“โธ่พี่จ๋า...วันนี้ยังขอไม่ได้เท่าไรเลย”
“วันนี้เพิ่งจะออกมาขอ...เอง เรียกว่าขาดทุนแล้วเนี่ย!”

นี่มักจะเป็นข้ออ้างของเหล่าขอทาน หากถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว ซึ่งคุณรู้ไหมว่าขอทานนั้นมีรายได้วันละเท่าไร หากเป็นเด็กนั้นเขามาจากที่ไหน ทำไมกลุ่มขอทานจึงใช้เด็กๆ อายุตั้งแต่ 1 เดือนถึง 5 ปีหาเงิน และดินแดนขุมทรัพย์ของเหล่ากระยาจกนั้นอยู่ที่ไหน

วันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะเฉลยทุกข้อข้องใจทั้งหมด จากปากผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง ประกอบด้วย น.ส.ยุพเรศ วงศ์บุญมี รองอธิบดี กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ นางงามจิต แต้สุวรรณ ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาขอทาน และ นายวิธนะพัฒน์ รัตนาวลีพงษ์ หัวหน้าโครงการรณรงค์ยุติธุรกิจเด็กขอทาน มูลนิธิกระจกเงา

เชื่อได้ว่า หากได้ฟังแล้ว คุณอาจจะไม่อยากให้เงินขอทานอีกเลย เพราะเขาเหล่านั้นอาจจะรวยกว่าคุณ... หรือเขาเหล่านั้นถูกนายหน้าค้ามนุษย์พามาทรมาน เพื่อเรียก “เศษเงิน” ในกระเป๋าของคุณ ก็เป็นได้...

...

เรื่องนี้มีอยู่จริง พ่อแม่กัมพูชา ขายลูกมาเป็นขอทาน ค่าตัวไม่ถึง 3 หมื่นบาท

จั่วหัวข้างต้น คือเรื่องราวจากมูลนิธิกระจกเงา นายวิธนะพัฒน์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจาก ได้รับข้อมูลจาก มูลนิธิส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (Labour Rights Promotion Network Foundation) เขาให้เราช่วยตามหาเด็กชาวกัมพูชา ซึ่งมีข้อมูลว่า ครอบครัวนี้ได้นำเด็กออกมาเพื่อเป็นการค้ามนุษย์ ถูกบังคับให้มาขอทานในพื้นที่ชลบุรี หรือในพื้นที่จังหวัดต่างๆ วิธีการตามหาคือการไปดูที่บ้านพักสวัสดิการเด็กในพื้นที่จังหวัดต่างๆ เพราะหากมีการช่วยเหลือเด็กเหล่านี้ เขาจะนำตัวเด็กมาพักที่บ้านพักสวัสดิการ

ในเวลาต่อมา ได้มีเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือเด็กผู้หญิงอายุ 12 ปี เมื่อสอบถามเด็กจึงทราบว่ามีน้องชายวัย 8-9 ปีอีกคนหนึ่งที่ถูกแยกออกไป...

เด็กเล่าให้ฟังว่า เขาและน้องชายถูกครอบครัวขายให้กับนายหน้าคนหนึ่งในราคาคนละ 1 ล้านเรียล (เงินไทย 20,000-30,000 บาท) จากนั้นได้ลักลอบพาเข้ามาในประเทศไทย โดยพาขึ้นรถตู้มาที่ จ.ชลบุรี และนำเด็กมาขอทานตามตลาดนัดต่างๆ เช่น ตลาดไฟล์เบิร์ด ตลาดนัดการเคหะ เทพประสิทธิ์ หน้าวัดชัยมงคล เป็นต้น ซึ่งมีนายหน้า ชาวกัมพูชาที่พามาคือ นายนาง กับ นางเนียง (ผัวเมีย) ซึ่งก็พาวนไปขอตามจุดต่างๆ

ทุกวันเขาจะให้ลูกชาย (นายหน้า) นำเด็กขึ้นจักรยานยนต์ไปส่งตามจุดต่างๆ กระทั่งวันหนึ่ง ระหว่างที่ขอทานกันอยู่ก็มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าช่วยเหลือพี่สาวได้ จากนั้น นายหน้าทั้งคู่ก็พาเด็กหนีไปอีกจุดหนึ่ง ที่ตลาดสตาร์ไนท์ จ.ระยอง แทน เด็กชายอยู่ที่นั่นประมาณ 10 วัน ก็มีเจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยเหลือได้สำเร็จ

ตนเข้าใจว่า ตอนนั้นเจ้าหน้าที่ไม่มีข้อมูลเชื่อมโยงไปถึงขบวนการ พอเราสัมภาษณ์เด็กทั้ง 2 คน จึงพอสรุปได้ว่าพี่สาวถูกพบที่ จ.ชลบุรี ก่อน จากนั้นก็ไปพบน้องชายที่ จ.ระยอง ด้วยเหตุนี้ เราจึงส่งเรื่องดังกล่าวไปที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ​ เพราะเชื่อว่ามีการกระทำเป็นขบวนการพาเด็กไปเร่ขอทานในพื้นที่ ภาคตะวันออก

สภาพน่าเวทนา ร่างกายเล็ก หลังค่อม บางครั้งถูกจับถอดเสื้อผ้าเพื่อเรียกเศษเงินตราจากผู้พบเห็น

หัวหน้าโครงการรณรงค์ยุติธุรกิจเด็กขอทาน มูลนิธิกระจกเงา บอกกับเราอีกว่า เด็กชายและหญิงทั้งสองพี่น้องนั้น มีความพิการทางร่างกายเล็ก และหลังค่อม (คนแคระ) ด้วยเพราะสภาพร่างกายพิการทำให้ได้เงินจากการขอทานค่อนข้างมาก วันละ 800-1,000 บาท พวกแก๊งนี้จึงพาไปตระเวนขอทาน ช่วงตั้งแต่ตี 5 ถึง 6 โมงเช้า บางวันจะเป็นช่วงบ่าย ซึ่งเขาพาไปปล่อยแถวตลาดนัด เช้าเย็นหรือค่ำ เป็นต้น

“ห้องเช่าที่เด็กอาศัยอยู่นั้นค่อนข้างแออัด ภายในห้องยังมีคนอื่นอีก คือ ขอทานพิการคนอื่นๆ อีก 3-4 คน บางคนแขนขาด บางคนขาขาด หากวันไหนได้เงินน้อย ก็จะให้เด็กถอดเสื้อผ้าออก เพื่อให้คนผ่านไปผ่านมาได้เห็นความพิการ ส่วนการลงโทษนั้น เด็กกัมพูชาทั้งสองคนยอมรับว่ามีการโดนตีบ้าง ซึ่งผมตีความว่า การตีอาจจะไม่ใช่การลงโทษ แต่...บางทีด้วยความเป็นเด็กก็อาจจะมีดื้อ งอแง ไม่ยอมไปขอทาน หรือนั่งขอทานแป๊บหนึ่งก็ไม่อยากทำต่อ จึงทำให้ถูกทุบตีบ้าง ซึ่งตรงนี้มาจากปากคำของเด็ก”

...

กลุ่มแก๊งขอทานเหล่านี้เชื่อมโยงกันยาก เนื่องจากเรามีการดำเนินการร่วมกันกับหลายหน่วยงาน เช่น ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม จากการสังเกต เราพบว่า ขอทานเหล่านี้ จะถูกคนนำมาปล่อย เช่นมีอยู่กลุ่มหนึ่ง ที่เป็นคนตาบอดหลายคน มาเดินขอทานในวอล์กกิ้ง สตรีท เราเห็นเขามาปล่อยแล้วมารับพร้อมกัน เราจึงอนุมานได้ว่า นี่คือแก๊งเดียวกัน ส่วนจะมีแก๊งอื่นๆ อีกหรือไม่ เราไม่รู้

สิ่งที่ยากที่สุด คือ การตามจับ เพราะกลุ่มคนเหล่านี้จะแยกกันเดิน ตำรวจจึงต้องแยกกันจับส่งผลให้สาวไม่ถึงตัวนายหน้าที่คอยรับส่ง เมื่อถามว่าพักอยู่ที่ไหน เด็กเหล่านี้ก็ไม่ยอมบอก...

เมื่อจับแยกสอบปากคำ เด็กบอกว่ามีคนมาเก็บเงินจากเขาทุกวัน วันละ 500 บาท เขาไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นใคร เก็บเพื่ออะไร เป็นค่าผ่านทางที่ทำให้เขามาขอทานในวอล์กกิ้ง สตรีท หรือเปล่า ก็ไม่รู้...ถามว่าเรื่องนี้ใครเกี่ยวบ้าง แน่นอนว่าต้องมีเจ้าหน้าที่ภาครัฐแน่ เพราะไม่อย่างนั้นเขาจะเดินทางมาถึงพัทยาได้อย่างไร ส่วนจะเป็นหน่วยงานใดนั้นตนไม่ทราบ

...

ส่วนนางงามจิต กล่าวว่า ส่วนของตนที่ได้ข้อมูลมา พบว่าตามเส้นทางที่มานั้นมีเกี่ยวข้องกับหลายส่วน คือ

1. รถตู้ คิดหัวละ 2,000 บาท เมื่อเราไปถามคนขับรถตู้ เขาก็บอกว่าใครขึ้นรถเขา เขาก็ให้ขึ้น เขาไม่รู้หรอกว่าใครเป็นใครเพราะเขาเป็นรถตู้รับจ้าง

2. นายหน้า (คนดูแล) เขาบอกว่าไม่ขอเอ่ยนาม เรื่องนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ เราเจอแต่นามบัตร ซึ่งนามบัตรที่พบนั้นมีเหมือนกันเกือบทุกคน

ซึ่งข้อมูลที่เรามี เรานำมอบให้กับทาง กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ แล้วก็เจ้าหน้าที่

สุขุมวิททำเลทองขอทาน มากที่สุดที่พบมีเงินเก็บหลักแสน เด็กเขมรติดใจมาหากินเองถึงเมืองกรุง

สอดคล้องกับข้อมูลจาก นางงามจิต ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาขอทาน ที่เปิดเผยว่า กลุ่มขบวนการขอทานต่างด้าว จะใช้เด็กอายุเฉลี่ยตั้งแต่ 1 เดือน ถึงอายุไม่เกิน 5 ปี เนื่องจากต้องการเรียกความสงสาร ส่วนวิธีการก็จะพาวนเวียนเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวเวลากลางคืน

นางงามจิต เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า ทำเลทองที่ขอทานมาขอเงินนั้น ตนเชื่อว่าอยู่ที่ย่านสุขุมวิท แต่กรณีที่พบนั้นจะไม่ใช่การค้ามนุษย์ แต่เขาสมัครใจกันมาทำ เด็กบางคนเริ่มโตหน่อยพ่อแม่ก็ให้ออกมาช่วยหาเงิน มีอยู่เคสหนึ่งที่พบคือ เด็กหญิงกัมพูชา 2 คน อายุ 14 ปี และอายุ 11 ปี มาขอเงินที่ย่านอโศก โดยเราเจอเด็กหญิงอายุ 11 ปีก่อน โดยผู้น้องบอกเราว่า พี่สาวทำงานอยู่ในซอย เขาเองมารอพี่สาว ซึ่งระหว่างรอจึงนั่งขอทานเพื่อฆ่าเวลา ซึ่งกรณีนี้เป็นการชวนกันมาเองจากกัมพูชา!

...

“อดีตพ่อแม่เคยพามาขอทาน ด้วยเหตุนี้จึงติดใจที่ได้เงินง่าย จึงชวนกันมาเอง”

จากประสบการณ์การทำงาน เราพบขอทานต่างด้าวมีเงินมากที่สุดเท่าไร นางงามจิต นิ่งสักครู่ ก่อนตอบตัวเลขที่น่าตกใจว่า “มีเงินเก็บเป็นแสนบาท...” แต่เวลาถูกควบคุมตัว ก็มักอ้างว่า...

“ดูสิเนี่ย..เขาเพิ่งออกมาแป๊บเดียว นี่ยังได้เงินไม่เท่าไร นี่..ยังไม่ถึง 3,500 บาทเลย ขาดทุนแล้ว” เราฟังเราก็งง ว่าเขาขาดทุนยังไง บอกว่านี่ได้เงิน 2 พันกว่าบาทเอง อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนที่ให้เงินในย่านนั้นส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว บางทีฝรั่งเมาๆ เขาหยิบเงินก็ไม่ได้มองก็เป็นแบงก์พันบาท เขานั่งแถวนั้นไม่กี่ชั่วโมงก็กลับบ้านได้แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะเช่าบ้านแถวสำโรง หรือ สมุทรปราการ

“เคยได้ข่าวว่า บางคนมีลูกแล้ว 7-8 คน ลูกคนที่อยู่ในท้องเขาก็พร้อมที่จะขายได้เลย เนื่องจากยังไม่ผูกพันมาก เรียกว่า มีลูกมากๆ เพื่อให้มาขอทานในเมืองไทย ซึ่งตรงนี้เป็นคำบอกเล่าจากกลุ่มของเขา เราเองก็ไม่กล้าฟันธงว่าเรื่องนี้จริง 100% หรือไม่”

ครั้งหนึ่งเราแกล้งส่งคนเข้าไปขอลูกเขา เขาถามกลับมาว่า “เอาจริงหรือเปล่า..จะยกให้จริงๆ นะ” ซึ่งเป็นคำตอบที่น่าเศร้ามาก เราเองก็ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือพูดเล่น

เปิดสถิติขอทาน หลังมีการจัดระเบียบ

น.ส.ยุพเรศ วงศ์บุญมี รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กล่าวว่า การทำงานของกรม คือ เราจัดระเบียบคนเร่ร่อนกับคนขอทานไปพร้อมๆ กัน ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วง เรื่องนี้มาโดยตลอด จึงมอบหมายให้ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร กระทรวงสาธารณสุข รวมถึง NGO คือ มูลนิธิกระจกเงา มูลนิธิอิสรชน

จากการประชุมร่วมกันนั้น เป็นที่มาของการจัดระเบียบตั้งแต่วันที่ 1-31 มี.ค.นี้ โดย นายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ได้สั่งการให้หน่วยงานศูนย์คนไร้ที่พึ่ง จัดระเบียบพร้อมกันทั่วประเทศ ซึ่งผลการดำเนินงานในกรุงเทพมหานคร (วันที่ 1-28 มี.ค.) เราพบขอทาน ซึ่งมีหลักฐานโดยประจักษ์ มีกระป๋อง มีเงิน ทั้งสิ้น 225 ราย ขอทาน 131 ราย โดยขอทานแบ่งเป็นคนไทย 51 ราย ต่างด้าว 80 ราย ซึ่งเราได้เชิญตัวมาที่บ้านมิตรไมตรี ของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ

ส่วนการดำเนินงานทั่วประเทศ (เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 มี.ค.) มีทั้งหมด 367 ราย คนไร้ที่พึ่ง 184 ราย ขอทาน 183 ราย ในจำนวน คนไทย 115 คน ต่างด้าว 68 ราย

ส่วนข้อมูลจากทางกระจกเงานั้น หัวหน้าโครงการรณรงค์ยุติธุรกิจเด็กขอทาน เปิดเผยว่า พ.ศ.2557 มีเด็กขอทานที่พบทั้งสิ้น 404 ราย, พ.ศ.2558 มี 297 ราย และ พ.ศ.2559 มี 294 ราย สำหรับตัวเลขดังกล่าวนั้น เราไม่สามารถแยกได้ว่าเป็นเด็กไทยหรือต่างชาติ แต่..เด็กขอทานในประเทศเราร้อยละ 80-90 นั้นเป็นเด็กกัมพูชาอยู่แล้ว ที่เป็นแบบนี้คิดว่าเพราะกัมพูชามีปัญหาความยากจน อีกทั้งค่าตอบแทนในการทำงานก็มีรายได้ต่ำมาก ทำให้เกิดการอพยพเข้ามาในประเทศไทย บางกลุ่มมีจุดประสงค์เพื่อขอทาน กอปรกับคนไทยมีค่านิยมต่อการให้เงินเด็กขอทาน ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มีรายได้เฉลี่ยค่อนข้างมาก คือ 300-1,000 บาท

กรณีเด็กถูกลักพาตัวนั้น จากข้อมูลเราไม่พบว่าจะเป็นการลักพาตัวเพื่อนำไปขอทาน แต่...จะเป็นกรณีเหมือนกับผลพลอยได้ เมื่อลักพาตัวไปแล้วก็ให้ไปขอทาน แต่เจตนาของคนร้ายในการลักพาตัวนั้น ส่วนใหญ่นำไปเพื่อมีวัตถุประสงค์อื่น เช่น กระทำการละเมิดทางเพศ ฆาตกรรม หรือ เพื่อไปเลี้ยงดู เช่น คนที่ก่อเหตุมีภาวะที่ไม่สามารถมีบุตรได้

การจัดการขอทาน ร่วมมือทุกหน่วยงานแก้ปัญหา ป้องกันการค้ามนุษย์

รองอธิบดี กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กล่าวว่า การจัดการขอทานคนไทยกับคนต่างด้าวนั้นมีความแตกต่างกัน โดยในเบื้องต้น ผู้ที่ขอทาน ถือว่ามีความผิดตามมาตรา 13 โดยมีโทษ ตามมาตรา 19 ตาม พ.ร.บ.ควบคุมการขอทาน คือ จำคุก 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่...เมื่อตำรวจส่งตัวดำเนินคดีแล้ว หากเป็นขอทานไทย เราจะถามว่าเขาจะเข้าสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหรือไม่ ซึ่งเรามีสถานคุ้มครองฯ​ รวม 11 แห่งทั่วประเทศ หากว่าเขาเต็มใจเข้ารับการคุ้มครองเราจะถือว่าเขาไม่เคยกระทำผิด ดังนั้น เขาจะพ้นโทษทันที โดยจะนำเขาเข้ากระบวนการคุ้มครอง บำบัด ฟื้นฟู แต่ก็มีบางส่วนที่เลือกจะไม่เข้ากระบวนการนี้ โดยยอมเปรียบเทียบปรับ

“หากเป็นขอทานต่างด้าว เราจะส่งให้ สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองทันที แต่หากมีเด็กมาด้วย ก็จะมีขั้นตอนพิสูจน์ความสัมพันธ์ ด้วยการตรวจ DNA เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นพ่อแม่ลูกจริงหรือไม่ ซึ่งทางสวัสดิการฯ ​เราได้ทำ MOU กับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ไว้ หากพิสูจน์แล้วว่าเป็นพ่อแม่ลูกจริง ตม. ก็จะดำเนินการส่งกลับประเทศต้นทาง หากไม่ใช่...ก็จะส่งต่อไปเพื่อให้ กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) ดำเนินคดี”

อย่างไรก็ตาม การจัดการกับคนต่างด้าวนั้น นายวิธนะพัฒน์ ได้ตั้งข้อสังเกต อย่างน่าสนใจว่า เราเลือกที่จะส่งเขากลับประเทศต้นทาง ซึ่งเรามีข้อตกลงกันไว้ เมื่อเขากลับไปพร้อมกับเงินจำนวนมาก (เงินที่ขอทานมาได้) เมื่อเพื่อนบ้านเห็น ก็กลายเป็นค่านิยมว่า แม้จะถูกจับแต่ไม่ถูกดำเนินคดี เรียกว่า “ส่งกลับ เงินก็ได้เพราะเขาเก็บไว้ให้อย่างดี” ตนเคยถามเจ้าหน้าที่ทำไมไม่ยึดเงินไว้ เขาตอบว่าไม่รู้จะยึดไว้ในข้อหาอะไร..? ก็แค่มาขอทาน ด้วยเหตุนี้ จึงกลายเป็นขบวนการค้ามนุษย์ มีการฝากลูกหลาน จ่ายเงินเข้ามา ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นเงินที่จ่ายก่อนเข้ามาเยอะมาก เพราะบุคคลที่เข้ามา เข้ามาแบบผิดกฎหมายทั้งหมด

ทางออกควรที่จะเป็น...ผู้ที่คร่ำหวอดจาก มูลนิธิกระจกเงา แนะนำว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐเขาให้ความสำคัญและดำเนินการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2557 ปีนี้นับว่าเข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว เราพบว่าช่วงการจัดระเบียบขอทานที่ขอตามข้างถนนลดลงจริงๆ แต่..การลดแบบนี้ เราเคยวิพากษ์ว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นการลดแบบยั่งยืนหรือไม่ เพราะที่ผ่านมามีขอทานจำนวนมากที่ออกจากข้างถนนแล้วกลับเข้ามาใหม่ การกลับเข้ามาเพราะ...

1. การเข้าออกประเทศไทยทำได้ง่าย
2. การจับกุมหลายครั้งที่ผ่านมาไม่มีการดำเนินคดี
3. ควรจะหาวิธีการป้องกันไม่ให้เขากลับเข้ามาขอทานซ้ำ

3 ข้อนี้ภาครัฐควรจะเข้ามาแก้ไขและดำเนินการ เนื่องจากที่ผ่านมายังไม่มีมาตรการที่เป็นรูปธรรม

ขณะที่ น.ส.ยุพเรศ กล่าวว่า หน้าที่หลักในการแก้ปัญหาเรื่องนี้อยู่ที่ฝ่ายตำรวจ ซึ่งทางตำรวจจะมีการทำประวัติ พิมพ์ลายนิ้วมืออยู่แล้ว และก็ส่งกลับประเทศต้นทาง ส่วนของเราเองมีหน้าที่คุ้มครอง บุคคลที่ตกเป็นเหยื่อ ซึ่งเราได้ทำข้อตกลงกับองค์กร friend international ซึ่งองค์กรนี้เป็นองค์กรเอกชนที่มีการช่วยเหลืออยู่ในกัมพูชา ซึ่งเขาได้ไปดูแลช่วยเหลือที่ต้นทาง รวมถึงการดูแลถึงที่บ้าน ซึ่งตรงนี้เขาเป็นคนช่วยเหลือในส่วนต้นทางให้กับเรา หากเราส่งเขากลับ องค์กร friend ก็จะช่วยเตรียมความพร้อม ช่วยเหลือให้กับคนของเขาด้วยการให้การศึกษา และฝึกทักษะอาชีพให้กับคนกัมพูชาเพื่อไม่ให้กลับมาขอทานซ้ำ

ทั้งหมดนี้คือกรณี "ขอทาน" ที่ถูกเชื่อมโยงกับการ "ค้ามนุษย์" ปัญหาทั้งหมดจะถูกแก้ไขได้เพียงแค่ท่านเก็บเศษเงินไว้ และทำทานด้วยวิธีการที่ถูกที่ควร เพียงเท่านี้ก็นับว่าไม่เป็นการส่งเสริมอาชีพขอทาน ไม่ต่อสายป่านขบวนการค้ามนุษย์ 

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน