จากปัญหาการบริโภคอาหาร สุกๆ ดิบๆ ของคนไทยในปัจจุบัน ที่นิยมกันเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ปูดอง ปลาร้า ปลาส้ม หลู้เลือด ของทางภาคเหนือ หรือแม้แต่อาหารญี่ปุ่นอย่าง ซูชิ ซาซิมิ ที่นำมากินกันสดๆ ไม่ต้องผ่านการปรุงสุก รู้หรือไม่รสนิยมการกินแบบนี้สุ่มเสี่ยงที่จะเจอ “พยาธิชอนไช หรือ วางไข่” เตรียมแพร่พันธุ์ อยู่ในอาหารแสนอร่อยของใครหลายๆ คนอยู่
เมื่อเร็วๆ นี้ มีข่าวน่าสยดสยอง ได้พบคุณตาวัย 77 ปี มีพยาธิชอนไชอยู่ในตัว ซึ่งเจ้าตัวเองยอมรับว่า สมัยหนุ่มเคยมีอาชีพค้าเนื้อควาย และยังชอบนำเนื้อควายดิบมาปรุงเป็นอาหารและกินต่อเนื่องมายาวนาน กระทั่งวันหนึ่งรู้สึกผิดปกติบริเวณผิวหนัง เกิดอาการคันจึงใช้มือเกาจนหนังกำพร้าหลุด และปรากฏว่ามีสิ่งแปลกปลอมลักษณะคล้ายเส้นด้ายยาวประมาณ 5–6 เซนติเมตร โผล่ทะลุออกมาจากผิวหนังด้วย ซึ่งแพทย์ระบุว่า สิ่งแปลกปลอมที่ออกจากผิวหนังเป็นพยาธิ
ดร.อดุลย์ศักดิ์ วิจิตร หัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขโรคและภัยสุขภาพ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่ ได้กล่าวถึงกรณีคุณตา วัย 77 ปี ว่า แท้จริงแล้วพยาธิตัวจี๊ดจะอยู่ในกระเพาะของ สุนัข แมว หรือสัตว์ตระกูลเสือ ซึ่งเป็นตัวเต็มวัย จะมีความยาวระดับเซนติเมตรเท่านั้น หากเข้ามาอยู่ในตัวคนจะเป็นตัวอ่อนในระยะที่ 3 ซึ่งขนาดของตัวจี๊ดจะมีความยาวแค่ระดับ มิลลิเมตรเท่านั้น
พยาธิตัวจี๊ดจะเข้าสู่ร่างกายคนได้ หากบริโภคของดิบ เช่น ปลาช่อน ปลาไหล หรือกบดิบ ซึ่งตัวอ่อนของพยาธิจะอยู่ในปลาน้ำจืดเหล่านี้ ซึ่งถ้าเข้ามาอยู่ในคนแล้วพยาธิไม่สามารถเจริญเป็นตัวเต็มไวได้ บางครั้งเราอาจจะพบตัวอ่อนนั้นไชไปตามผิวหนัง ทำให้เกิดรอยตามผิวหนัง จนเกิดอาการบวม และเจ็บจี๊ดๆ หากถ้าเราตรวจเลือดจะสังเกตได้ว่าเมื่อตรวจเลือดจะมีเม็ดเลือดขาวที่สูงกว่าปกติ
...
“วิธีการตรวจ ทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะตรวจทางซีรั่ม ถึงจะรู้ว่าเป็นพยาธิตัวจี๊ด ซึ่งไข่ของพยาธิชนิดนี้มีขนาดเล็กมาก ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และไข่ของเจ้าพยาธิตัวจี๊ดจะอยู่แต่ในสัตว์เท่านั้น” ดร.อดุลย์ศักดิ์ กล่าว
พยาธิในโลก มี 3 ประเภท วิธีการแทรกซึมต่างกัน ทั้งชอนไช แฝงเร้นในอาหาร
ผู้เชี่ยวชาญด้านพยาธิได้แบ่งชนิดของพยาธิออกเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย..
1. พยาธิตัวกลม ประกอบด้วย พยาธิปากขอ พยาธิไส้เดือน และพยาธิแซ่ม้า หรือเรียกอีกอย่างว่า “หนอนพยาธิผ่านดิน” ถ้าเป็นพยาธิไส้เดือน พยาธิแซ่ม้า จะติดมากับผักสด หากล้างผักไม่สะอาด หรือไม่ได้ล้างมือ อาจจะทานไข่พยาธิเข้าไปได้
ส่วนพยาธิปากขอ และพยาธิเส้นด้าย จะเป็นพยาธิที่สามารถเข้าสู่ร่างกายได้หากมีอวัยวะส่วนไหนที่ไปสัมผัสโดนพื้นดิน หรือทรายที่ปนเปื้อนอุจจาระของสัตว์ที่มีพยาธิติดอยู่ หากไปถ่ายอุจจาระนอกบ้าน ถ่ายหนักตามข้างทาง พยาธิก็สามารถเข้ามาได้เช่นกัน
“ตัวอ่อนของพยาธิปากขอจะมีขนาดความยาวเพียง 500-600 ไมครอนเท่านั้น ซึ่งเป็นขนาดที่เล็กมาก” เมื่อไชเข้าไปสู่กระแสเลือด และเข้าไปในปอด จะมีการลอกคราบก่อน เข้าไปในหลอดอาหาร หากเรากลืนลงไป จะทำให้พยาธิเจริญเติบโตอยู่ที่ลำไส้ และไปดูดเลือดในลำไส้ของเรา อายุตัวนึงจะอยู่ได้ถึงประมาณ 10 ปี และหนึ่งตัวจะดูดเลือดประมาณวันละ 0.037 ซีซี ต่อตัวต่อวัน ถ้าหากมีปริมาณ 50 ตัวขึ้นไปถึงจะทำให้ป่วยเป็นโลหิตจางได้ ซึ่งพบมากในพื้นที่ชนบท” ผู้เชี่ยวชาญด้านพยาธิ กล่าว
2. พยาธิตัวตืด คือ พยาธิตืดวัว และพยาธิตืดควาย พบมากจากอาหารจำพวก ลาบวัว ลาบควายดิบ ความยาวของตัวตืดยาวที่สุด ประมาณ 25 เมตร จะอาศัยอยู่ในลำไส้ คนจะกินซีสที่อยู่ในวัวในควาย การที่กินลาบไม่สุก มันก็จะเข้าไปอาศัยในลำไส้เล็ก คอยแย่งอาหาร
ตืดหมู สามารถเลื้อยขึ้นไปที่สมองได้ 3 กรณี
1. พยาธิที่ปนเปื้อนมากับผัก
2. ติดจากตัวเอง
3. ตัวเองเป็นตืดหมูอยู่แล้ว เกิดจากการขย้อนออกมา จะถูกน้ำย่อยในกระเพาะย่อย และเกิดเป็นเมล็ดสาคูที่อยู่ในตัวคน ซึ่งเมล็ดสาคูนี้อาจจะไปอยู่ในกล้ามเนื้อก็ได้ หรืออาจจะขึ้นไปบนสมองก็ได้ หากบางคนที่บอกว่าไม่เคยกินหมูดิบแต่ยังมีพยาธิตืดหมู สาเหตุเกิดมาจาก ทานผักดิบที่คนถ่ายเอาไว้ แล้วไข่พยาธิติดกับผัก หากล้างผักไม่สะอาด ก็ทำให้พยาธิตัวตืดสามารถเข้าสู่ร่างกายได้เช่นกัน
3. พยาธิใบไม้มีอยู่ 4 ชนิด ประกอบด้วย 1. พยาธิใบไม้ตับ 2. ลำไส้ขนาดใหญ่ 3. ลำไส้ขนาดกลาง และ 4. ลำไส้ขนาดเล็ก
...
พยาธิใบไม้ตับ กลายร่างเป็นมะเร็งท่อน้ำดี แชมป์คร่าชีวิตคนไทย
จากสถิติและอุบัติการณ์การเกิดโรค สถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ระบุว่า การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ (OpisthorchisViverrini) เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เนื่องจากการติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งท่อน้ำดี โดยในประเทศไทย พบว่ามีอัตราของการเกิดมะเร็งท่อน้ำดีสูงในผู้ป่วยที่อาศัยอยู่ในภาคอีสาน แต่เมื่อเทียบสถิติในระดับโลก คนป่วยโรคนี้กลับพบไม่มาก แตกต่างจากประเทศไทยที่มีคนตายทั่วประเทศ ประมาณ 14,000 คน ซึ่งผู้ป่วยโรคมะเร็งท่อน้ำดี เกือบ 100% ล้วนเคยเป็นพยาธิใบไม้ตับทั้งสิ้น
ในประเด็นนี้ รศ.นพ.ณรงค์ ขันตีแก้ว ผู้อำนวยการโครงการ casscap มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้เชี่ยวชาญด้านพยาธิ ได้อธิบายว่า เราสามารถเจอพยาธิได้ทุกพื้นที่ทั่วโลก แต่ในพื้นที่ภาคใต้ ส่วนมากจะพบพยาธิปากขอ ภาคเหนือและภาคอีสาน เจอพยาธิใบไม้ตับ และพบได้ทั่วไป คือ พยาธิตัวกลม ตัวตืด เส้นด้าย
...
“แต่พยาธิที่กัดกินชีวิตคนไทย อันดับหนึ่ง คือ พยาธิใบไม้ตับ เพราะพยาธิตัวนี้จะอาศัยอยู่ในท่อน้ำดี ทั้งในตับและนอกตับ สาเหตุมาจากการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะในปลาที่มีเกล็ดสีขาว เช่น ปลาสร้อย ปลาตะเพียนดิบ ซึ่งปลาเหล่านี้มักถูกแปรรูปเป็น ปลาร้า ปลาส้ม ก้อยปลา ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงสูง ถึงแม้จะผ่านกระบวนการถนอมอาหารแล้วก็ตาม”
รศ.นพ.ณรงค์ กล่าวว่า ส่วนการบริโภคอาหารญี่ปุ่น เช่น ซาซิมิ ที่ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมกัน อย่างเช่น ปลาโอ ปลาแซลมอน ก็สามารถพบพยาธิได้เหมือนกัน แต่พยาธิเหล่านั้นไม่เป็นอันตราย ส่วนใหญ่พยาธิจะตายเมื่อโดนฟรีซตั้งแต่ -20 องศา เป็นเวลา 3 วัน หรือโดนต้มอุณหภูมิ 100 องศาขึ้นไป ในส่วนของอาหารทะเลก็มีพยาธิเหมือนกัน แต่ไม่ใช่พยาธิที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง เหมือนพยาธิใบไม้ตับ ที่คนไทยกลัวกัน
รศ.นพ.ณรงค์ กล่าวต่อว่า ส่วนพยาธิที่คนไทยเป็นรองลงมาจากพยาธิใบไม้ตับ อันดับ 2 คือ พยาธิไส้เดือน พยาธิปากขอ ซึ่งจะอาศัยอยู่ในบริเวณลำไส้ กระเพาะอาหาร และอันดับที่ 3 เป็นพยาธิตัวกลม ตัวแบน ตัวตืด ตัวจี๊ด และเส้นด้าย ซึ่งพบได้น้อยกว่า 1% ของประชากรไทย
...
พยาธิใบไม้ตับ คร่าชีวิตคนไทยปีละเกือบ 2 หมื่น ผู้ชายตายมากกว่าหญิง อายุเฉลี่ย 40-65 ปี
รศ.นพ.ณรงค์ ยังบอกข้อมูลที่น่าสนใจว่า แต่ละปีพยาธิใบไม้ตับนั้นพรากชีวิตคนไทยไปถึง 1-2 หมื่นราย ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย มากกว่าผู้หญิง ผู้ที่เป็นมะเร็งมีอายุตั้งแต่ 40-65 ปี
ส่วนใหญ่พบที่ภาคอีสาน และภาคเหนือ หรือไม่ หมอณรงค์ กล่าวว่า เดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว เนื่องจากพยาธิใบไม้ตับได้แพร่กระจายไปทุกภูมิภาค เพราะหากมีปลาร้าที่ไหนก็มีพยาธิที่นั่น
เผยวิธีสังเกตอาการ พยาธิใบไม้ตับ
ดร.อดุลย์ศักดิ์ แนะนำว่า ระยะเริ่มแรกจะยังไม่มีอาการบ่งบอกว่ามีพยาธิเข้าสู่ร่างกาย แต่จะแสดงอาการเมื่อเข้าสู่ระยะที่ 2 ผู้ป่วยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน บริเวณชายโครงทางด้านขวา มีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ตัวเหลือง ตาเหลือง หากถ้าผู้ป่วยรู้เร็วก็จะสามารถรักษาได้เร็ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ในระยะที่ 3 ไปแล้ว การรักษาจะเป็นไปอย่างยากลำบากมากขึ้น โดยจะต้องใช้วิธีการให้คีโมหรือผ่าตัด
“คนที่เป็นมะเร็งท่อน้ำดีในระยะ 3 และ 4 จะมีอาการ ตาเหลือง ตัวเหลือง ตับโต ท้องมาน ต่อมน้ำเหลืองโต มีไข้สูงหนาวจัด น้ำหนักลดเบื่ออาหาร ส่วนมากจะเสียชีวิตภายในหนึ่งปี หรือโอกาสรอดเพียง 10% ที่น่าตกใจ คือโรคนี้จะไม่มีอาการที่เป็นสัญญาณเตือนก่อน จะรู้ตัวอีกทีก็เข้าระยะอันตรายแล้ว”
ขณะที่ นพ.ณรงค์ กล่าวเสริมว่า ความยาวของพยาธิใบไม้ตับจะมีขนาดประมาณ 8-9 มิลลิเมตร และมีอายุยืนยาวในร่างกายถึง 20 ปี! หากมีพยาธิใบไม้ตับในร่างกายเพียง 5-10 ตัว ก็สามารถทำให้เป็นมะเร็งท่อน้ำดีได้แล้ว
8 วิธีป้องกันออกห่างจากพยาธิ
รศ.นพ.ณรงค์ ได้ให้คำแนะนำถึงวิธีป้องกันพยาธิเข้าสู่ร่างกายเราว่า..
1. รับประทานอาหารที่สุก สะอาด
2. ดื่มน้ำสะอาด
3. ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร
4. เก็บอาหารให้ปลอดจากแมลงและสัตว์พาหนะโรค
5. ถ่ายอุจจาระลงส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
6. รักษาความสะอาดในบ้านและรอบบ้านให้สะอาด
7. ถ้าปลาร้า ต้องหมักเกิน 30 วันขึ้นไป
8. ตรวจร่างกายและอัลตราซาวนด์ประจำปี
ดร.อดุลย์ศักดิ์ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า เราต้องฉลาดรอบรู้ เรื่องของการบริโภค ถ้าเรารู้ว่ามันเสี่ยง ก็ต้องออกห่างจากความเสี่ยงนั้น เช่น การบริโภคลาบปลา ปลาส้ม ปลาร้าดิบ ซึ่งอาหารเหล่านี้ก็เสี่ยงต่อการมีพยาธิใบไม้ตับ พยาธิใบไม้ในลำไส้ หรือพยาธิตัวจี๊ดได้ แต่ถ้าเป็นพวก เนื้อหมู เนื้อวัวสด ก็เสี่ยงต่อการเป็นตัวตืดได้ และอีกเรื่องหนึ่งคือการล้างผัก ควรล้างผักให้สะอาดก่อนบริโภค
“ที่ผ่านมา เคยมีการทดลองล้างผัก ด้วยวิธีการล้าง 3 ครั้ง ผลปรากฏว่าไม่พบไข่พยาธิติดอยู่ ดังนั้น วิธีนี้ถือเป็นวิธีง่ายๆ ในการล้างผักที่ถูกต้อง โดยต้องให้น้ำไหลผ่าน เพื่อให้ไข้พยาธิที่ติดอยู่กับผักหลุดออกไป นอกจากนี้ เวลาออกนอกบ้านควรจะสวมรองเท้า เพราะมีพยาธิหลายชนิดที่สามารถเข้าไปในเท้าได้ ซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า”
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน