"ก๊อบไม่ก๊อบ!?" คำถามซ้ำซากสงสัยกันแทบทุกปี แม้ว่าในยุคที่โซเชียลมีเดียกำลังบูม ค้นหาเพลงฟังได้ทั่วโลก แต่ก็ยังมีศิลปินบางคน (กล้า) ก็อบเพลงต่างชาติอยู่ โดยเหตุการณ์ล่าสุดเกิดขึ้นกับเพลงฮิตชื่อดัง ดันไปคล้ายกับเพลงต่างประเทศ (อีกแล้ว) ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้ยกตัวอย่างเพลงต่างประเทศทั้งเก่าและใหม่ มาให้ผู้อ่านได้ลองฟังกันว่า เอ๊! เพลงนี้คลับคล้ายคลับคลาเพลงไทยเพลงไหนกันบ้าง ลองทายกันดู
ตัวอย่างเพลงต้นฉบับ
Avenged Sevenfold - Dear God
X Japan - Say Anything
Maher Zain - Nas Teshbehlena
...
TWO DOOR CINEMA CLUB - WHAT YOU KNOW
BEAST - FICTION
Destiny's Child - Emotion
Love - Primary (Feat. Bumkey, Paloalto)
Fastball - The Way
ย้อนดราม่า ศิลปินไทยก๊อบเพลงต่างชาติ
“แค่โสด” เพลงแร็ปสัญชาติไทยจากวง “โซโลอิสต์” ฮิตไปทั่วประเทศ ด้วยบีทดนตรีสุดมัน น่าลุกขึ้นมาโยก จนมียอดวิวในยูทูบเกือบ 100 ล้าน แต่แล้วด้วยทำนองดนตรีดันไปคล้ายคลึงกับเพลง “Fiction” ของศิลปินเกาหลี “Beast” จนแฟนคลับเข้ามาด่าทออย่างมาก สุดท้าย เจ้าตัวยอมรับว่าไปก๊อบทำนองเพลง Fiction จริง พร้อมโพสต์ชี้แจงภายหลังว่า ได้มีการขออนุญาตอย่างถูกต้องจากต้นสังกัดของวง Beast แล้ว
ส่วนอีกเพลงก็ฮิตติดหูไม่แพ้กัน “สิ่งรอบข้าง” จากวง “มหาหิงค์” ที่นำทำนองเพลงดังอย่าง “What You Know” ของศิลปิน “Two Door Cinema Club” โดยไม่ได้ขออนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ซึ่งหลังจากเป็นดราม่าบนโลกโซเชียล ทางศิลปินและต้นสังกัด ได้ออกมาขอโทษที่ทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พร้อมยอมรับว่า ได้รับอิทธิพลมาจากวงนี้ และชื่นชอบจึงนำเมโลดี้กีตาร์มาประกอบเพลง
ด้านค่ายเจ้าของลิขสิทธิ์อย่างวอร์นเนอร์ มิวสิก ไทยแลนด์ ได้มีการตักเตือนและสั่งปรับ แต่ไม่เปิดเผยตัวเลขที่ชัดเจน ยืนยันว่าไม่เกินอัตรากฎหมายไทย เพื่อเป็นตัวอย่างให้คนคำนึงถึงกฎหมายลิขสิทธิ์มากยิ่งขึ้น
...
ส่วนอีกกรณี "แจ๊ส ชวนชื่น" และสมาชิกวงสปุ๊กนิค ปาปิยอง กุ๊กกุ๊ก ร้องและทำเอ็มวีเลียนแบบเพลง "Stressed Out" ของศิลปินระดับโลกอย่าง “Twenty one pilots” โดยแจ๊สได้ออกมายอมรับแบบตรงไปตรงมาว่าตั้งใจก๊อบปี้ผลงานของศิลปินในดวงใจนี้จริง แต่เป็นการเลียนแบบอย่างถูกลิขสิทธิ์ เพราะได้ขออนุญาตค่ายวอร์นเนอร์มิวสิก ประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้จัดการดำเนินเรื่องให้และได้รับตรวจสอบจากต้นสังกัดของศิลปินดังที่ต่างประเทศแล้วด้วย
นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่ผู้ใช้งานเว็บไซต์พันทิป ตั้งข้อสงสัยกับเมโลดี้เพลง “แพ้ทาง” ของศิลปินไทย “ลาบานูน” ว่าไปคล้ายกับเพลง “Nas Teshbehlena” ของศิลปินชาวเลบานอน “Maher Zain” ซึ่งก็ยังไม่มีการออกมาชี้แจงจากศิลปินและต้นสังกัดว่า สรุปแล้วก๊อบจริงหรือไม่
กระนั้นแล้ว ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านดนตรีระดับแถวหน้าของเมืองไทย 3 ท่าน ได้แก่ “ชมพู ฟรุตตี้” สุทธิพงษ์ วัฒนจัง นักร้องนักแต่งเพลง และโปรดิวเซอร์ชื่อดัง “ป๋าเต็ด” ยุทธนา บุญอ้อม ผู้ก่อตั้งคลื่นแฟตเรดิโอ และคอนเสิร์ตบิ๊ก เมาน์เทน และ “หนึ่ง” จักรวาร เสาธงยุติธรรม โปรดิวเซอร์และมิวสิกไดเรกเตอร์ ถึงประเด็น “เหตุใดศิลปินไทยยุคใหม่ถึงยังก๊อบปี้เพลงต่างชาติอยู่” โดยผู้มากประสบการณ์ทั้ง 3 ท่าน วิเคราะห์กันอย่างไร ติดตามได้ ณ บัดนี้...
...
ไร้ไอเดีย ลักไก่ เหตุเด็กยุคใหม่ก๊อบทำนองเพลงฝรั่ง
คำถามที่ว่า “ทำไมยุคสมัยนี้ ยังมีการก๊อบปี้เพลงกันอยู่” ชมพู ฟรุตตี้ ไขข้อข้องใจว่า เด็กรุ่นใหม่บางคนอาจจะมีไอเดียในการแต่งเนื้อร้อง แต่ไม่มีไอเดียในการแต่งทำนอง จึงหยิบดนตรีต่างประเทศที่ชอบมาใช้ โดยคิดว่าไม่น่าจะผิด หรือโปรดิวเซอร์ คนทำเพลง แอบลักไก่ ซึ่งนโยบายของค่ายใหญ่ๆ ห้ามทำอยู่แล้ว เพราะจะเกิดปัญหาและเสียชื่อเสียง เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่น่าจะเป็นบุคคลที่อาจจะอยากทำงานให้ดี แต่คิดเองไม่ค่อยดี เลยเอามาดัดแปลงแล้วคิดว่าน่าจะไม่ผิดอะไร หรือมองว่า เพลงไม่ดังคนน่าจะจับไม่ได้ จึงตัดสินใจที่กระทำลงไปแบบนั้น
ฟรุตตี้ รับ ก๊อบทำนองเพลงต่างชาติ เผย อดีตไร้ ก.ม.ลิขสิทธิ์
ขณะเดียวกัน อดีตศิลปินวงดัง ยังยอมรับว่า ฟรุตตี้เองก็เคยนำทำนองเพลงจากต่างประเทศมาใช้ โดยทางบริษัทและโปรดิวเซอร์เล็งเห็นว่าเพลงเพราะ เมโลดี้โดน และเป็นเนื้อภาษาต่างประเทศ หากใส่เนื้อไทยแล้วเมโลดี้โดนๆ แบบนี้ น่าจะดี จึงนำเพลงมาแปลง
อีกทั้ง เมื่อก่อนกฎหมายลิขสิทธิ์ยังไม่มี และก่อนหน้านี้ได้เคยมีศิลปินไทยนำทำนองเพลงต่างประเทศมาใช้อย่างแพร่หลาย จึงไม่ได้คิดหรือรู้สึกอะไร เพราะในยุคนั้นก็ไม่ได้ซีเรียส ทำนองเพลงไพเราะดีแค่นั้น เพียงแต่ว่าไม่ค่อยชอบเท่าไร เพราะตนแต่งเพลงเองได้ ชอบที่จะแต่งเพลงเองมากกว่า แต่ถามว่าเพลงดังไหมก็ดังเหมือนกัน และก็มีหลายเพลง เช่น นิยายรักขาดตอน ที่นำทำนองมาจากไต้หวันหรือจีน และทุกวันนี้ก็ยังเปิดฟังได้อยู่ เพราะกฎหมายลิขสิทธิ์ไม่มีผลย้อนหลัง
“ถามว่าในวันนี้รู้สึกยังไงที่ทำลงไปนั้น พี่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนะ เพราะอย่างที่บอกว่าตอนนั้นกฎหมายลิขสิทธิ์ยังไม่มี ซึ่งพี่มองว่า มันขึ้นอยู่กับบริบทของเวลามากกว่า แต่หากวันนี้พี่ทำแบบนั้นก็คงรู้สึกไม่ดีแน่ๆ” นักแต่งเพลงชื่อดัง เผยความรู้สึก
...
การแต่งเพลง = การสร้างสรรค์ ไม่ใช่ “มักง่าย”
“ป๋าเต็ด” ยุทธนา บุญอ้อม เจ้าพ่อเฟสติวัล กล่าวถึงวิธีการทำเพลงว่ามีหลายรูปแบบ ทั้งการดึงท่อนลูปจากเพลงอื่นแล้วแต่งเพิ่มเติมเข้าไป และมีการให้เครดิตว่าเอามาจากเพลงไหน พร้อมทั้งการจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้ทางเจ้าของลิขสิทธิ์ด้วย หรืออย่างสไตล์เพลงที่ต้องใช้คอร์ด โน้ต เมโลดี้ แบบเดียวกัน แต่รายละเอียดอาจจะแตกต่างกันออกไปได้ แต่บางรูปแบบเอามาทั้งหมดแบบเหมือนเป๊ะก็มี นั่นก็คือ การก๊อบจริงๆ
สำหรับกรณีที่ตั้งใจก๊อบจริงๆ ก็คือ “คนมักง่าย” หากต้องการจะเป็นศิลปิน เรื่องความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งสำคัญมาก และไม่ได้ขึ้นอยู่กับยุคสมัยว่า ยุคนี้คนมีโอกาสฟังเพลงได้มากแล้วจะไม่ก๊อบ มันขึ้นกับระดับความมักง่ายของคนนั้นๆ มากกว่า และคนมักง่ายมีอยู่ในทุกยุค และไม่ได้มีเฉพาะเมืองไทยด้วย เหตุสำคัญอยู่ที่ตัวบุคคล ซึ่งขึ้นชื่อว่าการแต่งเพลง ก็หมายถึง การสร้างสรรค์ขึ้นมา ไม่ใช่การเอาเพลงมาเปิดฟังว่า ชอบท่อนนี้แล้วดึงออกมาใส่เพลงตัวเอง
ยุคไหนก๊อบปี้มากที่สุด?
ป๋าเต็ด เล่าว่า ในอดีตตอนที่กฎหมายเรื่องลิขสิทธิ์ยังไม่มี การเอาทำนองเพลงฝรั่งมาแต่งเนื้อไทย ยังถือว่าเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เรื่องผิด และหลายเพลงก็ได้รับความนิยมด้วย มีทั้งเพลงฝรั่ง เพลงจีน เพลงฟิลิปปินส์ ดังนั้น จึงไม่เรียกว่าเป็นการก๊อบปี้ โดยเป็นการทำเพลงรูปแบบหนึ่ง คือ เอาทำนองเพลงสากลมาเปลี่ยนเป็นเนื้อไทย
และตั้งแต่ยุค 80 เป็นต้นมา การทำเพลงรูปแบบดังกล่าวไม่เป็นที่แพร่หลายแล้ว คนเริ่มพูดเรื่องกฎหมายลิขสิทธิ์ และกฎหมายเริ่มมีผลบังคับใช้ หากใครยังทำแบบนั้นอยู่ก็ถือว่า เป็นการก๊อบปี้แล้ว
ทำให้ยุค 80-90 การก๊อบปี้จึงซับซ้อนมากขึ้น โดยเอามาแค่โครงสร้างของคอร์ดและมาบิดเมโลดี้ใหม่ ซึ่งหากไม่ใช่คนทางดนตรีจริงๆ จะฟังไม่ออกเลยว่าลอกมา เรียกว่า เป็นการลอกอย่างมีชั้นเชิง ศิลปินบางคนจึงหันมาใช้วิธีนี้กันค่อนข้างเยอะ
งดสนับสนุน “ศิลปินนักก๊อบ” แต่ให้โอกาสกลับตัว เชื่อชีวิตผิดพลาดได้
ยุคอินเทอร์เน็ต 4G เปิดโลกทัศน์การฟังเพลงให้คนฟัง และหากถูกจับได้ขึ้นมาว่า “ก๊อบปี้เพลง” จะมีการจัดการกับศิลปินอย่างไร!?
ป๋าเต็ด ระบุว่า ไม่อยากให้สังคมเกิดการล่าแม่มด หรือออกมาประจานจนทำให้คนเหล่านี้ไม่มีที่ยืนในสังคม แต่ไม่ได้หมายความว่าให้สนับสนุนคนที่กระทำผิด เพราะชีวิตคนผิดพลาดกันได้ ไม่ว่าจะด้วยอายุยังวัยเยาว์ วุฒิภาวะยังน้อย หลงผิด มักง่าย หรือทำไปโดยที่ไม่ได้คิดถึงผลกระทบตามมา เมื่อรู้ว่าทำผิดก็ควรยอมรับผิด พร้อมกลับตัวเริ่มต้นใหม่ และสังคมก็ควรให้โอกาสเขาด้วย
แต่อย่างไรก็ดี สังคมควรจะทำให้ศิลปินเหล่านี้ได้เรียนรู้ว่า “การก๊อบปี้เป็นสิ่งผิด” และแสดงออกถึงการไม่สนับสนุนผลงานคนที่ก๊อบปี้ผลงานคนอื่น ขณะเดียวกันก็ต้องให้เกียรติศิลปินที่สร้างสรรค์งานมาด้วยตัวเองด้วย
เผย เคยมีต้นสังกัดต่างชาติ เรียกเก็บลิขสิทธิ์ศิลปินไทย แต่ไม่ถึงขั้นฟ้องร้อง
ในอดีตถึงปัจจุบันเคยมีต้นสังกัดต่างประเทศ มาฟ้องร้องศิลปินไทยที่ไม่ก๊อบปี้ทำนองมาบ้างหรือไม่? ป๋าเต็ด ตอบว่า “มีครับ แต่ขออนุญาตไม่ยกตัวอย่างกลัวกระทบกับคนอื่น” พร้อมอธิบายต่อว่า เรื่องต้นสังกัดต่างชาติเข้ามาดำเนินการตามกฎหมาย หรือเรียกร้องค่าลิขสิทธิ์จากศิลปินไทยมีมานานแล้ว แต่ไม่ค่อยเป็นข่าว เพราะบางเรื่องเกิดขึ้นนานแล้ว เนื่องจากแต่ก่อนยังไม่มีเรื่องกฎหมายลิขสิทธิ์ มันเป็นไปในรูปแบบของ “เพลงแปลง” หมายความว่า เอาทำนองต่างชาติมาแล้วแปลงเนื้อเป็นภาษาไทย
แต่หลังจากกฎหมายลิขสิทธิ์ถูกบังคับใช้ ถ้าเพลงนั้น ยังมีการเผยแพร่อยู่ ต้นสังกัดดักฟังแล้วเจอก็จะติดต่อเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์จากบริษัทที่ทำเพลงนี้ขึ้นมา ซึ่งก็คือการเรียกค่าลิขสิทธิ์ย้อนหลัง ก็จ่ายเงินกันไป ไม่ได้มีการฟ้องร้อง ยกเว้นว่า เรียกเก็บมาแล้วไม่จ่ายถึงจะฟ้อง
คำว่า "แรงบันดาลใจ" ขอบเขตแค่ไหน ไม่ใช่การก๊อบปี้ ?
“คนที่รู้ดีที่สุดก็คือคนทำ” ป๋าเต็ด อธิบายต่อว่า “การแกะทุกอย่างจากเพลงต้นฉบับที่ชอบมา คอร์ด เมโลดี้ เป็นแบบนี้ ก็คือลอกมา เพลงหนึ่งเพลงมีส่วนประกอบเยอะ คอร์ด ทำนอง เนื้อหา ซาวนด์ ลักษณะการใช้ดนตรี เมื่อไหร่ก็ตามที่เอามาเยอะ ทุกอย่างลอกแน่นอน แต่ถ้าเราหยิบแค่บางอย่างแล้วเราเอามาพัฒนาให้เป็นเพลงของเรา เช่น ทางคอร์ดมา แต่ใช้ซาวนด์อีกแบบ ใช้เมโลดี้อีกแบบ เนื้อหาอีกแบบ จนในที่สุดแล้วมันกลายเป็นงานใหม่ขึ้นมา นั่นแหละ คือ แรงบันดาลใจ”
ขณะที่ หนึ่ง จักรวาร มือคีย์บอร์ดระดับแนวหน้าของเมืองไทย มองว่า “ขอบเขตของคำว่าแรงบันดาลใจ ก็คือ จรรยาบรรณ ซึ่งการคิดเมโลดี้ เกิดมาจากการที่เราฟังเพลงเยอะๆ หากเราจะชอบเมโลดี้ท่อนฮุกเพลงนี้ก็เอามาบิดได้ จนกลายเป็นเพลงเรา เพราะผมเชื่อว่าคนทุกคนเวลาแต่งเพลงก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการฟังเพลง แต่หากคุณฟังเพลงน้อยก็แต่งเพลงไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้น เรื่องก๊อบปี้มันอาจจะมีบ้าง อยู่ที่เราว่าเราจงใจหรือเปล่าให้มันเหมือนหรือไม่”
แรงบันดาลใจสู่การบิดโน้ตอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่การก็อบเพลง!
นอกจากนี้ หนึ่ง จักรวาร ยังแนะนำอีกว่า เด็กรุ่นใหม่มีโอกาสฟังเพลงได้มากมาย สามารถนำข้อมูลเหล่านี้ มาสร้างแรงบันดาลใจได้ดีกว่าคนรุ่นเก่าที่ไม่มีโอกาสได้ฟัง และจะต้องมีขอบเขตของการทำเพลงว่าบิดดนตรีได้แค่ไหน ซึ่งมองว่าการบิดดนตรีไม่ใช่การก๊อบปี้เพลง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเหมือนทุกโน้ตแต่เปลี่ยนจากเพลงช้าเป็นเพลงเร็ว
ส่วนตัวอย่างการบิดเพลง เช่น เพลงไอติมวอลล์ ตือ ดื้อ ดือ บิดเป็น ตือ ดือ ดื้อ ดือ ตือ ดือ ดือ ดื่อ ดื่อ ดื๊อ ดือ ซึ่งมันเป็นชั้นเชิงในการทำเพลง เหมือนกับการชอบฟังเพลงเกาหลี พอเวลามาทำเพลงก็ติดหูจากเพลงนั้นๆ มา ซึ่งก็ต้องใช้วิธีการบิดไม่ให้เหมือน เพราะโน้ตมี 8 ตัว มีโอกาสบิดได้ แต่ไม่ใช่ทำจนเหมือนเป๊ะทั้งเพลง
“เคยมีศิลปินบางคนอยากได้เพลงที่เหมือนกับต่างประเทศมาให้เราทำเพลงให้ แต่ด้วยจรรยาบรรณของคนทำเพลง เราก็แนะนำว่าจะทำให้เหมือนเลยไม่ได้ ขนาดโฆษณาแค่ 30 วินาที ยังไม่ได้เลย มันต้องบิด เปลี่ยนกรู๊ฟจังหวะหรือเปลี่ยนซาวนด์ไปเลย มันก็ดูว่าไม่ได้ก๊อบปี้แล้ว เพราะว่าด้วยจรรยาบรรณของคนทำเพลงมืออาชีพเขาไม่ทำกัน” โปรดิวเซอร์มือทอง กล่าว
อยากเป็นศิลปิน ต้องหยิ่ง สร้างสรรค์งานด้วยตัวเอง
ด้าน ชมพู ฟรุตตี้ ทิ้งท้ายบทสรุปก๊อบปี้เพลงต่างชาติว่า “การจะเป็นศิลปินก็ต้องมีความหยิ่งในตัวเอง และพยายามที่จะสร้างสรรค์งานที่เป็นงานของตัวเอง เวลาประสบความสำเร็จเราสามารถภูมิใจได้เต็มที่ ไม่ต้องไปแอบว่าจะมีใครรู้หรือเปล่า เดี๋ยวเกิดเอาตัวมาสเตอร์มาเปิดชนกันเหมือนในคลื่นวิทยุเมื่อก่อนนี้ หรือเอาแปะชนกันบนโซเชียล มันก็ขายหน้าเปล่าๆ
ฉะนั้น ถ้าอยากเป็นศิลปินก็ทำเอง ค่อยๆ เรียนรู้ไป แล้ววันหนึ่งเราก็จะเป็นคนที่ยืนอยู่บนความคิดของตัวเองได้ ไม่ต้องไปอาศัยความคิดของคนอื่นเขาหายใจ”
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน