"ปลอม!!" ... ข้อความเด่นสะดุดตาโชว์หราอยู่หน้าเพจเฟซบุ๊ก "กรมทรัพย์สินทางปัญญา" ที่มีคนแชร์มากถึง 4.4 พัน กดไลค์อีก 1.7 หมื่น และเข้ามาคอมเมนต์อีกหลายพัน ... มันเกิดอะไรกันขึ้นทำไมแค่คำคำ เดียวถึงได้รับความสนใจขนาดนี้?

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คงไม่มีกระแสไหนจะฮอตฮิตติดเทรนด์ทวิตเตอร์ได้เท่ากับแฮชแท็ก #แก้วชอบของแบรนด์เนมค่ะ อีกแล้ว มันเริ่มมาจากจุดไหน? ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์จะอธิบายคร่าวๆ ให้อ่านกัน

เรื่องมันมีอยู่ว่า ... เพจเฟซบุ๊กชื่อดังแห่งหนึ่งออกมาเปิดเผยพฤติกรรมการใช้สินค้าแบรนด์เนมของ "แก้ว BNK48" ไอดอลขวัญใจระดับชาติ ซึ่งพฤติกรรมที่ว่านั้นก็เกี่ยวโยงกับคำสั้นๆ ที่เพจเฟซบุ๊กกรมทรัพย์สินทางปัญญาโพสต์นั่นเอง คือ การใช้ "แบรนด์เนมปลอม!!"

จนกลายเป็นเรื่องร้อนทั่วโลกโซเชียล เหล่าชาวเน็ตออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันรัวๆ มีทั้งฝั่งที่บอกว่า "เขาจะใช้อะไรก็เรื่องของเขา เงินก็เงินเขา" ส่วนอีกฝั่งก็ว่า "ใช้ของปลอมมันเป็นการสนับสนุนสินค้าที่ผิดกฎหมายนะ"

...

สุดท้ายเรื่องร้อนบนโซเชียลก็ไปตกอยู่ในมือของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ต้องออกมาตอบข้อสงสัยกันจ้าละหวั่น!! อย่างเพจเฟซบุ๊กกรมทรัพย์สินทางปัญญาหลังโพสต์ข้อความว่า "ปลอม" ในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอเจาะแล้ว ยังออกมาตอบคอมเมนต์ให้เหล่าลูกเพจเข้าใจเพิ่มเติมว่า

"การละเมิดลิขสิทธิ์กับละเมิดเครื่องหมายการค้านั้น "การละเมิดลิขสิทธิ์" เจ้าของหรือตัวแทนต้องเป็นผู้ดำเนินการ ส่วน "การละเมิดเครื่องหมายการค้า" เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดำเนินการจับกุมได้ แต่ส่วนใหญ่จะประสานกับเจ้าของหรือตัวแทนในการออกจับ ส่วนการให้ดำเนินการปิดเว็บไซต์ ปิดเพจเฟซบุ๊ก กรมทรัพย์สินทางปัญญาไม่สามารถดำเนินการได้ แต่มีการประสานกับทางกระทรวงดีอีและ ปอท."

มาถึงตรงนี้ หลายคนคงเกิดความสงสัยกันว่า "คนที่ซื้อหรือใช้แบรนด์เนมปลอมผิดกฎหมายหรือไม่?"

ซึ่งคำตอบก็คือ

ในปัจจุบัน "ผู้ซื้อ" หรือ "ผู้ใช้" สินค้าแบรนด์เนมปลอม "ไม่มีความผิด" แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องซื้อและใช้ในประเทศเท่านั้น หากวันหนึ่งวันใดเกิดคึกกดสั่งช็อปปิ้งออนไลน์หรือหิ้วแบรนด์เนมปลอมเข้ามาในประเทศหรือส่งออกไปให้ใครนอกประเทศละก็ มีความผิดแน่นอน!!

เพราะ "สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์" หรือ "สินค้าปลอมแปลงหรือเลียนแบบเครื่องหมายการค้า" ถือเป็น "ของต้องห้าม" ที่มีกฎหมายกำหนดห้ามนำเข้าหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรโดยเด็ดขาด (บางกรณีห้ามการส่งผ่านด้วย) ฉะนั้น จึงมีความผิดต้องรับโทษตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและเป็นความผิดตามมาตรา 244 และมาตรา 246 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560

  • มาตรา 244 : ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลอาจสั่งริบของนั้นได้ ไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่
  • มาตรา 246 : ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคา ซึ่งรวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับ

...

ทีนี้มาถึงในส่วนของ "ผู้ขาย" สินค้าแบรนด์เนมปลอม มีความผิดตามมาตรา 70 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และมาตรา 108, 109, 109/1, 110 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงมาตรา 272, 273, 274, 275 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

  • มาตรา 70 : ต้องระวางโทษตั้งแต่ 10,000-100,000 บาท หากกระทำเพื่อการค้า ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน - 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000-400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • มาตรา 108 : ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี หรือปรับไม่เกิน 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • มาตรา 109 : ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • มาตรา 109/1 : ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี หรือปรับไม่เกิน 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • มาตรา 110 : นำเข้ามาในประเทศ เพื่อจำหน่าย เสนอจำหน่าย หรือมีไว้เพื่อจำหน่าย ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ ("ปลอม" ผิดตามมาตรา 108 หรือ "เลียน" ผิดตามมาตรา 109)
  • มาตรา 272 : ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (เป็นความผิดอันยอมความได้)
  • มาตรา 273 : ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • มาตรา 274 : ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • มาตรา 275 : นำเข้ามาในประเทศ เพื่อจำหน่าย หรือเสนอจำหน่าย ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ ("ใช้" ผิดตามมาตรา 272(1), "ปลอม" ผิดตามมาตรา 273 หรือ "เลียน" ผิดตามมาตรา 274)

...

เห็นโทษเยอะๆ แบบนี้ แต่รู้ไหมว่า ในแต่ละปีงบประมาณ กรมศุลกากรมีการจับกุมสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาได้มากถึงปีละ 1 ล้านชิ้น รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท โดยปีงบประมาณ 2560 (ต.ค. 59 - ก.พ. 60) แบรนด์ Adidas เป็นสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่ถูกจับกุมมากที่สุด จำนวน 17,482 ชิ้น มูลค่ารวม 2.6 ล้านบาท รองลงมา คือ Playboy จำนวน 4,854 ชิ้น รวมมูลค่า 2.4 ล้านบาท ส่วนประเภทสินค้าที่ถูกละเมิดทรัพย์สินทางปัญญามากที่สุด คือ รองเท้า จำนวน 16,089 คู่ รวมมูลค่ากว่า 6 ล้านบาท รองลงมา คือ เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย จำนวน 82,444 ชิ้น รวมมูลค่า 5.9 ล้านบาท

...

จากดราม่าไอดอลใช้สินค้าแบรนด์เนมปลอมพอจะเห็นได้ว่า สังคมไทยทุกวันนี้นิยมใช้สินค้าแบรนด์เนม ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยทำงาน แต่ด้วยราคาที่แพงสูงลิ่วหลักหมื่นถึงหลักแสน ทำให้หลายคนมองหาตัวเลือกด้วยการใช้ของ "ก๊อบเกรด A" เพื่อให้กลมกลืนไปกับสังคมรอบข้าง

จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ คือ พฤติกรรม "โรคติดหรู" หรือ "เสพติดวัตถุนิยม" หรือไม่?

นพ.อภิชาติ จริยาวิลาศ จิตแพทย์และโฆษกกรมสุขภาพจิต ไขข้อข้องใจให้กับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ฟังว่า การซื้อสินค้าแบรนด์เนมหรือการเสพติดวัตถุนิยมนี้ "ไม่ใช่สิ่งที่ผิด" มันเป็นเรื่องของความชอบส่วนบุคคล ความชอบของแบรนด์เนมหรือของที่มีราคาแพงก็มาจากหลายสาเหตุ ทั้งการติดตามสื่อโทรทัศน์ สื่อสังคมออนไลน์ แอพพลิเคชันโซเชียลมีเดียต่างๆ หรืออาจจะเป็นกลุ่มดาราศิลปิน ผู้มีอิทธิพลบนสื่อโซเชียล บางคนอาจจะเลือกซื้อสินค้าแบรนด์เนมเพราะว่าเป็นของคุณภาพดี และในบางคนที่อาจจะไม่ชอบถึงขนาดที่จะซื้อ แต่ที่จำเป็นต้องซื้อเพราะกลัวว่าจะตกกระแสหรือกลัวว่าไม่เป็นที่ยอมรับของผู้อื่น ทำให้เกิดความไม่สบายใจ ไม่มั่นใจในตัวเอง อันนี้เราอาจจะต้องคอยเตือนตัวเองหรือคอยถามตัวเองว่ามันดีหรือไม่ โดยเฉพาะถ้าเกิดต้องเป็นหนี้เป็นสินหรือว่าจะต้องใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสมในการหาเงินเพื่อซื้อสินค้า การซื้อของมาใช้เกินตัว พอเกินตัวก็จะมีปัญหาการเงินฝืดเคือง เป็นหนี้บัตรเครดิต อาจจะเกิดปัญหาความเครียดและเกิดความซึมเศร้าตามมาได้

อยากจะแนะนำว่า ถ้าเป็นเด็กและเยาวชนก็อยากจะให้พ่อแม่บอกเขาเลยว่า จริงๆ คุณค่าของคนเราไม่ได้เกิดจากการที่เราใช้ของราคาแพง แต่เกิดจากความมั่นใจและการที่เราเป็นคนดีเป็นคนมีความสามารถ อันนี้ต่างหากคือสิ่งที่น่าภูมิใจ

"การซื้อของอะไรก็ตามอยากให้รณรงค์การใช้ของที่ถูกลิขสิทธิ์ เพราะว่าการใช้ของที่ละเมิดลิขสิทธิ์เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย คนที่ผลิตสินค้าออกมาเขาก็จะมีต้นทุนทางความคิด และการละเมิดลิขสิทธิ์เป็นการทำให้การพัฒนาสินค้าหรือการพัฒนาสิ่งต่างๆ ช้าลง และมันก็จะไม่ถูกทั้งเรื่องของกฎหมายแล้วก็เรื่องของความเหมาะสม" นพ.อภิชาติ ทิ้งท้าย.

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

ข้อมูลจาก กรมทรัพย์สินทางปัญญา, กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ, กรมศุลกากร