ในวันอาทิตย์ที่ 23 เม.ย. นี้ ฝรั่งเศสจะเริ่มต้นการเลือกตั้งหาประธานาธิบดีคนใหม่ที่ยากจะคาดเดาผลลัพธ์มากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศแล้ว โดยในกลุ่มผู้สมัครทั้ง 11 คน มีถึง 4 คนที่มีโอกาสคว้าชัยชนะในการลงคะแนนเสียงรอบแรกนี้ เพื่อไปตัดสินกันที่การเลือกตั้งรอบ 2 ในวันที่ 7 พ.ค.
การเลือกตั้งคราวนี้คาดเดาผลลัพธ์ได้ยากเพราะ เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อน สถานการณ์ดูเหมือนว่าศึกชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของแดนน้ำหอมครั้งนี้จะเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างนาง มารีน เลอ แปง หัวหน้าพรรค ‘แนวหน้าแห่งชาติ’ และนาย เอมมานูเอล มาครอง ผู้สมัครอิสระ
แต่ในขณะที่การลงคะแนนรอบแรกกกำลังจะมาถึง กลับเกิดคลื่นลูกใหม่คือนาย ฌอง-ลุค เมลองชอง ตัวแทนพรรคฝ่ายซ้ายทำคะแนนนิยมตีตื้นขึ้นมาด้วยความเร็วที่ไม่ธรรมดา นอกจากนี้ ยังมีนาย ฟรองซัวส์ ฟิยง อดีตตัวเก็งอันดับ 1 ที่ถูกมรสุมด้านคดีความรุนเร้า แต่ยังคงไม่ยอมแพ้โดยไม่ต่อสู้เป็นคู่แข่งที่ไม่อาจมองข้ามได้อีก 1 คน
รู้จัก 4 ตัวเก็งเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส
1. มารีน เลอ แปง จากพรรค ‘แนวหน้าแห่งชาติ’ (FN)
...
มารีน เลอ แปง ลูกสาวของนาย ฌอง-มารี เลอ แปง ผู้ก่อตั้งพรรคแนวหน้าแห่งชาติ เป็นผู้แทนจากพรรคฝ่ายขวาจัดที่มีโอกาสชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสมากที่สุดในรอบ 15 ปี ด้วยความเป็นผู้สมัครหัวประชานิยมและชาตินิยมสายแข็ง ชูนโยบายต่อต้านการรับผู้อพยพเข้าประเทศ เช่นเดียวกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ อย่างพลิกความคาดหมายของคนทั้งโลก
เลอ แปง ในวัย 48 ปี ต้องการพาฝรั่งเศสออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป เหมือนที่สหราชอาณาจักรทำมาแล้ว, ออกจากความตกลงเชงเกน ให้ฝรั่งเศสกลับมาควบคุมพรมแดนของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง และผลักดันเรื่องการออกจากการเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต ด้วย เธอยังต้องการหยุดรับผู้อพยพชั่วคราว และจำกัดจำนวนการรับผู้อพยพเข้าเมืองไว้ที่ 10,000 คนต่อปี รวมทั้งประณามกระแสโลกาภิวัติน์ และให้คำมั่นว่าจะต่อสู้กับพวกอิสลามหัวรุนแรง
“การรับผู้อพยพจำนวนมากไม่ใช้โอกาสสำหรับฝรั่งเศส มันเป็นโศกนาฏกรรมสำหรับฝรั่งเศส” เลอ แปง บอกกับกลุ่มผู้สนับสนุนเมื่อวันจันทร์ “บางครั้งชาวฝรั่งเศสก็มีสิทธิน้อยว่าชาวต่างชาติ แม้จะเป็นผู้ที่เข้ามาอย่างกฎหมายผิด” ซึ่งหากเธอชนะการเลือกตั้ง เธอจะกลายเป็นประธานาธิบดีฝ่ายขวาจัดคนแรกในประวัติศาสสหภาพยุโรป
2. เอมมานูเอล มาครอง ผู้สมัครอิสระ
คู่แข่งที่คู่คี่ที่สุดของนางเลอ แปง ก็คือ เอมมานูเอล มาครอง ผู้สมัครอิสระสายกลาง วัย 39 ปีผู้นี้ ซึ่งผลโพลชี้ว่า หากเขาหลุดไปถึงการลงคะแนนเสียงรอบ 2 กับนางเลอ แปง ในวันที่ 7 พ.ค. เขาจะเป็นผู้ที่ได้รับชนะ และจะทำให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์
มาครอง ไม่ได้เป็นส.ส. และไม่เคยลงสมัครเลือกตั้งมาก่อน แต่การไต่เต้าทางการเมืองของเขานั้นไม่ธรรมดา จากนักเรียนปัญญาเลิศผู้หวังอยากเป็นนักลงทุนธนาคาร ได้เข้าทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดี ฟรองซัวส์ โอลลองด์ ก่อนได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกิจการดิจิตอล, อุตสาหกรรมและเศรษฐกิจ ในปี 2014
อย่างไรก็ตาม หลังจากเขาก่อตั้งพรรค ‘เอ็น มาร์เค’ ในปี 2016 และประกาศตัวเป็นกลาง สถานะของเขาในรัฐบาลซึ่งนำโดยพรรคสังคมนิยมก็เริ่มไม่มั่นคง ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง ก่อนจะประกาศตัวลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยมีนโยบายแนวเสรีนิยม แต่ยังเน้นส่งเสริมเศรษฐกิจและสนับสนุนการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป เขายังต้องการเพิ่มงบประมาณรายจ่ายของฝ่ายกลาโหมและตำรวจ รวมถึงเพิ่มเงินเดือนครูด้วย
3. ฌอง-ลุค เมลองชอง จากกลุ่มเคลื่อนไหว ‘ลา ฟรองซ์ อินซูมีส’ (ฝรั่งเศสยอมสยบ)
...
ฌอง-ลุค เมลองชอง ม้ามืดวัย 65 ปี จากฝ่ายสังคมนิยมผู้นี้ ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ก้าวขึ้นมาแย่งคะแนนจากผู้สมัครรายอื่นๆ ในการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างแท้จริง หลังคะแนนนิยมของเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ฟังในการโต้อภิปรายทางโทรทัศน์ และใช้ภาพโฮโรแกรมของตัวเองช่วยในการหาเสียง ทำให้เหมือนกับว่าเขาสามารถปรากฏตัวในหลายสถานที่ได้พร้อมๆ กัน
เมลองชองใช้การพูดที่เสน่ห์ และเป็นกันเอง มัดใจผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงอายุน้อย นอกจากนี้ เขายังเสนอจะมอบสิ่งที่ชาวฝรั่งเศสกำลังต้องการหากเขาชนะการเลือกตั้ง คือ การเปลี่ยนแปลง แต่อาจไม่ถูกใจทุกฝ่าย โดยเขาต้องการผลักดันให้ฝรั่งเศสออกจากการเป็นสมาชิกนาโต และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เขายังต้องการเจรจาเรื่องกฎหมายของสหภาพยุโรปใหม่ และเรียกร้องให้มีการจัดการลงคะแนนเสียงประชามติถามประชาชนว่าฝรั่งเศสความออกจากอียูหรือไม่ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงกฎข้อบังคับ
ขณะที่นโยบายอื่นๆ ของเขารวมไปถึง การเพิ่มรายได้ขั้นต่ำ, เพิ่มการเก็บภาษีคนรวย จำกัดเวลาทำงานต่อสัปดาห์ไว้ที่ 35 ชั่วโมง และช่วยเหลือชาวฝรั่งเศสกลุ่มล่างมากขึ้น
4. ฟรองซัวส์ ฟิยง จากพรรค ‘รีพับลิกัน’
...
ฟิยง ผู้ชนะการเลือกหัวหน้าพรรค รีพับลิกัน เหนือนายนิโคลาส์ ซาร์โกซี อดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศส เคยเป็นตัวเก็งอันดับ 1 ในผลโพลเลือกตั้งแทบทุกสาขา จนกระทั่งการหาเสียงของเขาต้องสะดุดลงเมื่อภรรยาและลูก 2 คนของเขา ถูกกล่าวหาว่ารับเงินค่าจ้างจากรัฐทั้งที่ไม่ได้ทำงานจริงๆ แต่นายฟิยงยืนยันว่า ภรรยาของเขาทำงานเป็นผู้ช่วยเขามานานถึง 15 ปี ส่วนลูกๆ ก็ทำงานในตำแหน่งเดียวกันนาน 6-15 เดือน
ถึงกระนั้น ข้อกล่าวหานี้ก็ส่งผลกระทบต่อความนิยมในตัวเขาอย่างร้ายแรง ทว่ายังไม่หลุดจากวงโคจรของการเลือกตั้งในครั้งนี้ โดยตอนนี้คะแนนนิยมของเขาตามหลังนางเลอ แปง และนายมาครอง ไม่มาก นอกจากนี้ ทีมหาเสียงของเขายังมั่นใจว่าจะสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้
ในด้านนโยบาย ฟิยงซึ่งปัจจุบันมีอายุ 62 ปี เป็นนักการเมืองสายกลางขวา เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกิจการดิจิตอล, อุตสาหกรรมและเศรษฐกิจ ในยุครัฐบาลซาร์โกซี ทำให้เขาคุ้นเคยกับการทำงานในภาพการเงินของประเทศเป็นอย่างดี และเป็นที่รู้จักจากการบังคับใช้นโยบายรัดเข็มขัด
การเลือกตั้งครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ฟิยง ต้องการแก้กฎหมายทั้งของฝรั่งเศสและยุโรปซึ่งจำกัดเวลาทำงานไว้ที่ 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์, ลดการใช้งบประมาณ 1 แสนล้านยูโร และลดการจ้างเจ้าหน้าที่รัฐลง 5 แสนตำแหน่ง, ยกเลิกภาษีคนรวยและลดการรับผู้อพยพเป็นต้น
...
ความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง
สำหรับชาวยุโรปที่กำลังรับมือกับเรื่องการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสถือเป็นเหตุการณ์ที่ถูกจับตามองอย่างมาก เพราะมีผู้สมัครตัวเก็งอย่างน้อย 2 คน ที่ต้องการพาฝรั่งเศสออกจากสหภาพยุโรปด้วย ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง ก็หมายความว่า อียูเสีย 2 สมาชิกที่มั่งคั่งและมีประชากรมากที่สุดไป
ขณะที่ผู้กระทบต่อสกุลเงินยูโรมีหลากหลาย เช่นตัวเก็งอันดับ 1 อย่างนางเลอ แปง ต้องการทอดทิ้งสกุลเงินยูโรและบังคับใช้เงินฟรังซ์ฝรั่งเศสใหม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบมากกว่า ยูเคออกจากอียูเสียอีก เพราะฝรั่งเศสเป็นชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ในยูโรโซน ส่วนนายมาครองต้องการให้ชาติสมาชิกยูโรโซนที่เข้มแข็ง มอบงบประมาณให้ประเทศสมาชิกอื่นๆ เพื่อผลักดันให้เกิดความเท่าเทียมกันทางการเงิน ซึ่งหากสำเร็จเงินยูโรก็สามารถเข้มแข็งขึ้นได้
สำหรับชาวแอฟริกาและตะวันออกกลาง ดูเหมือนประตูสู่ฝรั่งเศสของพวกเขาจะปิดลงแล้วไม่ว่าตัวเก็งคนใดจะชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ เนื่องจากประเด็นเรื่องผู้อพยพ โดยเฉพาะจากชาติมุสลิม ถือเป็นเรื่องใหญ่สุดที่ถูกพูดถึงในการเลือกตั้งครั้งนี้ หลังเกิดเหตุก่อการร้ายบ่อยครั้งในยุโรป โดยผู้สมัครบางคนต้องการลดการรับผู้อพยพ ขณะที่บางคนถึงกับหยุดรับชั่วคราวเลยทีเดียว