กลายเป็นเรื่องดราม่า และมีนักศึกษามายื่นหนังสือ โดยระบุว่าเป็น “การรุกล้ำความเป็นส่วนตัว” ของนิสิตนักศึกษา หลังจากเมื่อเร็วๆ นี้ ครม.ได้อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง กำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา ฉบับแก้ไข ตามข้อเสนอของ ก.ศึกษาธิการ โดยมีสาระสำคัญ คือ..
1. ห้ามการรวมกลุ่ม มั่วสุม อันน่าจะก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยหรือขัดต่อศีลธรรมของประชาชน
2. ห้ามกระทำเกี่ยวกับการแสดงพฤติกรรมทางชู้สาวอันไม่เหมาะสม เดิมห้ามเฉพาะในที่สาธารณะเท่านั้น และเพิ่มเติมห้ามทำการลามกอนาจาร
3. ห้ามกระทำเกี่ยวกับการออกนอกสถานที่พักเพื่อเที่ยวเตร่หรือรวมกลุ่มอันเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น เดิมห้ามเฉพาะกลางคืน
จากการอ่านทั้ง 3 ข้อ รู้สึกอย่างไรบ้าง... ขอความเห็นทดไว้ในใจสักนิด
ทีนี้...ลองมาฟัง เจ้าหน้าที่ในฐานะ ผู้ปฏิบัติ อย่างศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือนักเรียน (ฉก.ชน.) เรียกง่ายๆ ก็คือ “สารวัตรนักเรียน” ซึ่งในฐานะหัวหน้าศูนย์ “ธีร์ ภวังคนันท์” มองเรื่องนี้ว่า...กฎกระทรวงตรงนี้ช่วยให้ เจ้าหน้าที่สารวัตรนักเรียน หรือ เจ้าหน้าที่ส่งเสริมความประพฤตินักเรียน (พสน.) ทำงานได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าจะทำให้สารวัตรนักเรียนสามารถดูแลเด็กนักเรียนได้ดีขึ้น เช่น “เงื่อนเวลา” ก็หายไป แต่จะมีข้อจำกัดในเรื่องกำลังคน และไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำ
...
“ครูส่วนใหญ่ที่ถูกแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานออกไปปฏิบัติงาน ผลที่ตามมา คือ ทุกคนมีภาระงานซ้อน จากการทำงาน ถึงแม้ในพื้นที่ตัวเองจะทำเต็มที่แล้ว แต่นอกเหนือจากพื้นที่ที่รับผิดชอบก็ยังรู้สึกน่าเป็นห่วง ด้วยเหตุนี้ จึงอยากจะฝากผู้เกี่ยวข้องว่าควรจะมีเจ้าพนักงานที่ดูแลรับผิดชอบโดยตรงจำนวนหนึ่ง ซึ่งได้เริ่มต้นที่ศึกษาธิการจังหวัดไปแล้ว แต่ก็อยากที่จะได้มากขึ้น”
ที่ผ่านมา เรามีศูนย์ทั่วประเทศ 226 จุด ใช้อัตรากำลังจำนวนมาก มีหน้าที่ซ้อน(ทำงานอื่นด้วย)ด้วย ที่ผ่านมา มีการสนธิกำลังกันหลายฝ่าย พอจะสานต่องานกันได้ระดับหนึ่ง แต่ปัจจุบัน การซับซ้อนเรื่องสถานการณ์มันมีมากขึ้น ตรงนี้เองเป็นเหตุให้ทาง ครม. มีการเสนอปรับตรงนี้ ซึ่งต้องขอบคุณที่เสนอปรับเนื้อหาโดยเห็นความสำคัญและเข้าใจการทำงาน หลังจากนี้คงต้องให้ฝ่ายวางแผนมาอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้ฝ่ายปฏิบัติเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่า วิธีการปฏิบัติมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ต้องทำอย่างไร...
จากตัวหนังสือที่เขียนมา ทั้ง 3 ข้อ คิดว่ากว้างไปหรือไม่ นายธีร์ ตอบว่า “ผมก็ตีความตามที่ผมเข้าใจ” และอธิบายว่า ตรงนี้ผมก็ไม่ได้เข้าใจ 100% เนื่องจากไม่ใช่คนเสนอเรื่องนี้ แต่ก็เป็นผู้ร่วมตัดสินใจเบื้องต้น..
“เชื่อว่ากฎนี้ออกมา จะทำให้การแก้ปัญหาของเราดีขึ้น เพราะที่ผ่านมา มีปัญหาเรื่องเวลา ทั้ง “กลางวัน” หรือ “กลางคืน” และปัญหาก็มีทั้งในที่ “สาธารณะ” และ “ไม่ใช่ที่สาธารณะ”
ความเห็นส่วนตัว “มั่วสุม” ไม่น่าจะใช่เรื่องดี ชี้การเมืองคือเรื่องของทุกคน
นายธีร์ กล่าวว่า คำว่า “การมั่วสุม” เป็นการสนับสนุนคำสั่ง คสช. 22/2558 ด้วย เพราะเป็นเรื่องมั่วสุมแข่งรถจักรยานยนต์แล้วเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งทั้งหมดนี้คือความห่วงใยของผู้หลักผู้ใหญ่ เพื่อรักษาชีวิตเด็ก ซึ่งบางครั้งน้องๆ ไม่เข้าใจ ทั้งที่ผู้ใหญ่อยากให้น้องได้รับโอกาสสูงสุด
แต่สิ่งที่ควบคุมยากกลับเป็นเรื่อง “สื่อ” บางคนอาจจะมีวิจารณญาณเลือกรับ หรือจำแนก ที่ยังไม่เพียงพอ การตัดสินใจก็เป็นไปตามข้อมูลที่ได้เรื่องนี้ “ไม่ใช่ความผิดของเด็ก” เลย
เด็กมองว่าเป็นการ “ควบคุม” มากกว่า “ดูแล” นายธีร์ ตอบประเด็นนี้ว่า ตนไม่แน่ใจ...ส่วนตัวเชื่อมั่นในความเห็น รมว.ศึกษาธิการ (นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ ) ซึ่งท่านก็เป็นหมอด้วย ในฐานะเด็ก อาจจะมองว่าเป็นการควบคุม แต่สำหรับผู้ใหญ่มองว่าเด็กยังมีวิจารณญาณไม่สมบูรณ์ครบถ้วนเท่ากับผู้ใหญ่ ส่งผลให้การทำความเข้าใจในตรงนี้อาจจะคลาดเคลื่อนได้
...
รู้สึกอย่างไร ที่ตอนนี้มีการพยายามโยงเรื่องนี้ว่าเกี่ยวข้องกับการเมือง นายธีร์ กล่าวย้ำว่า “นี่คือความเห็นส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับองค์กรนะ ผมว่าไม่เกี่ยวนะ” คำว่า “มั่วสุม” มันน่าจะหมายถึง การทำเรื่องไม่ดี หากเรื่องไม่ดีก็ต้องดูเป็นเรื่องๆ รายๆ ไป แต่หากว่าจะรวมตัวกันทำกิจกรรมทางการเมือง ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องไม่ดีนะ เพราะ ประชาธิปไตย คือ เรื่องของการเมืองอยู่แล้ว หากทำเรื่องที่ถูกต้อง เหมาะควร ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะการเมืองคือเรื่องของทุกคนในชาติ ทุกคนสามารถทำกิจกรรมได้ แต่ถ้ามา “มั่วสุม” เพื่อทำเหตุไม่ดี มันคนละเรื่องกัน..
...
ในข้อที่ 3 ที่มีการตัดคำว่า “กลางคืน” ออกไป คำว่ากลางคืนนี้หมายถึงเวลาใด นายธีร์ อธิบายตามความเข้าใจ และในฐานะผู้ปฏิบัติมาอย่างยาวนานว่า กลางคืน คือ ตั้งแต่พระอาทิตย์ตก เพราะโดย พสน. มีอำนาจส่วนหนึ่ง คือ สามารถเข้าตรวจค้นยานพาหนะและเคหสถานโดยไม่ต้องใช้หมาย ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นและตก ดังนั้น เมื่อตัดเวลากลางคืนออกจึงสามารถทำได้ โดยไม่ต้องห่วงกรอบเวลา
พสน.ไม่ใช่ตำรวจ ไม่มีอำนาจไล่จับ จะเน้นดูแลความปลอดภัยของเด็กเป็นหลัก
หัวหน้าศูนย์ ฉก.ชน. อธิบายอำนาจหน้าที่และหลักการวิธีปฏิบัติว่า เป้าหมายของเราคือ ความปลอดภัยของเด็ก หากพบเจอเด็กในจุดล่อแหลมต้องพาน้องๆ ไปอยู่ในจุดที่ปลอดภัย เช่น ไปที่ศูนย์ของ พสน. ซึ่งเป็นสถานที่ราชการ จากนั้นจะตามผู้ปกครองหรือครูมารับ
“เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน เด็กบางคนดึกดื่นแล้วยังกลับไม่ถึงบ้าน บางคนต้องไปเรียนพิเศษ เราจะพิจารณาตามข้อเท็จจริง หากเด็กมากับผู้ปกครอง ต่อให้ใส่ชุดนักเรียน เราก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะถือว่า “อยู่ในการปกครองแล้ว” หากเด็กกลับบ้านเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านแล้ว ก็ถือว่าผู้ปกครองรับรู้แล้ว เราก็จะแค่ตรวจตราปกติ ขอบข่ายการดูแล จะดูแลตั้งแต่อายุ 18 ปีลงมา แต่หากพบว่าเด็กอยู่ในชุดนักเรียน ในเวลากลางคืน และประเมินว่าน่าเป็นห่วง ก็จะเชิญตัวเด็กมาที่ศูนย์ เพราะหากเกิดเหตุร้ายขึ้นเราก็จะให้การช่วยเหลือไม่ทัน”
...
ปัญหายกพวกตีกันลดน้อยลง... ปัญหาทางเพศ น่าเป็นห่วงมากขึ้น!
เมื่อถามว่า อะไรคือปัญหาที่น่าห่วงมากที่สุด สำหรับการช่วยเหลือและแก้ปัญหาเรื่องเด็กๆ นายธีร์ ยอมรับว่า น่าเป็นห่วงทั้ง 3 ข้อ ไม่ว่าจะเป็นการรวมกลุ่มแว้น ปัญหาการทำผิดกฎหมาย หรือแม้กระทั่งเรื่องชู้สาว
แต่ที่ผ่านมา ปัญหายกพวกตีกัน นั้นถือว่าลดน้อยลงมาก 5 ปีก่อน มีการยกพวกตีกันรวมๆ แล้วทั้งประเทศเป็นพันคน แต่ปี 2560 เหลือ 200 กว่าคนทั่วประเทศ
“การทะเลาะวิวาทในลักษณะกลุ่ม (ในความรับผิดชอบ สพฐ.)ในลักษณะโรงเรียนต่อโรงเรียน หายไปเกือบหมด มีเพียงรายๆ แบบบุคคลต่อบุคคล โดยสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะเราพบลักษณะพิเศษเกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีหลัง”
กลุ่มที่ทะเลาะกันส่วนใหญ่เกิดจากความเข้าใจผิด ยกตัวอย่าง คือ มีน้องคนหนึ่งมีอาการทางจิตเวช (ป่วยออทิสติก) หากน้องคนนี้อยู่ในโรงเรียนทุกคนจะทราบว่าน้องป่วย แต่เมื่อน้องเดินออกนอกโรงเรียนก็ไม่มีใครทราบ ระหว่างนั้นมีนักเรียนต่างโรงเรียนเดินมาเป็นกลุ่มพูดคุยกันแล้วพูดอะไรที่ไม่เข้าหู น้องคนนี้ก็อาจจะพูดสวนขึ้นทันที
ตรงนี้ทำให้เกิดประเด็นความขัดแย้ง โหมไฟด้วยการขยายประเด็นผ่านโซเชียลมีเดีย “เฮ้ย..ไอ้โรงเรียนนี้มันมีปัญหากับเราว่ะ” เท่านั้นแหละ กลายเป็นเรื่องระหว่างโรงเรียน ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่เกิดขึ้นบ่อยมาก (ลากเสียงยาว) เราจึงต้องนำเรื่องนี้มาทำความเข้าใจกับแต่ละโรงเรียน ครู หรือแม้กระทั่งเด็กๆ เขาก็เริ่มที่จะเข้าใจมากขึ้น บางโรงเรียนถึงขั้นทำคลิปขึ้นมาอธิบายสิ่งที่ยังค้างในโซเชียลเน็ตเวิร์กว่า “เรื่องนี้เราแก้ปัญหากันไปแล้ว” ปัญหาตรงนี้จึงเบาบางลง
ส่วนปัญหาที่หนักหน่วงขึ้น คือ ปัญหาเรื่องเพศ นายธีร์ ยกตัวอย่างเคสที่เกิดขึ้นที่ จ.บุรีรัมย์ กรณียายคนหนึ่งมาเจอหลาน เห็นเพื่อนเด็กชายกำลังทำอะไรบางอย่างกับหลาน ป.1 จากนั้นเป็นข่าวออกไปว่า “เด็กอายุ 6-11ปี” รุมข่มขืน ป.1 จับกดน้ำ
กรณีนี้ตนเดินทางไปเคลียร์ปัญหาด้วยตัวเอง และพบความจริงว่าเป็นเรื่อง “โอละพ่อ” สาเหตุมาจากเขาเล่นพ่อแม่ลูกกัน สมัยก่อนอาจจะเล่นแบบไม่มีโซเชียลฯ ก็อาจจะแค่ขายของกัน ทำกับข้าวกัน แต่เด็กวัยนี้เขาเห็นอย่างอื่นจึงเกิดการเลียนแบบ กว่าจะเคลียร์กันได้ต้องให้หมอมาอธิบายว่า เด็กๆ ในวัยนี้ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเพศ แต่ผู้ใหญ่เห็นจึงกลายเป็นข่าวใหญ่โต
อย่างไรก็ดี ปัญหานี้จะเกิดขึ้นมากในระหว่างเด็กมัธยม ไม่ว่าจะเป็น ม.ต้น หรือ ม.ปลาย เพราะร่างกายเขาเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่เราพยายามแก้ไขคือ การสร้างความเข้าใจเรื่องเพศศึกษา ซึ่งการเรียนก็ไม่ใช่มีแต่เรื่องเซ็กซ์ แต่หมายถึง เพศวิถี การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย วัฒนธรรม และวิถีชีวิต
นักเรียนหนุ่มสาว จับมือกันในที่สาธารณะ ไม่เหมาะ!?
เด็กๆ ที่ชอบพอกัน สามารถทำได้แค่ไหน... ทีมข่าวฯ ถาม หัวหน้าสารวัตรนักเรียน ตอบว่า “จับมือกันในที่สาธารณะในชุดนักเรียนก็ไม่เหมาะ!!”
โอ้โห..ทำไมขนาดนั้น นักข่าวถามแทนเด็กรุ่นใหม่ นายธีร์ อธิบายว่า สำหรับวัฒนธรรมไทยถือว่ายังไม่เหมาะ
เพราะ การจับมือ คือ จุดเริ่มต้นของการเลยเถิดไปอย่างอื่น หากในที่สาธารณะยังจับมือ แล้วไม่ใช่ล่ะจะเป็นอย่างไร เราต้องใช้โอกาสนี้เข้าไปพูดคุยอย่างกัลยาณมิตร เพราะตอนนี้เด็กเข้าใจแค่เรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้า “การรักกันไม่ใช่เรื่องผิด...แต่หากเป็นไปได้ก็อยากให้พ่อแม่ได้รับรู้” เราจะเข้าไปสอนเขา ใครที่ผ่านวัยรุ่นมาจะรู้ว่าของแบบนี้มันสปาร์กไว หากตั้งครรภ์ไม่พร้อมขึ้นมาผลจะเป็นอย่างไร มีปัญหาตามมามากมาย
แบบนี้ถ้าเห็นว่า “หอมแก้ม” กัน จะทำอย่างไร หัวหน้าสารวัตรนักเรียนตอบสวนทันควันเลย ว่าจะเชิญตัวทั้งคู่มา (แบบกัลยาณมิตร) เพื่อแจ้งให้ผู้ปกครองได้รับทราบ เราต้องควบคุมไว้ก่อน ก่อนที่ปัญหาระยะยาวจะเกิด
“เด็กๆ อาจจะรู้สึกว่า ฉันชอบคนนี้ ชอบกันเพราะหน้าตาหล่อ สวย หากคบๆ ไปสัก 2-3 เดือนรู้สึกว่าไม่ใช่ก็เลิกกัน เราจะสอนให้เขายับยั้งชั่งใจ แต่ถ้าคิดดีแล้ว พ่อแม่เห็นด้วยก็ไม่ว่าอะไร”
บทลงโทษมี 4 ขั้น ตามความผิดเบายันหนัก ตามระเบียบ ก.ศึกษาธิการ
ในเมื่อมีกฎระเบียบ ย่อมมีบทลงโทษ การลงโทษสำหรับเด็กนักเรียนที่ฝ่าฝืนกฎจะเป็นอย่างไร หัวหน้าศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน กล่าวว่า ตรงนี้เรามีระเบียบว่าด้วยการลงโทษอยู่แล้ว ซึ่งขึ้นอยู่กับระเบียบของ ก.ศึกษาธิการ ประกอบด้วย
1. ว่ากล่าวตักเตือน (ใช้กรณีนักเรียนทำผิดไม่ร้ายแรง)
2. ทำทัณฑ์บน (ประพฤติตัวไม่เหมาะสมตามกฎกระทรวงว่าด้วยความประพฤติของนักเรียนฯ กรณีทำเสื่อมเสียชื่อเสียงและเกียรติของสถานศึกษา / ฝ่าฝืนระเบียบของสถานศึกษา / รับการว่ากล่าวตักเตือนแล้วไม่เข็ดหลาบ การทำทัณฑ์บนให้ทำหนังสือและเชิญบิดามารดาหรือผู้ปกครองมาบันทึกรับทราบความผิดและรับรองการทำทัณฑ์บนด้วย
3. ตัดคะแนนความประพฤติ เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการตัดคะแนนความประพฤตินักเรียนและนักศึกษาของแต่ละสถานศึกษา และให้บันทึกข้อมูลไว้เป็นหลักฐาน
4. ทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ใช้กรณีนักเรียนและนักศึกษากระทำความผิดสมควรต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
นายธีร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่อยากฝากคือ อยากให้คุณพ่อคุณแม่ใส่ใจลูกมากๆ ที่ผ่านมา พ่อแม่มักให้ความสำคัญกับลูกเล็กๆ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ผิด แต่..อย่าลืมถ่วงน้ำหนักดูแลลูกคนโตด้วย เขายังโตไม่สมบูรณ์ อย่าลืมกอดเขาทุกวัน บอกเขาว่า “รัก..เป็นห่วง” นี่คือสิ่งที่เด็กๆ ทุกคนอยากได้ แต่ถ้าไม่เคยกอดเลย ก็ต้องค่อยๆ เข้าหานะ..เพราะบางทีเด็กโตแล้ว เริ่มวัยรุ่นแล้ว เขาก็จะเกร็งๆ พยายามบ่อยๆ เขาจะชินเอง เพราะเขาอยากรับรู้ความรู้สึกว่ารักจากพ่อแม่
“พ่อแม่ที่ไม่มีเวลากรุณาเรียนรู้ 2 องค์ความรู้ คือ 1. พัฒนาการตามช่วงวัยของเด็ก 2. วิธีการใช้เวลาที่มีน้อยให้เกิดประโยชน์ เช่น ทำอย่างไรก็ได้ให้เด็กได้รับรู้ถึงความรักอย่างเต็มอก และแสดงออกให้เขารู้ว่าเราเหนื่อย เราทำงานเพื่อเขา เป็นไปได้ก็ดึงเขาไปทำด้วย หรือทำกิจกรรมร่วมกัน”
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน