“ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้..แต่เลือกที่จะเป็นคนดีได้”
คุณเชื่อคำพูดนี้หรือไม่ มันฟังแล้วสวยหรูเกินจริงหรือเปล่า หากจะทำจริงๆ มันต้องทำอย่างไร...
ถือเป็นกรณีศึกษาอีก 1 เคส สำหรับ คนเคยเลวอย่าง “เอ็ม โอรส” หรือ นายยุทธนา โตวาท อดีตเด็กเดินยา เข้าออกมุ้งสายบัวมาแล้ว 5 รอบ แต่วันนี้เขาประกาศตัวว่า “กลับตัวกลับใจแล้ว” ขอทำอาชีพสุจริต เริ่มต้นชีวิตใหม่ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับยาเสพติด และยังใช้ประสบการณ์มาเป็นอุทาหรณ์ให้กับสังคมด้วย
เปิดชีวิต "เอ็ม โอรส" อายุ 13 เสพยา ออกปล้น ถูกจับ เข้าแก๊งโอรส
นายยุทธนา หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เอ็ม โอรส” ขอเล่าเรื่องราวชีวิตบัดซบของตัวเอง ผ่านทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ให้ฟังว่า เขาได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดตั้งแต่ตอนอายุ 13-14 เท่านั้น หรือประมาณ ม.1- ม.2 จากการชักชวนของเพื่อนให้ลองเสพยา
“คนเราไม่รู้จักพออยู่แล้ว จากที่เคยเสพ... อยากได้ อยากมีเหมือนคนอื่น ตอนนั้นอายุแค่ 15 ปี กำลังแต่งรถเพื่อไปเทสต์ (แข่ง) อยากแต่งรถให้แรง..ก็เลยต้องหารายได้”
...
เอ็ม โอรส ยอมรับว่า ตัวเองเริ่มถลำลึก ในวงการยานรก จากที่เคยเสพก็ต้องค้า ซึ่งเขากล่าวว่า เราติดยาหนักมาก เสพจนเงินหมด ก็ต้องหาเงินด้วยการ ปล้น... หลังจากนั้นไม่นานก็ติดคุกเด็ก (บ้านเมตตา) ซึ่งการที่เราเข้าไปข้างใน ทำให้รู้จักคนในแก๊งโอรส จึงเป็นที่มาของการเข้าแก๊ง
“ตอนนั้นผมติดยาหนักมาก โดยเฉพาะยาบ้า ซึ่งที่หนักที่สุด คือเสพประมาณวันละ 200 เม็ด ตอนนั้นรู้แต่เพียงว่า เสพแล้วก็ต้องขาย... ถ้าเรานอนเราก็จะเสียรายได้ เราคิดแค่ว่า จะทำยังไงให้งาน (ค้ายา) อยู่กับเรา ผมใช้ชีวิตแบบนี้ทุกวัน เคยหลอนหนักสุดถึงขนาด จำใครไม่ได้ ทำร้ายคนในครอบครัวก็มีมาแล้ว”
หนีไม่พ้นวังวนวิวาท ค้ายา จนถูกขังเดี่ยว ตีตรวน
นายยุทธ เล่าต่อว่า อยู่วงการนี้ตั้งแต่ 15 ถึงอายุ 27 ที่เลวร้ายแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากสังคมที่เราอยู่ สังคมแก๊งที่เราเป็น เราก็ไม่ใช่คนรวยอะไร ตอนนั้นเป็นเด็กอายุ 15 ไปขายยา..ก็เกม (ถูกจับ) จากนั้นประกันออกมา ก็มาขายใหม่ ไม่นานก็เกม (ถูกจับ)
“เรียนก็ไม่จบ ชีวิตทำอะไรได้แค่นั้น ซึ่งถึงตอนนี้เราถูกจับมาแล้ว 5 ครั้ง ขึ้นศาลเด็ก 3 ครั้ง ศาลผู้ใหญ่ 2 ครั้ง (รอบแรก คดีอาวุธปืน 3 ปี 6 เดือน และอีก 6 ปี คดียาเสพติด 7 เม็ด แต่ถูกล่อซื้อ รวมเกือบ 10 ปี) ซึ้งถึงตอนนี้พ้นเรือนจำมาแล้ว 10 เดือน”
...
ชีวิตนักคุกเป็นอย่างไรบ้าง เอ็ม โอรส ยอมรับว่าเป็นคนเกเร มีทะเลาะวิวาท ไล่แทงคนอื่นบ้าง เพราะไปเจอไอ้คนที่ล่อซื้อเรา ทำให้เราถูกจับก็เลยมีทะเลาะวิวาทไล่แทงกันจนบาดเจ็บสาหัส การอยู่ข้างในหากเราสงบเสงี่ยม เราก็จะไม่มีรายได้
แต่เมื่อมีปัญหาเราก็อาจจะถูกขังซอย (ขังเดี่ยว) งดเยี่ยม ตีตรวน ซึ่งเวลาที่เป็นช่วงอิสระบ้างเราก็หมดสิทธิ์ที่จะได้รับมัน
“การอยู่ข้างใน จำเป็นต้องสร้างอิทธิพลบ้าง เช่น ขายยาเสพติด เปิดบ่อนการพนัน เมื่อก่อนอาจจะยังไม่คุมเข้ม แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว ส่วนวิธีนำยาเข้ามา ก็เหมือนที่เคยเห็นข่าวกันคือ ให้ลูกน้องมาโยนให้ข้างเรือนจำ นักโทษยัดก้นเข้ามาบ้างก็มี”
จาก เอ็ม โอรส สู่ เอ็ม อ้วนโพธิ์เรียง หันทำอาชีพสุจริต รายได้วันละ 800
“ตอนนี้ปลีกตัวออกมาจากแก๊งโอรส แม้ชื่อจะยังอยู่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ “เอ็ม โอรส” แต่เป็น “เอ็ม อ้วนโพธิ์เรียง” ซึ่งเป็นชื่อซอยบ้านเรา หันมาทำอาชีพสุจริต กลุ่มผมที่อยู่ในแก๊งโอรสหลายคนก็เลิกหมดแล้ว บางคนขายครีมทาหน้า บางคนขายขนมปังเหมือนผม”
...
นายยุทธนา บอกว่า ตอนนี้ ตนพยายามเปลี่ยนตัวเอง กลับตัวเป็นคนดี เลือกมาทำอาชีพสุจริต โดยทุกวันตอนเช้าจะทำอาชีพขายขนมปัง ส่วนตอนเย็นก็มาขับวินมอเตอร์ไซค์ มีรายได้วันละประมาณ 800 บาท ซึ่งแตกต่างจากสมัยก่อน ที่ค้ายาได้เงินเยอะ แต่ก็ไม่รู้สึกอยากกลับไปเป็นแบบเดิม
“เพราะครึ่งชีวิตของผมที่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ทำให้ตัวเองไปอยู่ในเรือนจำ แรงจูงใจที่ทำให้ต้องเปลี่ยน เพราะเห็นพ่อแม่แก่แล้ว เรามีลูกต้องดูแล จึงตั้งใจที่จะเลิกเสพยา ใช้วิธีค่อยๆ ลด จนกระทั่งหักดิบ สลบไป 3-4 วัน เราไม่อยากใช้ชีวิตแบบต้องมาคอยระแวงตำรวจจะมาจับเราเมื่อไหร่”
ยามนี้เราเลิกได้ กลับตัวแล้ว ก็อยากให้สังคมให้โอกาส ตอนนี้เราทำงานอะไรเพื่อสังคมได้ก็พยายามช่วยทำ ที่ผ่านมา ได้ไปทำงานช่วยเหลือสังคม
“แม้ภาพลักษณ์คนในแก๊งโอรสจะถูกมองว่าไม่ดี แต่ผมกล้าพูดเต็มปากว่าเลิกแล้ว พี่ๆ ที่รู้จักอีก 2 คนก็เลิกแล้ว ตอนนี้รู้สึกมีความสุขมาก...ไม่ต้องระแวงใคร เห็นเงินที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองก็รู้สึกดีใจ...
...
ส่วนเด็กรุ่นใหม่นั้น อยากจะบอกว่าอย่าไปยุ่งเลยกับยาเสพติด เพราะสุดท้ายเราก็สูญเสียทุกอย่าง อยากให้เชื่อตัวเอง เชื่อพ่อแม่ อย่าไปฟังคนอื่นมาก หากใครที่ก้าวพลาดไปแล้วอยากจะเลิก ก็ต้องตั้งใจ ของแบบนี้อยู่ที่ใจอย่างเดียว”
นี่คือชีวิตของชายที่ชื่อ “ยุทธนา โตวาท” หรือ “เอ็ม อ้วนโพธิ์เรียง” ที่ใช้ชีวิตผิดพลาด มาบอกเล่าอุทาหรณ์ ส่วนเขาจะเป็นคนดีได้จริงหรือไม่นั้น เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่เหนือสิ่งอื่นใด สังคมก็ควรให้โอกาสเขาด้วย
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน