการโฆษณาไปดำเนินการได้

หากผู้บริโภครีวิวสินค้าเกินความจริงเสียเอง ผิดหรือไม่? รองเลขาฯ สคบ. อธิบายว่า ขึ้นอยู่กับผู้บริโภคที่รีวิว ว่า มีวัตถุประสงค์ในทางการค้าหรือไม่ แม้ไม่ได้เป็นผู้มีส่วนร่วมก็จริง แต่อาจจะมีส่วนสนับสนุน ยกเว้นว่า ไม่รู้จริงๆ ก็ดูที่เจตนา

แต่หากพบว่า รับเงินแบรนด์มารีวิว แบบนี้ชัดเจน สคบ.อาจจะเรียกมาสอบว่า การกระทำลักษณะนี้มีความมุ่งหมายในทางการค้าหรือไม่ เป็นคนขายด้วยไหม และการโฆษณาของเป็นเท็จก็มีความผิดเรื่องของการโฆษณาเท็จ เกินความจริงได้

ท้ายที่สุดนี้ เจ้าของฉายาขาโหด ฝากไว้ให้คิดจากหนังสือภูมิศาสตร์แห่งความสุข The Geography of Bliss เขียนโดย Eric Weiner ระบุไว้ว่า “หนังสือภูมิศาสตร์แห่งความสุขบอกถึงความสุขของคนแต่ละประเทศ ความสุขของคนอเมริกา คือ บ้าน ความสุขของคนอังกฤษ คือ การงานที่ก้าวหน้า ความสุขของคนกาตาร์ คือ การถูกหวย ส่วนความสุขของคนไทย คือ การไม่คิด”

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน