ใกล้จะได้เห็นหน้าค่าตารัฐบาลใหม่กันแล้ว หลังจากรอมานานกว่า 3 เดือน ... วันนี้ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ได้รับ "5 โจทย์การบ้านเศรษฐกิจที่ต้องเร่งแก้ไข" จากนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ มาส่งต่อแม่ทัพเศรษฐกิจแห่ง ครม.ใหม่ ที่ต้องลุยแก้ เพื่อฝ่าด่านหินครึ่งปีหลัง
"การบ้านเศรษฐกิจ" โจทย์เดิม โจทย์หิน
รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทย ณ ขณะนี้ ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงขาลง อันเป็นผลมาจากสงครามการค้า ซึ่งแม้ว่า จีนกับสหรัฐฯ จะมีการหันหน้าคุยกัน แต่ก็ยังไม่มีความแน่นอน ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจไทยเองในช่วง 5 เดือนแรกปี 2561 ก็ลดลงเหลือ 2.8% จากปีที่แล้วที่อยู่ที่ 4.1%
ฉะนั้น โจทย์การบ้านเศรษฐกิจข้อแรกรัฐบาลใหม่ คือ ต้องรีบสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ กระตุ้นอย่างมีดุลยภาพ มีการเบิกจ่ายงบประมาณฯ ราว 6.6 แสนล้านบาท ซึ่งต้องเจรจานำเข้าสภาฯ อีกรอบ ตั้งงบฯ ใหม่ในการเบิกจ่ายเพื่อกระตุ้นการลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ตอนนี้ล่าช้าไปมาก จริงๆ แล้วต้องมีการดำเนินการในช่วงเดือนตุลาคม 2562 โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2562 จะขยายตัวเพียง 3.4-3.3% ขณะที่ปีที่แล้วอยู่ที่ 4.1% (ล่าสุด ธนาคารโลกปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2562 เหลือขยายตัว 3.5%)
...
สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2562 มีวงเงินรวม 3 ล้านล้านบาท ซึ่ง ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2562 มีการใช้จ่ายแล้ว 1.8 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น ด้านเศรษฐกิจ 3.8 แสนล้านบาท การบริหารทั่วไปของรัฐ 3.4 แสนล้านบาท และการศึกษา 3.2 แสนล้านบาท ฯลฯ
ทั้งนี้ จากโผคาดการณ์ ครม.ล่าสุด แม่ทัพคุมเศรษฐกิจยังคงเป็น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ คนเดิม พ่วงมาด้วย นายอุตตม สาวนายน (พลังประชารัฐ) ที่คาดว่าจะเป็นว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จากเดิมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยก่อนเข้าสู่วงการการเมือง นายอุตตมเป็นผู้บริหารสถาบันการเงินเอกชน และเข้าสู่วงการการเมืองกับการเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
โจทย์การบ้านเศรษฐกิจข้อที่สอง : เศรษฐกิจภูมิภาค
รศ.ดร.สมชาย กล่าวว่า ไทยกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน สมัยพิเศษ ในวันที่ 22 มิถุนายนนี้ เพื่อหารือประเด็นความตกลงหุ้นส่วนกลางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ อาร์เซ็ป (RCEP) ที่มีทั้งหมด 16 ประเทศ และกำลังจะกลายเป็นเขตการค้าเสรี เท่ากับว่า ประเทศไทยจะมีคู่แข่งเป็นประชากรรวมล้านล้านคน ดังนั้น ไทยต้องมีการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง
"เวียดนามเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวมาก อัตราการเติบโตเฉลี่ย 6.8% ขณะที่ ไทยเฉลี่ยแค่ 3.8% เวียดนามมากกว่าไทยเป็นเท่าตัว"
ในส่วนสถานการณ์การส่งออกนั้น รศ.ดร.สมชาย กล่าวว่า ช่วงครึ่งแรกปี 2562 การส่งออกของประเทศไทยติดลบ ต้องมีการกระตุ้นโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี (EEC) นำเอาสาธารณูปโภคพื้นฐานเป็นตัวดึง เข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทย ช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2562 นั้น มีมูลค่า 3.2 ล้านล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2561 ร้อยละ 2.31 โดยขาดดุลการค้ารวม 2.5 หมื่นล้านบาท เปลี่ยนจากช่วงเดียวกันของปี 2561 ที่เกินดุลการค้ามูลค่า 3.6 หมื่นล้านบาท ด้านความคืบหน้าอีอีซี มียอดขอประกอบการกิจการใหม่และขยายกิจการโรงงาน ช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2562 จำนวน 251 โรงงาน คิดเป็นเงินลงทุนราว 7.3 หมื่นล้านบาท
...
จากการคาดการณ์ ครม.ใหม่ คนที่จะเข้ามาเป็นหนึ่งในทีมแม่ทัพสมคิดแก้โจทย์การบ้านเศรษฐกิจในข้อนี้ คือ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ (ประชาธิปัตย์) ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปี 2535, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2537, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปี 2551 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปี 2553
โจทย์การบ้านเศรษฐกิจข้อที่สาม : หนี้ครัวเรือน
รศ.ดร.สมชาย ย้ำกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ว่า โจทย์การบ้านเศรษฐกิจข้อที่สามเป็นปัญหาสำคัญและเรื้อรังมานาน นั่นคือ หนี้สินครัวเรือนสูง ประมาณการสัดส่วนต่อจีดีพี (GDP) อยู่ที่ 76% รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาต้องทำให้การขยายตัวเข้มแข็งขึ้น ดูโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดช่องว่าง โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานราก แก้ความยากจน ยกระดับสินค้าการเกษตร รัฐบาลใหม่ต้องหารายได้ให้พวกเขา ลดต้นทุน ลดหนี้ให้ได้
...
ทั้งนี้ จากรายงานภาวะสังคมไทยของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า ไตรมาส 1/2562 หนี้สินครัวเรือนยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยยอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ 10.1 สูงสุดในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2557 เป็นต้นมา ซึ่งมีผลกระทบต่อความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยและความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน
เมื่อเทียบกับต่างประเทศ พบว่า ไทยมีสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP อยู่อันดับ 10 จาก 89 ประเทศทั่วโลก และอยู่ในอันดับ 3 จาก 29 ประเทศในเอเชีย
ในโจทย์ข้อสามนี้ จากคาดการณ์ ครม.ใหม่ ที่จะเข้ามาช่วยแม่ทัพเศรษฐกิจแก้ นอกจากนายจุรินทร์แล้ว ยังมี นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน (ประชาธิปัตย์) ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ปี 2553
สำหรับโควตากระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทางพรรคประชาธิปัตย์หมายมั่นปั้นมือจะเข้ามาแก้ไขปัญหาระบบเศรษฐกิจฐานรากเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียน โดยมุ่งนโยบายด้านเศรษฐกิจปากท้องของเกษตรกรและรากหญ้า
...
โจทย์การบ้านเศรษฐกิจข้อที่สี่ : การท่องเที่ยว
รศ.ดร.สมชาย กล่าวว่า การขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวยังไม่ค่อยแข็งแรงเท่าใดนัก ปกตินักท่องเที่ยวจีนจะมีสัดส่วนประมาณ 1/4 แต่ตอนนี้กลับชะลอตัวลง เป็นผลมาจากเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวช้าและสงครามการค้า ซึ่งรัฐบาลใหม่จะต้องมีการกระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
หลังอุบัติเหตุเรือล่มที่ จ.ภูเก็ต สังเกตได้ว่า นักท่องเที่ยวจีนชะลอตัวต่อเนื่องมาจนถึงครึ่งปีแรกของปี 2562 (ณ สิ้นปี 2561 จำนวนนักท่องเที่ยวจีนอยู่ที่ 10.5 ล้านคน) ซึ่งจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวส่งผลให้ค่าใช้จ่ายนักท่องเที่ยวต่อคนมีการปรับลดลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน รวมทั้งจำนวนวันพักของนักท่องเที่ยวยุโรปก็สั้นลง โดยมีการประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ปี 2562 ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 40.4 ล้านคน ขณะที่ เป้ารายได้รวมการท่องเที่ยวปี 2562 อยู่ที่ 3.38 ล้านล้านบาท จากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 3.4 ล้านล้านบาท สืบเนื่องจากสงครามการค้าและบาทแข็ง
ในส่วนของโจทย์ข้อที่สี่นี้ หนึ่งในทีมแม่ทัพเศรษฐกิจที่ต้องเข้ามาดูแลและแก้ไข หากตามคาดการณ์โผ ครม.ล่าสุด แล้ว ก็จะเป็น นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ (ภูมิใจไทย) ว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเจ้าของอาณาจักรปั๊มน้ำมันรายใหญ่และธุรกิจการขนส่งทางเรือรายใหญ่ของภาคใต้
โจทย์การบ้านเศรษฐกิจข้อที่ห้า : เทคโนโลยี พัฒนาคน
มาถึงข้อสุดท้าย รศ.ดร.สมชาย กล่าวว่า โจทย์ข้อห้านี้เป็นอีกหนึ่งข้อที่สำคัญ ในตอนนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 การเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งเอไอ (AI) บล็อกเชน (Blockchain) ฯลฯ เทคโนโลยีเหล่านี้มีโอกาสทำให้คนตกงาน รัฐบาลใหม่ต้องมีการส่งเสริมและพัฒนาคนมาสู่เทคโนโลยี และต้องพัฒนาเทคโนโลยีให้ทำได้เอง ไม่งั้นก็ต้องนำเข้ามา
"อนาคตเวียดนามดีมาก การศึกษาเขาดีมาก มีการย้ายฐานการผลิตไปลงที่นั่นเยอะ"
เวียดนาม คือ คู่แข่งสำคัญ ... รศ.ดร.สมชาย ย้ำอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวเพิ่มเติมว่า เวียดนามเหมือนกับจีน ที่แต่ก่อนไม่ได้เติบโตขนาดนี้ ปัจจุบัน สามารถก้าวมาเป็นอันดับ 2 แข่งกับสหรัฐฯ ได้ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เวียดนามได้เปรียบ คือ มีคุณภาพคนที่ดีมาก มีความขยัน อดทน ฉลาด ทั้งการคำนวณ วิทยาศาสตร์ และการจับประเด็น และอีกประเทศที่จะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในอนาคต คือ กัมพูชา และฟิลิปปินส์
"เราต้องปรับคุณภาพคน มีการปรับให้เท่าทันเทคโนโลยี ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดในเรื่องนี้ คือ สิงคโปร์ ที่มีคนแค่ 5 ล้านคน"
ในส่วนของทีมเศรษฐกิจที่ต้องฝากความหวัง หากเป็นตามคาดการณ์โผ ครม. ก็จะเป็น นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ (พลังประชารัฐ) ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เคยดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองและปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก่อนเข้าสู่วงการการเมืองเคยรับราชการเป็นเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการลงทุน (BOI) อีกหนึ่งคนที่จะเข้ามาร่วมแก้ไขโจทย์ข้อห้า คาดว่าเป็น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า (พลังประชารัฐ) ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ก่อนเข้าสู่วงการการเมืองเคยทำธุรกิจรักษาความปลอดภัยและอื่นๆ อีกหลายบริษัท ที่โดดเด่นคงหนีไม่พ้นการเป็นหุ้นส่วนตัวแทนจำหน่ายล็อตเตอรี่รายใหญ่ และเข้าสู่วงการการเมืองครั้งแรกในนามพรรคไทยรักไทย ก่อนจะย้ายมาร่วมงานกับพลังประชารัฐ
ขณะที่ ในส่วนของโจทย์ข้อห้าในแง่อุตสาหกรรม จากโผ ครม. คาดว่าเป็น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ (พลังประชารัฐ) ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งนี่ไม่ใช่การนั่งเก้าอี้นี้ครั้งแรก เขาเคยผ่านการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมมาแล้วในสมัยรัฐบาลทักษิณ และยังเคยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมอีกด้วย ในส่วนกระทรวงอื่นๆ เขาเคยผ่านมาทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ปรึกษาอีกหลายกระทรวง ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น
สุดท้ายแล้ว รศ.ดร.สมชาย ฝากกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ว่า รัฐบาลใหม่ต้องจับตาดูเศรษฐกิจจีน เพราะหากเศรษฐกิจจีนช่วงหลังชะลอตัว มีผลกระทบกับประเทศไทยแน่นอน อัตราการเติบโตของจีนตอนนี้อยู่ที่ 6% จากที่คาดการณ์ 6.4% ส่วนไอเอ็มเอฟ (IMF) คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 6.2%
"ถ้าเศรษฐกิจจีนมีปัญหา ประเทศไทยกระทบ 2 เด้ง คือ เด้งแรกประเทศเรากระทบ เด้งที่สองอาเซียนกระทบ กระทบทั้งท่องเที่ยวและส่งออก"
หลังจากนี้คงต้องติดตามว่า แม่ทัพเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่จะนำพาเศรษฐกิจไทยฝ่าโจทย์หินช่วงครึ่งปีหลังไปได้แบบฉลุยราบรื่นหรือจะเป็นแบบทุลักทุเล.
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน