รถยนต์กลายเป็นสิ่งสำคัญที่หลายคนขาดไม่ได้ บางครอบครัวมีมากกว่าหนึ่งคันด้วยซ้ำ เมื่อมีคนขับเพิ่มตามจำนวนรถที่เพิ่มขึ้นนี้ อุบัติเหตุบนท้องถนนย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้ทุกวัน เช่น ไปชนเขา หรือเขามาชนเรา ถ้าตกลงกันได้ง่ายๆ ตามเหตุการณ์ว่าใครผิดหรือถูกก็ถือว่าโชคดี แต่ในกรณีชนแล้วหนี หรือชนแล้วเถียงกันคอเป็นเอ็นว่าฉันไม่ผิด คุณนั่นแหละผิด กว่าจะไกล่เกลี่ยกันได้ ก็ต้องใช้เวลานาน ในบางกรณีเถียงกันไปเถียงกันมา อารมณ์ขึ้น นำอาวุธออกมาทำร้ายกัน ทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรมอีก แต่หากคุณมีกล้องติดหน้ารถยนต์ เพียงนำคลิปจากกล้องมาเปิดดู ก็จะช่วยให้ปัญหาทะเลาะเบาะแว้งคลี่คลายเร็ว และยังช่วยคนดี ชี้คนผิดได้ด้วย
นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช อดีตจักษุแพทย์ ในฐานะเลขานุการมูลนิธิเมาไม่ขับ ทำหน้าที่รณรงค์ไม่ให้คนเมาแล้วขับรถมา 20 กว่าปี บอกกับ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ว่าประโยชน์จากกล้องติดรถยนต์ช่วยลดอุบัติเหตุ ช่วยคนดี ชี้คนผิดได้จริงๆ เพราะระยะหลังพบว่าจำนวนคนตายจากอุบัติเหตุมีมากขึ้น สาเหตุไม่ได้มาจากการเมาแล้วขับอย่างเดียว แต่มาจากคนไทยทำผิดกฎจราจร เป็นบ่อเกิดความสูญเสียทางทรัพย์สินและชีวิต เพื่อลดอุบัติเหตุบนถนน คุณหมอจึงรณรงค์ให้คนติดกล้องในรถยนต์มา 2 ปีแล้ว
“เมื่อก่อนเราคิดอยู่อย่างเดียวว่าหากมีอุบัติเหตุบนถนน มันเป็นหน้าที่ของตำรวจ แต่เดี๋ยวนี้มันมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เราปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคปัจจุบันโซเชียลมีเดียกำลังมีบทบาทสำคัญต่อคนมาก เดี๋ยวนี้เวลาคนทำผิด เช่น ปล้น จี้ ฆ่า เมื่อโดนถ่ายคลิปแล้วอัพโหลดขึ้นในโลกโซเชียล ส่วนใหญ่ก็ไม่รอด ท้ายที่สุดถูกจับ ผมเลยได้แนวคิดนี้นำมาประยุกต์กับเรื่องของอุบัติเหตุทางถนน ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์รถชนกัน หรือคนทำผิดกฎจราจร แล้วถูกเอาคลิปจากกล้องติดรถยนต์ไปลงในโลกโซเชียลก็คงช่วยให้จับคนผิด ช่วยคนดีได้เช่นกัน บางเหตุการณ์ที่เป็นอุบัติเหตุ ถ้าไม่มีกล้องบันทึกภาพไว้นะ ซวยเลย เช่น บางคนถอยไปชนคนอื่นแล้วอ้างว่าเขาถอยมาชน ถ้าไม่มีกล้องบันทึกภาพไว้ อีกฝ่ายโดนละ หรืออยู่ดีๆ คนวิ่งเข้ามาให้รถชน ถ้าไม่มีกล้อง รถคันนี้ยังไงก็ถือว่าผิด แต่พอมีคลิปจากกล้อง เหตุการณ์ก็กลับตาลปัตร ความจริงก็เปิดเผย เมื่อก่อนไม่มีคลิปจากกล้อง คนขับก็คิดว่าก็ทำยังไงก็ได้แล้วค่อยไปแก้ตัวเอา หรือเถียงกันไปเถียงกันมา ทำร้ายร่างกายกันก็มี ตำรวจก็ไม่รู้จะเชื่อใคร เพราะไม่มีหลักฐาน แต่ถ้าเอาคลิปเหตุการณ์จากกล้องมายืนยัน ก็จะช่วยให้การไกล่เกลี่ยไวขึ้น”
...
การรณรงค์ให้ประชาชนติดกล้องในรถยนต์ยังไม่ได้ผลตามที่คุณหมอตั้งเป้าหมายไว้ แต่นับว่าเป็นโอกาสดีที่รัฐบาลได้รับรู้
“ผลจากการรณรงค์ให้ติดกล้องในรถยนต์ ตอนนี้ยังไม่ค่อยเห็นผลเท่าไร ยังไม่ได้รับความร่วมมือจากสังคมนัก เพราะหนึ่ง คนยังคิดว่ามันจะได้ผลจริงหรือเปล่า สอง กล้องราคาแพงเกือบพันบาท อีกอย่างคนไทยเปลี่ยนพฤติกรรมค่อนข้างยาก แต่ก็มีหลายองค์กรเริ่มเห็นความสำคัญแล้ว แต่ภาครัฐอื่นๆ ยังไม่ค่อยเคลื่อนไหวเท่าไร เพราะส่วนใหญ่ยังมุ่งเน้นไปที่การบังคับใช้กฎหมาย ผมได้ทำหนังสือถึงรัฐบาลว่ากล้องติดรถยนต์จะเป็นทางออกในการรณรงค์ลดอุบัติเหตุ ขอให้รัฐบาลช่วย คือ หนึ่ง ลดภาษีกล้องได้ไหม โดยให้ถือว่าเป็นอุปกรณ์ความปลอดภัย เพราะภาษีจะต่ำมาก บางทีไม่คิดเลย, ติดกล้องแล้วเอาใบเสร็จไปลดหย่อนภาษีเหมือนตอนปีใหม่ที่มีนโยบายช็อปปิ้งแล้วเอาไปลดหย่อนภาษี, รถใหม่ที่ออกมาให้ติดกล้องมาเลยได้ไหม หรือมีการแจกคูปองแบบดิจิตอลทีวี และขอให้รัฐสนับสนุนว่าถ้าคลิปไหนจากกล้อง สามารถเอาไปดำเนินคดีได้ รัฐน่าจะมีรางวัลให้กับคนส่งคลิป ตอนนี้รัฐเริ่มออกมาพูดบ้างแล้วว่าเทคโนโลยีเรื่องกล้องติดรถยนต์น่าจะช่วยได้ แต่อย่างว่าในความเป็นรัฐก็ขอไปศึกษาดูก่อน ผ่านไปจะเป็นปีแล้วก็ยังไม่ได้รับการสนับสนุน ผมไม่รอละ ในเมื่อมันมีประโยชน์ ผมก็เริ่มรณรงค์มาเรื่อยๆ ได้ 2 ปีแล้ว เราไม่มีอำนาจ แต่เรารณรงค์ได้ ใครที่ติดกล้องในรถก็ได้ประโยชน์กับตัวเอง และช่วยสังคมได้ด้วย
ตอนนี้รถยนต์ที่ติดกล้องมี 15 เปอร์เซ็นต์ ผมตั้งใจจะรณรงค์อย่างต่ำๆ สัก 50 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนรถทั้งหมด หรือ 100 เปอร์เซ็นต์ ผมก็ยิ่งพอใจ และผมก็จะพูดเรื่องเมาไม่ขับน้อยลง เพราะคลิปจากกล้องนำมาเป็นหลักฐานได้ เมื่อกล้องในรถเยอะขึ้น คลิปเยอะขึ้น พฤติกรรมการขับรถที่ไม่ดีทั้งหลายที่ถูกเผยแพร่ทางโลกโซเชียล สังคมก็รับรู้มากขึ้น กลัวมากขึ้น ส่งผลให้คนขับรถดีมากขึ้น จำนวนคนตายจากอุบัติเหตุบนท้องถนนก็จะค่อยๆ ลดลง คลิปจากกล้องช่วยให้มีหลักฐาน และคลิปจากกล้องยังเป็นอุทาหรณ์ให้คนอื่นว่าอย่าทำผิดกฎจราจร เพราะถึงแม้บางเหตุการณ์กฎหมายบ้านเมืองเอาโทษไม่ได้ แต่ในโลกโซเชียล สังคมรุมประณามแบบขุดรากถอนโคนเลยนะ เป็นลูกเต้าเหล่าใคร พ่อแม่เคยไปทำผิดที่ไหนอะไรไว้บ้าง หลายคนโดนออกจากงานก็มี”
...
แม้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล แต่จากความมุ่งมั่นรณรงค์ให้คนติดกล้องหน้ารถยนต์ ก็ได้รับการยอมรับจนหน่วยงานหนึ่งออกระเบียบให้ลดเบี้ยประกันภัยกับรถที่ติดกล้อง
“ตอนนี้มีหน่วยงานรัฐที่เห็นประโยชน์จากการรณรงค์ติดกล้องในรถยนต์และนำไปปฏิบัติ คือ คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ออกเป็นระเบียบบังคับว่าถ้ารถที่ติดกล้อง บริษัทประกันภัยต้องลดเบี้ยประกันภัย 5 – 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ต้องมีหลักฐานว่าติดตรงไหน บางบริษัทประกันภัยมีซื้อประกันแถมกล้องติดรถก็มี บางคนทักผมว่ามารณรงค์ให้คนติดกล้องในรถได้เปอร์เซ็นต์มาหรือเปล่า ได้ยินแล้วผมรู้สึกเฉยๆ เพราะผมรู้ว่าเราบริสุทธิ์ใจ อย่างงานมหกรรมกล้องหน้ารถวันที่ 1 และ 2 เม.ย. นี้ที่หอศิลป์ ผมไปติดต่อขอใช้สถานที่ฟรี พอไม่เก็บค่าที่ก็ไปขอร้องบริษัทต่างๆ ที่ขายกล้อง ซึ่งมีติดมา 6-7 บริษัท ให้ขายในราคาต้นทุน เพราะรถในประเทศไทยมี 10 กว่าล้านคัน ขณะนี้ติดกล้องประมาณแสนกว่าคัน มีรถที่จะติดกล้องอีกเป็นล้าน อันนี้ก็เป็นกิจกรรมหนึ่งอย่าง ที่อาจช่วยให้คนสนใจหันมาติดกล้องกันมากขึ้น
ผมเชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำอยู่ แม้ใครจะทักท้วง ผมก็ยังคงจะรณรงค์ต่อไป เพราะถ้าถามว่าการที่ผมมารณรงค์ให้คนติดกล้อง มันดีไหม มันทำให้ใครเดือดร้อนไหม มันมีประโยชน์ไหม คำตอบมันดีทุกข้อ ก็ทำต่อไปสิ ทำแล้วได้ประโยชน์กับตนเอง และสังคมก็โอเคแล้ว รถผมติดกล้องทุกคัน ติดแล้วรู้สึกมีความมั่นใจขึ้น ขับกลางคืนก็รู้สึกว่ามีเพื่อน ผมเชื่อว่ามาถึงวันนี้ ไม่มีอาวุธอะไรที่จะต่อสู้กับความตายบนท้องถนนได้เป็นรูปธรรมได้เท่ากับกล้องติดรถนี้แล้วครับ”
...
เทศกาลสงกรานต์นี้ นอกจากรณรงค์เรื่องเมาไม่ขับแล้ว ยังเป็นปีแรกที่รณรงค์ให้ร่วมติดกล้อง เพื่อช่วยคนดี ชี้คนผิด และลดจำนวนคนตายจากอุบัติเหตุ
“เมื่อก่อนในแต่ละเทศกาล ไม่ว่าจะปีใหม่หรือสงกรานต์ มีคนตายประมาณ 700 คน เฉลี่ยวันละ 100 คน เรารณรงค์เป็นประจำจนจำนวนคนตายลดลงเรื่อยๆ ปีละ 100 คน จำนวนคนตายมันนิ่งอยู่ที่ประมาณ 300 กว่าคน เมื่อสัก 3 ปีที่ผ่านมา มันแสดงสัญญาณให้เห็นแล้วว่าขณะนี้คนตายจากอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่สงกรานต์ปีที่แล้ว อย่างปีใหม่ที่ผ่านมา ยอดคนเสียชีวิตขึ้นมาเป็น 400 กว่า ถ้ายังไม่รณรงค์กันต่อไป ตัวเลขยอดคนเสียชีวิตต้องเพิ่มขึ้นแน่ เพราะฉะนั้นต้องมีอาวุธใหม่ที่จะมาต่อสู้กับการผิดกฎจราจรของคน ให้คนไม่ทำผิดกฎ คือ กล้องติดรถยนต์ การรณรงค์ร่วมกันติดกล้องสงกรานต์นี้ ช่วยคนดี ชี้คนผิด ปีนี้รณรงค์เป็นปีแรก เพราะเมื่อก่อนคนดี ไม่รอด กลายเป็นผู้ร้าย คนพูดเก่ง มีชื่อเสียงก็ชนะ ทั้งๆ ที่ตัวเองผิด แต่ถ้ามีกล้อง คุณจะเถียงเก่ง คุณจะเป็นคนดัง คุณจะมีผู้หนุนหลังดียังไง ถ้าดูคลิปจากกล้องก็จบ กล้องจะช่วยคนดี ชี้คนผิด แล้วมันก็จะช่วยเรื่องรถติดด้วย บางคนงงว่าจะช่วยเรื่องรถติดยังไง รถชนกันต้องรอประกัน ตอนรอก็ไม่เคลื่อนย้ายรถ กว่าประกันกับตำรวจจะมา รถก็ติดกันยาวเหยียด สมมติมีกล้อง ชนกันตูม ต่างคนต่างย้ายรถ เอาเมมโมรี่จากกล้องไปเปิดดูที่โรงพัก ปัญหารถติดก็จะไม่เกิด”
...
กรมการขนส่งเผยสอบใบขับขี่ใหม่ ต้องไปอบรมและสอบกับโรงเรียนสอนขับรถเอกชนได้ จะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้หรือไม่ คุณหมอให้ความเห็นว่า
“เมื่อคนขับรถไม่ทำตามกฎก็เกิดอุบัติเหตุ แต่โดยมากจะโทษดวง ความซวย โชคชะตา เวรกรรม ไม่ได้โทษตัวเองว่าห่วย แต่โทษตัวเองว่าซวย สำหรับเรื่องการสอบใบขับขี่ผ่านบริษัทสอนขับรถ ผมมองว่าการไปเรียนกับโรงเรียนสอนขับรถ เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องควรทำ และจริงๆ น่าจะทำเป็นสิบๆ ปีแล้ว จำเป็นมากที่คุณต้องไปเรียนก่อนขับรถ เพราะจะได้รู้ว่าการขับรถที่ถูกต้องเป็นยังไง สัญลักษณ์แต่ละอันหมายความว่าอย่างไร แต่คิดว่าไม่ช่วยลดอุบัติเหตุ เพราะพอได้ใบขับขี่มาแล้ว คนก็จะไม่เกรงกลัว และไม่ค่อยเคร่งครัดทำตามกฎ มักจะคิดว่าไม่เป็นไรหรอกน่า อุบัติเหตุจะไม่เกิดถ้าเราไม่ประมาทครับ”
หากยังไม่เห็นข้อเสียของกล้องติดรถยนต์ ก็ไม่ควรรอช้า รีบซื้อหามาติดกันเถอะ เพื่อความปลอดภัยของตัวเราและผู้ร่วมใช้ถนน และถ้ามีคลิปที่เห็นพฤติกรรมไม่ดีของคนขับรถ สามารถโพสต์ได้ในเฟซบุ๊ก “ชมรมกล้องหน้ารถ” ที่คุณหมอแท้จริงและพรรคพวกสร้างขึ้นมาเพื่อกล้องติดรถยนต์จะได้ช่วยคนดี ชี้คนผิดให้กับสังคมไทย