คนไทยในปัจจุบันดื่ม"กาแฟ"เยอะมากจนกลายเป็นแฟชั่น ทุกตรอกซอกซอยล้วนมีร้านกาแฟอยู่ทุกหนแห่ง บางคนดื่มกาแฟคู่กับขนมปัง ไข่ลวก เป็นอาหารเช้า บางคนดื่มเพราะต้องการให้ร่างกายสดชื่นมีแรงทำงาน ขณะที่บางคนดื่มแทนน้ำเปล่าจนร่างกายเกิดความเคยชิน ซึ่งเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาเฟอีนนั้น มีทั้งข้อดีและข้อเสีย หากบริโภคเกินขนาดก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เช่นกัน

ดื่มกาเฟอีน มากกว่า 10 กรัม เสี่ยงตาย!

นพ.อกนิษฐ์ ศรีสุขวัฒนา แพทย์เฉพาะทางด้านหทัยวิทยามากว่า 10 ปี ได้ให้ความเห็นเรื่องการดื่มเครื่องดื่มชูกำลังผสมกับกาแฟว่า โดยปกติแล้ว กาแฟมีฤทธิ์ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น เนื่องจากมีกาเฟอีนผสมอยู่ในกาแฟ หากบริโภคเกิน 100 มิลลิกรัม จะกระตุ้นประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic Nervous System-SNS) ซึ่งเป็นระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้ระบบประสาทบีบแรงและเร็วขึ้นจนทำให้เกิดภาวะความดันสูง

นอกจากนี้ หากดื่มกาเฟอีนเกิน 250 มิลลิกรัม จะทำให้เกิดภาวะความดันสูงชั่วคราว แต่ถ้าบริโภคกาเฟอีนในปริมาณมากกว่า 10 กรัมขึ้นไป ส่งผลให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้

“กาแฟตามข้างทางมีกาเฟอีนไม่เกิน 100 มิลลิกรัม ไม่ควรดื่มเกิน 3 แก้ว หรือ 3 กระป๋อง เนื่องจากปริมาณนี้จะไม่มีปัญหาอะไร หรือหากเป็นโอเลี้ยง ก็ต้องดูสูตรของแต่ละร้าน แต่สำหรับผมคิดว่าโอเลี้ยงน่าจะมีกาเฟอีนเจือจางกว่ากาแฟเยอะ ส่วนกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังมีปริมาณของกาเฟอีนมากกว่ากาแฟ และไม่ว่าจะดื่มกาแฟแบบร้อนหรือแบบเย็น กาเฟอีนดูดซึมเข้าสู่ร่างกายมีฤทธิ์เช่นเดียวกัน” แพทย์เฉพาะทางด้านหทัยวิทยา อธิบาย

...

กาเฟอีน 2 เท่า! "เครื่องดื่มชูกำลัง"ผสม "กาแฟ" ส่งผลให้หัวใจหนาตัว

ขณะเดียวกัน หากดื่มกาแฟผสมเครื่องดื่มชูกำลัง ซึ่งทั้งคู่เป็นเครื่องดื่มที่มีสารกาเฟอีน จะมีผลต่อร่างกายอย่างไรบ้างนั้น

นพ.อกนิษฐ์ เผยว่า เครื่องดื่มชูกำลังมีปริมาณกาเฟอีนเยอะกว่ากาแฟ ส่วนผสมของเครื่องดื่มชูกำลังมีฤทธิ์กระตุ้นให้หัวใจเต้นผิดจังหวะและเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ซึ่งบางยี่ห้อก็เขียนส่วนผสมไม่ครบ อย่างเช่น สารธีโอฟิลลีน สารตัวนี้เป็นยาช่วยในเรื่องโรคหอบหืด แต่ผลข้างเคียงทำให้กระตุ้นการเต้นของหัวใจให้เต้นผิดจังหวะ เมื่อนำเครื่องดื่มชูกำลังบริโภคคู่กับกาแฟ จะเพิ่มโรคแทรกซ้อนของการเกิดโรคหัวใจจนถึงชีวิตได้ ซึ่งเคยมีรายงานระบุว่า เคยมีผู้เสียชีวิตจากการบริโภคกาเฟอีน แต่มีปริมาณที่ไม่มาก

ส่วนผู้ป่วยความดันสูงนั้น จริงๆ แล้วสามารถดื่มได้ แต่ต้องบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม เพราะผู้ที่เป็นโรคความดันสูงบริโภคเข้าไปก็จะทำให้หัวใจเต้นเร็ว และมีความดันสูงกว่าปกติ

แพทย์เฉพาะทางด้านหทัยวิทยา ให้ความรู้เพิ่มเติมด้วยว่า กาแฟ 1 แก้ว สามารถทำให้รู้สึกสดชื่นได้ประมาณ 3-4 ชม. ส่วนการบริโภคทั้งกาแฟ และเครื่องดื่มชูกำลังรวมกัน จะทำให้ขนาดกาเฟอีนมีปริมาณเพิ่มขึ้น ความเข้มข้นจะยิ่งเพิ่มขึ้น ใจสั่นแรงกว่าการบริโภคเพียงอย่างเดียว เพียงแต่ฤทธิ์ของกาเฟอีนจะมีระยะเวลาเท่าเดิม

แพทย์เตือน ผู้ป่วย “โรคหัวใจ” ดื่มกาเฟอีนปริมาณมาก ส่อหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ

สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจนั้น นพ.อกนิษฐ์ กล่าวเตือนว่า ไม่แนะนำให้บริโภคเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนที่มีปริมาณมาก เนื่องจากจะทำให้หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ และอาจอันตรายกว่าคนปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเครื่องดื่มชูกำลัง เพราะนอกจากกาเฟอีนแล้ว ยังมีส่วนผสมอย่างอื่นอีกที่ยังไม่รู้ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นหัวใจให้เต้นผิดจังหวะได้

นอกจากนี้ สารในเครื่องดื่มชูกำลังที่ระบุไว้บนฉลากนั้น จะเป็นพวกอะมิโน ซึ่งไม่ได้มีประโยชน์อะไรชัดเจน และเครื่องดื่มชูกำลังที่ดื่มเข้าไปก็เพื่อหวังผลกระตุ้นให้ประสาทตื่นตัว มีสมาธิ โดยหลักแล้วเหมือนกาเฟ แต่เพิ่มส่วนผสมของน้ำตาลเข้าไปให้ร่างกายเกิดความสดชื่น

...

“ในกรณีเด็กเล็กเริ่มน่าเป็นห่วง เนื่องจากปริมาณที่คิดค่าเฉลี่ยเป็นปริมาณของผู้ใหญ่ หากเด็กบริโภคเข้าไปจะมีอาการความดันขึ้น กระสับกระส่าย และนอนไม่หลับ แต่ในส่วนของผู้ที่บริโภคกาเฟอีนเป็นประจำ เกิดจากความชินจะเห็นว่าบางคนในช่วงแรกที่บริโภคกาเฟอีนจะมีอาการนอนไม่หลับ แต่เมื่อบริโภคบ่อยๆ กลับทำให้รู้สึกนอนหลับสบาย หากวันไหนไม่ได้บริโภค จะรู้สึกอยู่ไม่ได้ แต่ถ้าถามว่าถ้าเลิกกาเฟอีนจะเกิดอาการอะไรมั้ย ตรงนี้ตอบได้เลยว่า ไม่เกิดอาการรุนแรง อาจจะมีเพียง รู้สึกง่วงนอน ไม่มีแรง แต่สามารถเลิกได้” หทัยแพทย์ อธิบาย

กลุ่มแรงงาน บริโภคกาแฟสูง ส่วนวัยรุ่น นร.-นศ. ดื่มช่วงสอบ

คิดว่าคนไทยในปัจจุบันมีการดื่มเครื่องดื่มชูกำลังมากน้อยแค่ไหน? ทีมข่าวฯ ตั้งข้อสงสัย

แพทย์เฉพาะทางด้านหทัยวิทยามากว่า 10 ปี ตอบว่า “ผมว่าเยอะนะ คนที่ต้องทำงาน แรงงาน การบริโภคกาเฟอีนจะทำให้รู้สึกตื่นตัว กระชุ่มกระชวย อย่างนั่งแท็กซี่ ก็เห็นคนขับรถเขามีพวกกาแฟติดรถ หรือบางคนทำงานหามรุ่งหามค่ำอันนั้นเขาก็ต้องดื่ม แต่ยังดีที่ของประเทศไทยยังไม่แพร่หลายในกลุ่มนักกีฬา เหมือนของต่างประเทศเขาจะมีสปอนเซอร์หลักเป็นเครื่องดื่มชูกำลัง ลูกค้าเขาก็จะมีหลากหลาย ตั้งแต่กลุ่มวัยรุ่นที่เล่นกีฬาไปยังกลุ่มคนแรงงาน

...

แต่สำหรับประเทศไทยจะเป็นกลุ่มของคนทำงานเป็นหลัก สำหรับวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา น่าจะกินชั่วคราว กินในช่วงสอบอะไรแบบนั้นมากกว่า หากเปลี่ยนจากการกินพวกกาเฟอีนเป็นพวกน้ำหวานแทน จริงๆ น้ำหวานไม่ได้ช่วยขนาดนั้น น้ำหวานเป็นกลูโคส อาจจะทำให้เรามีพลังงาน แต่น้ำหวานไม่ได้ช่วยกระตุ้นระบบประสาท ซิมพาเทติก เหมือนกับกาเฟอีน”

งานวิจัยชี้หญิงวัยทองดื่มกาเฟอีนในปริมาณมากกว่า มีสิทธิ์เป็นมะเร็งรังไข่

งานวิจัยเรื่อง “การพัฒนาตัวแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคสารกระตุ้น ประเภทสารกาเฟอีนเพื่อเพิ่มสมรรถภาพร่างกายในการทำงาน ของประชากรวัยทำงาน” ของนายภูวดล พลศรีประดิษฐ์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้รับการเผยแพร่ในปี 2556 ได้ระบุเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาเฟอีนดังนี้

  • กาแฟผงสำเร็จ ปริมาตร 150 มิลลิลิตร มีปริมาณกาเฟอีน 40-108 มิลลิกรัม

...

  • กาแฟชงจากผงกาแฟคั่วบด (เครื่องไฟฟ้าแบบ drip) ปริมาตร 150 มิลลิลิตร มีปริมาณกาเฟอีน 110-150 มิลลิกรัม
  • กาแฟกระป๋อง ปริมาตร 180 มิลลิลิตร มีปริมาณกาเฟอีน 74-212 มิลลิกรัม
  • เครื่องดื่มชูกำลัง ปริมาตร 100-150 มิลลิลิตร มีปริมาณกาเฟอีน 50 มิลลิกรัม

หากต้องการบริโภคกาเฟอีนไม่ให้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ผู้บริโภคควรบริโภคให้เหมาะสมกับปริมาณของร่างกายต้องการ ประมาณ 50-200 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งปริมาณดังกล่าวจะช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ไม่ง่วงนอน

แต่ถ้าหากบริโภคเกินอัตราที่กำหนด จะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้ ซึ่งอาการที่พบในรายงาน ได้แก่ เกิดการเต้นของหัวใจผิดปกติ การเต้นของหัวใจไม่เป็นจังหวะ ใจสั่น หายใจขัด ความดันโลหิตสูง มีการเกร็งในกระเพาะอาหาร คลื่นไส้ เกิดภาวะสูญเสียน้ำ กระสับกระส่าย เกิดความผิดปกติของระบบปัสสาวะ

โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ไม่ควรบริโภคกาเฟอีน เนื่องจากสารกาเฟอีนเป็นเหตุให้เกิดการแท้งบุตร หรือทำให้บุตรพิการ หากเป็นผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่บริโภคกาแฟมากกว่า 500 มิลลิกรัมต่อวัน เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งรังไข่

เมื่อทางทีมข่าวฯ ได้ทดลองบริโภคเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาเฟอีนจำนวน 3 ชนิด ได้แก่

1.กาแฟกระป๋อง ปริมาณกาเฟอีน 111.1 มิลลิกรัม

2.เครื่องดื่มชูกำลัง ปริมาณกาเฟอีน 50 มิลลิกรัม

3.โกโก้เย็น ปริมาณกาเฟอีนประมาณ 30 มิลลิกรัม

รวมปริมาณกาเฟอีนทั้งสิ้น 191.1 มิลลิกรัม

ทั้งนี้ ผู้ทดลองเป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว หลังจากเมื่อบริโภคไปประมาณ 2 ชั่วโมง ผู้ทดลองเริ่มมีอาการ ใจสั่นเต้นแรง ท้องเสีย มือสั่น เวียนหัว อาการพูดเร็วและรัว ซึ่งในปริมาณที่ได้ทดลองนี้เป็นปริมาณที่ยังไม่เกินปริมาณที่ควรบริโภคต่อวัน แต่ผลข้างเคียงที่ได้รับนั้น อาจส่งผลต่อการดำเนินชีวิตในอนาคตได้

สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจหรือความดันสูง ควรบริโภคเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมกาเฟอีนในปริมาณที่แพทย์แนะนำจะดีที่สุด.

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน