เปิดเส้นทาง "เงินค่าปรับ" จ่ายแล้วเงินไปอยู่ส่วนไหนบ้าง เมื่อ "กล้อง" มาทำหน้าที่แทน ยังคงส่วนแบ่งให้ผู้จับกุมหรือไม่ อีก 2 เดือน ชี้ชะตา "ส่วนแบ่งค่าปรับ" กระทบตำรวจ 2 หมื่นนายทั้งประเทศ....

ภายหลังกองบัญชาการตำรวจนครบาลมีคำสั่งให้ใช้กล้องตรวจจับความเร็ว และกล้องเลนเชนจ์ กวดขันวินัยจราจรบนท้องถนน ตรวจจับผู้ฝ่าฝืนกฎจราจรในจุดที่เกิดปัญหารถปาด เบียดแซงในเส้นทึบ ขึ้นสะพาน และอุโมงค์ลอดแยก 15 จุด ของ กทม. โดยออกใบสั่งผู้กระทำผิดกฎจราจร จากภาพถ่ายของกล้องที่มีความคมชัดและเห็นป้ายทะเบียนชัดเจนส่งทางไปรษณีย์ไปถึงบ้าน และระบุไว้ต้องชำระค่าปรับภายใน 7 วัน ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ของผู้ที่ใช้รถใช้ถนน

เพราะหากไม่ชำระค่าปรับภายใน 7 วัน จะมีจดหมายส่งมาเตือน ให้ไปชำระค่าปรับภายใน 30 วัน และเมื่อพร้อมชำระค่าปรับใบสั่งที่ค้างชำระ จะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 1,000 บาท เป็นค่าปรับล่าช้าด้วย ซึ่งมาตราการดังกล่าวประชาชนมองว่าโหดร้าย ปรับลดลง หรือยกเลิกได้หรือไม่ อีกทั้งเมื่อใช้กล้องและเทคโนโลยีมาทำหน้าที่อำนวยความสะดวกจับคนทำผิดแทนเจ้าพนักงานจราจรแล้ว ให้ไปทำหน้าที่อื่นทดแทนอย่างไร อีกทั้งส่วนแบ่งค่าปรับจราจร ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกมาตรา 146 ยังมีหรือไม่ และนำไปใช้เพื่อสังคมต่ออย่างไร

...

วันนี้ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ มีคำตอบมาไขข้อสงสัย จาก พล.ต.ต.เอกลักษณ์ ลิ้มสังกาศ ผบก.ส.3 ในฐานะคณะกรรมการแก้ไขกฎหมายจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)

ปรับเพิ่ม 1 พัน ไม่จ่ายได้ไหม “อย่าทำผิด” วิธีเดียวช่วยให้ไม่เสียเงิน

พล.ต.ต.เอกลักษณ์ เปิดเผยข้อมูลกับข้อสงสัยแรก ถึงค่าปรับเพิ่ม 1 พันบาทนั้น ถือว่าเป็นความผิดเพิ่มที่ระบุไว้ในกฎหมาย ตามมาตรา 155 พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ไม่สามารถปรับลดได้ ซึ่งสามารถชำระค่าปรับได้ 3 ช่องทาง คือ 1. สถานีตำรวจพื้นที่ที่ออกใบสั่ง 2. ตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงไทย 3. ตู้บุญเติม แต่หากไม่อยากจ่ายเงินส่วนนี้ แนะให้ชำระค่าปรับภายใน 7 วัน หรือหากไม่อยากเสียเงินค่าปรับใดๆ เลย ก็ไม่ควรทำผิดกฎจราจร

“ตามกฎหมายต้องชำระใน 7 วัน ตามที่กำหนดไว้ หากไม่ไปชำระ จะมีใบเตือน หากได้รับใบเตือนแล้วยังไม่ไปชำระ จะมีความผิดเพิ่มในมาตรา 155 คือ ขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน ถ้ามองว่า 1 พันบาทแพง ก็ให้ชำระตามเวลา หากชำระตามกำหนดก็เสียค่าปรับแค่ข้อหาเดียว” พล.ต.ต.เอกลักษณ์ชี้แจง

ผ่านแล้ว! เกณฑ์ใหม่ เพิ่มตัดคะแนน แต้มหมด "ยึดใบขับขี่"

นอกจากนี้ จากการเปิดเผยของ พล.ต.ต.เอกลักษณ์ ระบุยอดใบสั่งใน ปี 61 มีทั้งสิ้น 14 ล้านใบ แต่มีการชำระแค่ 4 ล้าน และค้างจ่ายทั้งหมด 10 ล้านใบ ส่วนในปี 62 ยังไม่มีตัวเลข สำหรับวิธีแก้ปัญหาใบสั่งค้างจ่ายนั้น เมื่อ มี.ค. 61 ได้เสนอให้แก้กฎหมายและเพิ่มโทษทางปกครอง ให้ “ตัดคะแนนความประพฤติ” เช่นเดียวกับที่ต่างประเทศใช้

และเมื่อ 22 ก.พ. 62 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จึงได้ลงมติให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่....) พ.ศ.... ใช้เป็นกฎหมาย ด้วยเสียงเห็นชอบ 138 เสียง ไม่เห็นชอบไม่มี งดออกเสียง 3 เสียง และไม่ลงคะแนน 1 เสียง โดยหลังจากร่างกฎหมายมีผลบังคับใช้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ต้องออกข้อกำหนดเกี่ยวกับการตัดคะแนน

...

เบื้องต้นร่างข้อกำหนด ระบุให้ผู้ขับขี่มีคะแนน 12 คะแนน ขณะที่อัตราการตัดคะแนนนั้น จะมีหลักเกณฑ์ อาทิ การฝ่าไฟแดง ตัด 1 คะแนน และการไม่หลีกทางให้รถพยาบาลฉุกเฉิน ตัด 3 คะแนน ทั้งนี้ หากคะแนนถูกตัดจนหมดจะถูกพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ หากอยากได้แต้มคืนต้องเข้ารับการอบรมโดยมีค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ก่อนที่สตช.จะออกข้อกำหนดต่างๆ นั้น จะจัดเวทีรับฟังความเห็นประชาชนด้วย

“ใบสั่งมีอายุความ 1 ปี คนไม่มาจ่าย ต่อไปอาจจะมีมาตรการบังคับอื่นเพิ่ม คือ ตัดคะแนนความประพฤติ คาดว่าในปีนี้จะมีกฎหมายใหม่มาใช้หลังประกาศในราชกิจจาไปแล้ว 120 วัน หากถูกตัดคะแนนความประพฤติจนหมด จะถูกพักใช้ 90 วัน ห้ามขับรถ พล.ต.ต.เอกลักษณ์ อธิบาย

เปิดเส้นทาง "เงินค่าปรับ" นำไปใช้อย่างไร คงส่วนแบ่งให้ผู้จับกุมหรือไม่

อีกข้อสงสัยของประชาชนที่ว่า เงินค่าปรับที่ได้นำไปใช้อย่างไร และยังแบ่งเงินค่าปรับให้กับผู้จับกุมอีกหรือไม่ เนื่องจากกล้องได้มาทำหน้าที่ตรวจจับคนทำผิดกฎแทนแล้ว พล.ต.ต.เอกลักษณ์ ชี้แจงว่า ขณะนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่ระหว่างพิจารณายกเลิกส่วนแบ่งค่าปรับให้กับตำรวจจราจร คาดว่า 1-2 เดือนนี้น่าจะมีคำตอบให้กับสังคม

...

สำหรับหลักเกณฑ์ "ส่วนแบ่งค่าปรับจราจร" ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกมาตรา 146 คือ 1. แบ่งเงินค่าปรับเป็น 2 ส่วนเท่ากัน ส่วนแรกส่งให้กรุงเทพมหานคร หรือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งในกฎหมายไม่ได้ระบุว่าต้องนำเงินไปใช้อย่างไรต่อ 

ส่วนที่สองนำมาคิดหักเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกหัก 5 เปอร์เซ็นต์ นำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ที่เหลือนำมาจัดสรรเป็นเงินรางวัลผู้จับกุม (ผู้ออกใบสั่ง) ในอัตราร้อยละ 60  และผู้สนับสนุนงานจราจร คือ ตำรวจที่ออกคำสั่งให้มาช่วยงานด้านจราจร มาช่วยในการจับกุม ยศไม่เกินพันโท ในอัตราร้อยละ 40

...

เพื่อความเข้าใจง่าย สมมติ น.ส.บี ถูกปรับในฐานความผิดขับรถความเร็วเกิน 90 ตามกฎหมายกำหนด ถูกปรับ 1,000 บาท สามารถนำมาคำนวณตาม ดังนี้ ขั้นตอนแรก เงิน 1,000 บาท ส่งให้ กรุงเทพมหานคร หรือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 500 บาท อีก 500 บาท นำมาคิดคำนวณใหม่โดย หักเป็นรายได้แผ่นดิน 5% = 25 บาท มีเงินเหลืออีก 475 บาท จากนั้น นำเงิน 475 บาท มาแบ่งให้ผู้จับกุม 60% = 285 บาท และผู้สนับสนุนงานจราจร 40% = 190 บาท

อีก 2 เดือน ชี้ชะตา “ส่วนแบ่งค่าปรับ” กระทบตำรวจ 2 หมื่นนายทั้งประเทศ

ทั้งนี้ เหตุผลที่มีส่วนแบ่งค่าปรับจราจรให้ตำรวจจราจร ที่ปัจจุบันมีประมาณ 2 หมื่นเศษๆ ทั้งประเทศนั้น เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ นอกจากนี้ยังเป็นการทดแทนค่าเสี่ยงภัยด้วย เนื่องจากขณะปฏิบัติหน้าที่ ต้องเผชิญกับภาวะเสี่ยงกับสุขภาพทั้งดวงตา หู และโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจจากการสูดดมควันพิษ และฝุ่นละอองในทุกวัน ซึ่งจำกัดในแต่ละเดือน ยศไม่เกินพันโท ได้รับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท ต่อคน ต่อไปหากไม่มีเงินส่วนนี้ มีแนวทางขอให้รัฐบาลช่วยเหลือต่อไป

การมีส่วนแบ่งให้ก็เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ เพราะเงินค่าตอบแทนอื่นไม่มี ในกฎหมายกำหนดให้ชำระค่าปรับภายใน 7 วัน ไม่ใช่กำหนดให้จ่ายเพื่อมุ่งเรื่องเงินส่วนแบ่ง แต่ถ้าใครทำผิด มีใบสั่งก็ต้องไปจ่ายค่าปรับตามระยะเวลากำหนด

เงินสวนแบ่งถือว่าเป็นค่าเสี่ยงภัย เมื่อประชาชนมีความเห็นว่าไม่เหมาะสม และไม่ให้มีข้อกังขา ขณะนี้กำลังพิจารณายกเลิก ทำการศึกษาอยู่ เร่งสรุปให้ไว เสนอท่าน ผบ.ตร. เพื่อตัดสินใจอีกที แล้วไปขออนุมัติกระทรวงการคลังเพื่อแก้ไขอีกที ภายใน 1- 2 เดือนนี้น่าจะมีคำตอบให้กับสังคม

ต่อไปหากไม่มีเงินส่วนนี้ให้เจ้าหน้าที่ 2 หมื่นกว่าคนทั่วประเทศ ก็ต้องไปขอรัฐบาลว่ามีเงินอื่นช่วยเหลือไหม หรือขอเงินสนับสนุนมาเป็นค่าล่วงเวลาหากเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเกินเวลา พล.ต.ต.เอกลักษณ์กล่าว

ตำรวจจราจร “หน้าที่ไม่ลด” หลังกล้องมาจับคนผิดแทน

สำหรับการติดตั้งกล้องเลนเชนจ์ 15 จุดทั่วกรุงเทพฯ ได้แก่ 1.สะพานข้ามแยกบางเขน ถนนงามวงศ์วาน ขาออก 2.สะพานข้ามแยกศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก 3.ทางลอดแยกห้วยขวาง ถนนรัชดาภิเษก ขาเข้า 4.สะพานข้ามแยกบรมราชชนนี ถนนบรมราชชนนี ขาออก 5.สะพานข้ามแยกวงเวียนบางเขน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาเข้า

6.สะพานข้ามแยกราชเทวี ถนนเพชรบุรี ขาออก 7.แยกสามเหลี่ยมดินแดง ถนนดินแดง ขาเข้า 8.สะพานข้ามแยกประชานุกูล ถนนรัชดาภิเษก ขาออก 9.สะพานศิริราชด้านถนนอรุณอมรินทร์ ถนนอรุณอมรินทร์ ขาออก 10.แยกรัชดา-ลาดพร้าว ถนนลาดพร้าว ขาออก

11.แยกรัชดา-ลาดพร้าว ถนนลาดพร้าว ขาเข้า 12.สะพานข้ามแยกวงศ์สว่าง ถนนรัชดาภิเษก ขาออก 13.สะพานข้ามแยกพระราม 4 ถนนรัชดาภิเษก ขาออก 14.สะพานพระพุทธยอดฟ้า ถนนประชาธิปก ขาเข้า และ 15. สะพานข้ามแยกกำนันแม้น ถนนกัลปพฤกษ์ ขาออก

ซึ่งการนำกล้องมาใช้ทำงานแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรในแต่ละจุดนั้น พล.ต.ต.เอกลักษณ์ ให้เหตุผลว่า มีค่าใช้จ่ายพอควร หากเล็งติดในพิกัดอื่นๆ เพิ่มก็ต้องหางบประมาณ ส่วนหน้าที่ของตำรวจไม่ลดลง แม้จะมีกล้องมาช่วยทำหน้าที่แทน

“การนำกล้องมาใช้ทำงานแทนก็มีค่าใช้จ่ายพอควร ทั้ง ค่าดูแล บำรุงรักษา ค่ากระดาษ ค่าใบสั่ง ค่าส่งไปรษณีย์ การเพิ่มพิกัดติดกล้อง ก็ต้องหางบประมาณแล้ว มาติดเพิ่ม ขณะนี้เราพยายามเปลี่ยนจากใช้ตำรวจจับ มาใช้เป็นกล้องให้มาก เพื่อให้มีหลักฐานที่ชัดเจน และก็ลดความขัดแย้งของการใช้ดุลพินิจ พอกล้องมาทำหน้าที่ แทน ก็ให้ตำรวจจราจรไปอำนวยความสะดวกทางการจราจร และดูแลพี่น้องประชาชนแทน พล.ต.ต.เอกลักษณ์กล่าว

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

สืบเสาะข่าว รับเรื่องราวร้องทุกข์ สามารถส่งเรื่องราว หรือประเด็นปัญหาของท่านมาได้ที่

reporter.thairath@gmail.com  หรือช่องทาง Facebook :  ทีมข่าวเฉพาะกิจ