ผ่านมาแล้ว 8 ปี สำหรับการตามหาตัว “น้องจีจี้” (น้องจีรภัทร ทองชุม) ที่ทางพ่อแม่พยายามตามหาลูกสาว หลังจากหายตัวไป เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2553 บริเวณปั๊มน้ำมัน อ.แก่งคอย จ.สระบุรี หลังจากมาช่วยพ่อแม่ขายพวงมาลัย..
ภาพความเจ็บปวดวันนั้น ยังคงสะเทือนใจยังถึงทุกวันนี้ ซึ่งปัจจุบันน้องจีจี้ จะมีอายุ ครบ 17 ปีแล้ว แต่ผู้เป็นแม่ก็ไม่เคยท้อถอย ทุกๆ วันจะออกมาตามหา แจกรูปให้กับผู้คนและยังมีหวังว่าสักวัน “ลูกน้อย” ที่เริ่มเติบใหญ่จะกลับคืนสู่อ้อมอก
นางมณี ทองชุม กล่าวความรู้สึกและกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ บอกกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ว่า “หากวันหนึ่งน้องกลับมา แม่จะขอเข้าไปกอดและบอกกับน้องว่า แม่รักลูกมาก”
เปิดใจแม่ผู้ไม่ย่อท้อ ตามหาลูกสาวทุกวันตลอด 8 ปี
นางมณี ที่ตอนนี้เป็นพนักงานในห้างแห่งหนึ่ง เล่าว่า ตอนนี้ไม่ได้ขายผลไม้แล้ว แต่มาทำงานเป็นพนักงานขายในห้างแห่งหนึ่ง ซึ่งตลอด 8 ปีทีผ่านมา เรายังคงตามหาลูกทุกวัน พยายามหาช่องทางทุกๆ ช่องทางเพื่อตามหาน้อง อย่างตอนนี้ เราจะเข้าบริษัทที่กรุงเทพฯ ทุกเดือน เราก็จะเดินทางไปยังขนส่งฯ เราก็จะติดรูปน้องไป เพื่อไปแจกบริเวณรถตู้ หรือ ตาม BTS ก็จะไล่แจกให้กับประชาชนเผื่อเขาจะแจ้งให้เบาะแส เพราะเราเดินทางไปกรุงเทพฯ-สระบุรีอยู่บ่อยๆ
...
“8 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยท้อถอย เพราะความเป็นแม่ ยังไงก็ต้องตามหาลูก เพราะความรักที่มีให้ลูกไม่เคยเลือนหาย เรามีความรู้สึกห่วงใย คิดถึงอยู่ตลอดเวลา ส่วนตอนนี้เราก็ทำหน้าที่แม่อย่างเต็มที่ ลูก 2 คนที่ยังเล็กเราก็คอยรับส่งที่โรงเรียน ส่วนลูกคนโต ตอนนี้อายุ 19 ปีแล้ว (อายุมากกว่าจีจี้ 2 ปี) ตอนนี้เขาก็ช่วยทำงานหาเงิน เลี้ยงดูน้องๆ บางครั้งเขาหาเงินมาได้ เขาก็จะโอนเงินมาให้”
ส่วนตัวแล้วแม่ยังเชื่อมั่นว่าเราจะเจอลูกสักวัน (น้ำเสียงสั่นเครือ) ส่วนที่ว่าเจ้าหน้าที่ตามร่องรอยน้องไปถึงที่ไหน เราก็ไม่สามารถบอกได้ เพราะยังถือเป็นความลับ แต่สิ่งที่กลัวที่สุด คือ กลัวว่าน้องจะถูกกักขัง ทำให้น้องกลับมาหาไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ก็คือรอ กับ ช่วยกันตามหา ไม่มีวันท้อถอย ตราบใดยังไม่ได้ลูกกลับมาอ้อมอกเราจะไม่ท้อเพราะ “ลูกรอกลับบ้านอยู่” ที่ผ่านมาก็ได้ไปกราบไหว้ขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บนบานว่า หากได้ลูกกลับมาจะขอบวชชี (โกนหัว) 3 เดือน โดยเราไปบนเกือบทุกที่ ได้ข่าวว่าที่ไหนศักดิ์สิทธิ์ก็จะไป
“เราคิดถึงลูกทุกวัน (เสียงสั่นเครือ) คิดถึงทุกเวลา ไม่มีวินาทีไหนที่ไม่มีคิด นอนร้องไห้ (ร่ำไห้...พูดต่อไม่ได้) เราภาวนาขอน้องปลอดภัย เจอตัวน้อง.. หากวันหนึ่งน้องกลับมา สิ่งแรกที่จะทำคือเข้าไปกอด...(นิ่ง ร้องไห้) อยากจะบอกว่า รักลูกมาก..”
สุดท้าย นางมณี ได้กล่าวไปถึงทุกคนว่า “ตอนนี้แม่ยังหาน้องจีจี้ไม่พบนะคะ หากใครเจอ หรือ พบเห็นคนที่หน้าตาคล้าย (ในรูป) กรุณาแจ้งเบาะแสเข้ามาเยอะๆ จะได้ช่วยกันพาน้องกลับบ้าน แม่คิดถึงลูกมาก” นางมณี กล่าวถึงลูกด้วยความคิดถึง หลังไม่ได้พบหน้ากัน 8 ปีเต็ม
...
กระจกเงา เผยสถิติเด็กหาย 3 ปีหลังสุด มากกว่า 400 คน ลดลงทุกปีแต่..
นายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อการต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา เปิดเผยกับทีมข่าวฯ ว่า ในรอบ 3 ปี ที่ผ่านมา เด็กหายมากกว่า 400 คนต่อปี แต่ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ของกระจกเงา กลับมีแนวโน้มลดลง... แต่เราไม่ได้มองว่ามันมีนัยสำคัญว่าเป็นตัวเลขว่าลดลงจริงๆ เพราะในปัจจุบันว่า ช่องทางการช่วยเหลือ รับแจ้งเหตุ หรือ แม้แต่ตัวผู้ปกครองเอง ก็มีทางเลือกมากขึ้น ดังนั้น เขาอาจจะไม่ได้แจ้งมาที่เรา..
“เวลาพ่อแม่ผู้ปกครองแจ้งความ หลังจากนั้นผู้ปกครองเขาอาจจะแชร์ภาพตรงในโลกออนไลน์ หรือ เดี๋ยวนี้มีหลายเพจที่รับเรื่องราวร้องทุกข์ ก็อาจจะมีการแชร์สู่สาธารณชน.. ซึ่งสุดท้าย มันก็อาจจะกลับมาที่กระจกเงาอยู่ดี”
ข้อมูลเด็กหายของมูลนิธิกระจกเงา ในรอบ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2558 - 2561 พบว่า...
ปี 2558 จำนวน 601 ราย
ปี 2559 จำนวน 439 ราย
ปี 2560 จำนวน 422 ราย
...
สถิติเด็กหาย 2560 ลดลง จากปี 2559 จำนวน 4%
สาเหตุเด็กหนีออกจากบ้าน ข้อมูลในปี 2560 พบว่า..
เด็กสมัครใจหนีออกจากบ้าน 353 ราย คิดเป็น 83.5%
ถูกลักพาตัว 5 ราย คิดเป็น 1%
พลัดหลง 32 ราย คิดเห็น 8%
อุบัติเหตุ 2 ราย คิดเป็น 0.5%
อื่นๆ (แย่งความเป็นผู้ปกครอง, ขาดการติดต่อ) 30 ราย คิดเป็น 7%
ส่วนในปี 2561 ตั้งแต่มกราคม - สิงหาคม มีจำนวน 214 คน
เด็กสมัครใจหนีออกจากบ้าน สะท้อนปัญหาครอบครัวในสังคมไทย
จากข้อมูลดังกล่าว หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหายฯ มูลนิธิกระจกเงา อธิบายให้เห็นภาพได้ว่า ตัวเลขเกือบ 90% เป็นเด็กที่สมัครใจหนีออกจากบ้าน ตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับตัวเลขเด็กหายในสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกัน
“สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นปัญหาอื่นๆ เช่น ความรุนแรงในครอบครัว การวางแผนครอบครัว หรือแม้กระทั่งความพร้อมในการมีบุตร โดยเมื่อเด็กออกจากบ้าน เด็กจะเข้าสู่ภาวะการดำรงชีพด้วยตนเอง โดยอาจจะตกเป็นเหยื่อความรุนแรงต่างๆ เช่น การถูกคุกคามทางเพศ การค้ามนุษย์ หรือเข้าสู่วงจรอุบาทว์ เช่น การค้าบริการ หากเป็นเด็กผู้ชายก็อาจจะไปเสพยา หรือ ค้ายาเสพติด ที่เลวร้ายที่สุด คือ เข้าสู่วงการอาชญากรเด็ก เพราะหากไปเร่ร่อน ก็ต้องไปรวมกลุ่ม ลัก วิ่ง ชิงปล้น”
...
ปัจจัยเหนีออกจากบ้าน หลักๆ มาจากครอบครัว แต่..ก่อนเวลาเด็กจะหนีออกจากบ้าน เขาไม่รู้ว่าจะไปไหนกับใคร ทำได้แค่ไปอยู่กับเพื่อนหรือคนรู้จัก แต่ปัจจจุบัน เด็กอาจจะรู้จักคนจากโลกออนไลน์ มีการชักชวนในฉันชู้สาว บางครั้งเด็กอาจจะยอมไปกับคนที่รู้จักผ่านโลกออนไลน์แค่วันเดียว ยิ่งเวลาเด็กอยู่บ้านคนเดียว หรือ อยู่กับผู้สูงอายุ ความไม่เท่าทันของวัยก็เกิดขึ้น ทำให้เขาไม่มีที่ปรึกษา การที่จะคุยด้วยภาษาเดียวกันก็ยาก บางทีเห็นเล่นโทรศัพท์ก็ไม่รู้..ว่าเด็กคุยอะไรกับใคร
"ทุกอย่างจะถูกมองย้อนกลับไปตั้งแต่เริ่มต้นการวางแผนครอบครัว การทำแท้ง ทอดทิ้งเด็ก ทุกอย่างมีการเชื่อมโยงกัน หรือ สิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด คือ พ่อแม่ต้องปรับพฤติกรรม หาเวลาคุยกับลูกบ้าง ถามเขาว่ามีปัญหาอะไรบ้าง เรียนเป็นอย่างไร แต่หากไม่คุยกับเขา เขาก็จะไปคุยกับคนอื่น"
สถิติย้อนแย้ง วอน สตช. จัดเก็บข้อมูลเป็นระบบ วอนพลเมืองดีตรวจสอบให้ดีก่อนแชร์ตามหาเด็กมิเช่นนั้นจะเป็นรอยด่างชีวิตเด็ก
หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อการต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา ยอมรับว่าแม้ตัวเลขเด็กหายจะดูมีแนวโน้มลดลงจากการเก็บข้อมูลของมูลนิธิ แต่..มันอาจจะย้อนแย้งกับความเป็นจริง ส่วนตัวเชื่อว่าสถิติจริงๆ น่าจะมากกว่านี้ เพราะนี่คือปัญหาระดับประเทศ ดังนั้น เราอยากจะชี้ไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะว่าเวลาเกิดเหตุคนหาย พ่อแม่จะไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ ดังนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) มีตัวเลขตรงนี้แล้วหรือยัง
สถิติข้อมูลตำรวจเก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้หรือไม่อย่างไร เช่นเดียวกัน ผมนั่งทำงาน ผมรับเรื่องเข้ามาทุกวัน แม้เรื่องที่เข้ามาเขาไม่ได้แจ้งมาโดยตรง เช่น มีการโพสต์ไว้ในโลกออนไลน์ เราก็ต้องตรวจสอบ หากเราประสานไปแล้วยังไม่พบตัว ก็จะเข้าสู่กระบวนการตามหา ซึ่งตรงนี้จะเป็นเลขที่เรานับ แต่บางเคส มีการแชร์ โพสต์ภาพ แต่เมื่อไปเช็กแล้วพบว่าเป็นภาพเก่า ตามหาเจอแล้ว แบบนี้ก็จะไม่นับเป็นตัวเลขคนหายของเรา..
แต่ในความเป็นจริง หากสื่อหรือเพจใดก็ตาม เวลาคนส่งภาพให้ช่วยแชร์ตามหาคน เราจะไม่แนะนำให้แชร์ภาพในโลกออนไลน์เลย เราควรจะใช้วิธีการสืบสวนก่อน โดยเฉพาะการแชร์ภาพเด็กสมัครใจหนีออกจากบ้าน ซึ่งเด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กวัยรุ่น อายุ 11-18 ปี
“พอเราแชร์ภาพแล้ว..เราไม่ได้เจอเด็กจากการแชร์ แต่บางครั้งเด็กกลับบ้านมาเอง หรือ มีการสืบสวนจนพบ เช่น การได้ข้อมูลจากเฟซบุ๊ก หรือ เพื่อน แต่เมื่อเราแชร์ภาพในอินเทอร์เน็ตแล้ว ลบไม่ออก ตรงนี้เปรียบเสมือนรอยด่างที่ติดตัวเด็ก ไม่ว่าเด็กจะไปเรียนสถาบันใด แค่เสิร์ชชื่อตัวเองในกูเกิล ชื่อมันก็ขึ้นแล้ว ว่า “เคยเป็นเด็กหาย” เมื่อ 3 ปีมาแล้ว ภาพเด็กหายที่วนเวียนในโซเชียลมีเดีย บางคนเขากลับบ้านมา 6-7 ปีแล้ว แต่ภาพเด็กเหล่านี้ก็ยังถูกกลับมาแชร์อีก”
ทางกระจกเงา จะใช้วิธีการประชาสัมพันธ์ หรือจะประกาศ เราจะเลือกเคสใหญ่ๆ คือ เคสเด็กถูกลักพาตัว ผลัดหลง หรือ ผู้สูงอายุที่สมองเสื่อม
สำหรับ เคสเด็กถูกลักพาตัวนั้น คนร้ายส่วนใหญ่ไม่ค่อยมียานพาหนะ ส่วนมากก็จะเดิน พาขึ้นรถประจำทาง ซึ่งเคสลักษณะนี้คนร้ายจะพาไปเจอกับสาธารณชนจำนวนมาก ดังนั้น สิ่งที่เราจะต้องทำคือ ประกาศในการแจ้งเบาะแส ถามว่ามีผลกระทบมั้ยก็มี แต่ขอให้ยืนยันว่า ได้แชร์จากเพจของกระจกเงา หากวันหนึ่งเราเจอตัวเด็ก เราก็จะลบภาพนั้นออกเลย..
นายเอกลักษณ์ กล่าวว่า ถึงแม้จะมีภาพบางส่วนที่ยังฝังอยู่ในส่วนอื่น แต่อย่างน้อยเราพยายามลบข้อมูลเหล่านี้ออกทั้งหมด...ถึงแม้บางภาพจะถูกฝังในกูเกิล...แต่หากต้นฉบับถูกลบออกไปในระยะเวลาหนึ่งแล้ว ภาพดังกล่าวก็จะหายไป
"แต่บางคนดึงภาพไว้แล้วไปแชร์ในเฟซบุ๊กตัวเอง แล้วไม่ลบออก แบบนี้ก็ยังจะถูกฝังอยู่ ซึ่งบางครั้งเฟซบุ๊กจะเตือน “วันนี้ในปีที่แล้ว”คนเดิมก็อาจจะแชร์อีก มันก็กลับมาแชร์วนๆ อีก"
แค่ 2 ขั้นตอน ตรวจสอบก่อนแชร์ข้อมูลเด็กหาย
1.การเป็นพลเมืองในโลกอินเทอร์เน็ต อยากให้มีการตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อน เช่น แชร์ข้อมูลจากเพจที่น่าเชื่อถือ เช่น กระจกเงา หากยังมีลิงก์อยู่ ก็ยืนยันได้ว่ายังไม่พบตัว
2.หากเจอภาพคนหาย ก่อนที่คุณจะกดแชร์ คุณสามารถส่งมาใน Inbox ของเรา เพื่อให้ทีมงานตรวจสอบก่อน เราก็จะตรวจสอบให้ พร้อมใปประสานงานกับครอบครัว
ผลกระทบจากการถูกแชร์ภาพเก่า เด็กไม่ยอมไปโรงเรียน ซ้ำร้ายต้องเปลี่ยนชื่อสกุล
นายเอกลักษณ์ ยอมรับว่า การแชร์ภาพเก่าที่มีข้อมูลเด็กหาย แต่เด็กคนดังกล่าวได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติแล้ว จะเกิดผลกระทบโดยตรงกับตัวเด็ก คือ เด็กบางคนโทรมาปรึกษาเพราะไม่อยากไปโรงเรียน อายเพื่อน.. เรื่องบางเรื่อง รู้แค่ในครอบครัว แต่เมื่อประกาศออกไป กลายเป็นรู้กันทั้งโรงเรียน
“หากเป็นเด็กผู้หญิงก็จะถูกคิดในทางไม่ดี อคติ หรือ เด็กบางคนจะใช้วิธีเปลี่ยนชื่อ หากพ่อแม่บางคนมาแจ้งกับเรา เราจะย้ำเสมอว่าอย่าเพิ่งแชร์ในโลกออนไลน์ เพราะเราต้องการสืบสวนให้เสร็จสิ้นมาก่อน..เพราะการที่เด็กหนีออกจากบ้านไป เด็กก็มักจะทิ้งร่องรอยของการสื่อสารเสมอ เพราะเขาก็ใช้อินเทอร์เน็ต เฟซบุ๊ก เราจะสามารถแกะรอยได้ว่าเด็กไปกับใคร"
ข้อจำกัดในการตามหาขอกระจกเงา จะตามหาถึงเมื่อไหร่ นายเอกลักษณ์ เผยว่า เราจะตามหาเขาไปตลอด จนกว่าครอบครัวจะเลิกตามหา เราไม่กำหนดว่ากี่ปี จะเลิกก็ต่อเมื่อว่าพ่อแม่พี่น้องเขาเลิกตาม บางที ครอบครัวที่ตามหา เราก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้ โทรไม่ติด ส่งจดหมายไปไม่ตอบ หากเป็นแบบนี้ เคสนี้จะถูกระบุว่าเป็น “เคสปรึกษา” ไม่ใช่ “เคสดำเนินการ” ถ้าคนไหนยังไม่เจอตัว เราจะระบุว่าเป็น “เคสสีแดง” หากเจอแล้วก็จะเป็น “สีเขียว”
บางเคสพ่อแม่ไม่ประสงค์ติดตาม เช่น บางคนสมัครใจหนีออกจากบ้าน พอหายไป 3-4 ปี พ่อแม่อาจจะรู้สึกว่าลูกโตแล้ว ก็เลิกติดตาม บางทีลูกโทรมาบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง เขาอาจจะรู้สึกว่าโตแล้ว แต่ส่วนใหญ่หากเป็นเด็กเล็กหาย พ่อแม่ก็จะตามตลอด
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์
อ่านข่าวเพิ่มเติม
"จะตามหาลูกจนหมดลมหายใจ" สัมผัสความรักที่ยิ่งใหญ่ พ่อน้องจีจี้ ผู้ไม่สิ้นหวัง!