หลายๆ คนเชื่อมือแพทย์ศัลยกรรมของ “เกาหลี” หากไปทำแล้ว จะเสกสรรค์ปั้นแต่งให้สวยหล่อ ดังเจ้าชายหรือเจ้าหญิง นางเอกพระเอกที่หล่อสวย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว การผ่าตัดทุกครั้งย่อมมีความเสี่ยง เฉกเช่นเดียวกับ “เม จีระนันท์ กิจประสาน” ที่ไปทำหน้าอกแล้วติดเชื้อรุนแรง โอกาสรอดชีวิต 10% แต่เธอก็รอดมาได้อย่างเฉียดฉิวและยังคงทุกข์ทรมานกับสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นบทเรียนและจำไปจนวันตาย
เช่นเดียวกับ “คุณลี่” (ขอสงวนชื่อ-นามสกุล) นักธุรกิจสาวมีหน้ามีตาในสังคม เธอตัดสินใจไปทำจมูก โดยที่ไม่คิดมาก่อนว่าจะพบกับเรื่องราวเลวร้าย แต่สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นความเจ็บปวดที่ต้องทนทุกข์ รวมไปถึง คดีความที่ต้องต่อสู้
คุณลี่ เล่าว่า สาเหตุที่ไปทำศัลยกรรม เสริมจมูก ที่เกาหลี เพราะเห็นเพื่อนไปทำมา แล้วดูสวยดี จากนั้นเขาก็แนะนำเอเจนซี่ให้ โดยมีการเปรียบเทียบราคาที่ไทยก่อน ซึ่งก็มีราคาสูงใกล้เคียงกัน จึงตัดสินใจไปทำ ทั้งที่ไม่ได้ศึกษาอะไรเลย หมอแนะนำให้ทำอย่างไรก็ทำ โดยใช้เงินประมาณ 5.6 แสนบาท (ราคาไม่รวมที่พักกับค่าเครื่องบิน)
...
“ตอนแรกเอเจนซี่ บอกว่า เป็นโรงพยาบาล แต่พอถึงพบว่าเป็นคลินิก แต่ก็ตัดสินใจทำเพราะเราเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว ซึ่งภาพรวมก็เป็นคลินิกที่ดูดี ในความโชคดีของเรา คือ การไปทำศัลยกรรมครั้งนี้คุณแม่ได้เดินทางไปด้วย (ทีแรกบอกไม่ต้องไปก็ได้) แต่เราพาไป คุณแม่จึงทำการถ่ายรูปทุกขั้นตอนไว้”
นักธุรกิจสาวเล่าว่า ขั้นตอนการทำศัลยกรรมของเธอนั้น ได้มีการใช้กระดูกหลังหู และกระดูกอ่อนซี่โครง และก็ใช้ ซิลิโคน โดยสาเหตุที่ตัดสินใจทำเพราะตอนเด็กๆ เราไร้เดียงสา ไปทำจมูกด้วยการฉีดฟิลเลอร์ ชนิดที่มันไม่สลายไปเอง ทำให้จมูกบวมดูใหญ่เกินไป และมีเจ็บบ้างเป็นบางครั้ง ดังนั้น เมื่อต้องทำอีกครั้งจึงจำเป็นต้องขูดเอาของเก่าออก ซึ่งหากจะเอาออกก็จะทำให้จมูกผิดรูปไป ดังนั้นจึงต้องแก้ด้วยการทำศัลยกรรม
ที่ผ่านมา เธอเล่า ว่าเธอไม่ใช่คนติดศัลยกรรม และไม่เคยทำอะไรกับร่างกายเลย เพียงแต่ครั้งนี้ต้องการแก้ปัญหาเรื่องจมูก จึงตัดสินใจใช้เงินพร้อมความหวังว่าจะทำให้เธอดูดีมากยิ่งขึ้น
ประสบการณ์เลวร้าย หนองไหลออกจากบาดแผลที่ซี่โครง ยิ่งนานวันยิ่งเจ็บปวด
เมื่อถึงเวลาการผ่าตัด คุณลี่ เล่าว่า เมื่อไปถึงที่เกาหลี ได้มีการเจาะเลือด แล้วพาตัดเลย โดยใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 5-6 ชั่วโมง เนื่องจากเป็นการผ่าตัดใหญ่ มีการวางยาสลบ ทุบกระดูกเก่า เอาฟิลเลอร์ออก เอากระดูกอ่อนจากซี่โครง(ใกล้ปอด) กระดูกหลังหูไปทำ ซึ่งมีการแก้และเสริมหลายจุด
“หลังจากทำเสร็จ...คืนนั้นทรมานมาก นอนไม่ได้ทั้งคืน เจ็บซี่โครงมาก เขาบอกว่า “ก็เจ็บแบบนี้ทุกคน” เรายังโชคดีที่มีแม่คอยดูแลตลอด พร้อมทั้งถ่ายรูปอัพเดตไว้ ซึ่งคุณแม่ถ่ายทุกอย่างไว้ รวมถึงหน้าของคุณหมอ โดยเรามีหนังสือที่เป็นใบรับรองแพทย์ด้วย โดยมีหลักฐานทั้งหมด โดยเราได้มีการพักฟื้นที่นั่นอีกไม่กี่วัน”
หลังผ่าตัด 10 วัน ซี่โครงบวมขึ้นมา จากนั้นอีกไม่กี่วัน ก็เริ่มมีหนองไหลออกมาจากบาดแผลที่ผ่านการเย็บไปแล้ว ตัดไหมไปแล้ว หนองที่ไหลออกมาเยอะมาก ไหลไม่หยุด คืนนั้นได้ไปหาหมอ หมอแนะนำว่าให้กรีดแผลเพื่อที่จะล้างแผลข้างใน แต่ด้วยความกลัวทุกสิ่งอย่าง จึงยังไม่กล้าที่จะเปิดแผลตอนนั้น
...
กระทั่งเช้า หมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ที่พัทยา เขาก็แนะนำว่ายังไงก็ต้องเปิดปากแผล เขา ฉีดยาชา กรีดเบาๆ แล้วล้างแผล จากนั้นเขาก็เอาผ้าก๊อซปิดปากแผลไว้ และให้มาล้างแผลทุกวัน แต่เนื่องจากเราอยู่ที่ จ.ระยอง เราจึงไปรักษาที่ รพ.ระยองต่อ เราล้างแผลที่โรงพยาบาลทุกวัน จนเกือบ 1 เดือนหลังทำศัลยกรรม หนองก็ยังไหลออกมาทะลุผ้าก๊อซ
หมอจึงแนะนำว่าควรจะทำความสะอาดบาดแผลให้ลึกขึ้น เพราะที่ผ่านมา ไปเอกซเรย์ก็ไม่พบอะไร กระทั่งคืนนั้น หมอได้รักษาด้วยการวางยาสลบ และกรีดแผลที่ทำการผ่าตัดมา กระทั่งเจอผ้าก๊อซอยู่ในแผล “หมอที่เกาหลีลืมผ้าก๊อซไว้” โดยอยู่ใกล้ติดกับซี่โครง โดยเป็นผ้าขนาด 7 คูณ 14 เซนติเมตร!
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ได้มีการพูดคุยกันกับเอเจนซี่ เขาก็อ้างว่าพร้อมที่จะรับผิดชอบ ค่ารักษาพยาบาล ตอนนั้นก็เลยมีการเรียกร้องค่าเสียหาย เป็นเงินประมาณ 3 ล้านบาท เนื่องจากต้องหยุดงานเป็นเดือน และพลาดโอกาสไปหลายสิ่งอย่าง อีกทั้งยังต้องใช้เงินรักษาพยาบาลไปค่อนข้างเยอะ
...
แต่การเรียกร้องดังกล่าว ท้ายที่สุดเขาก็ไม่จ่าย แม้กระทั่งค่ารักษาพยาบาลที่จ่ายไปกว่า 2 แสนบาท ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เราต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ สุดท้าย ทางเอเจนซี่ไปทำเรื่องไกล่เกลี่ยผ่าน สคบ. และจ่ายเงินคืนมาให้เราแค่ 1 แสนบาท ซึ่งก็ไม่เท่ากับค่ารักษาที่เราใช้ไปกว่า 2 แสนบาท
“เอเจนซี่บอกว่า เอางี้ งั้นเขาจะเอาเงินที่เขาได้กว่า 3 แสนบาท (เอเจนซี่ 3 แสน หมอ 3 แสน) แบบนี้เหมือนเอาเงินมาฟาดหน้าเรา แบบนี้เรารับไม่ได้ คุณทำผิดแล้วยังไม่ยอมรับเลย เขาอ้างว่าหมอที่พัทยาเป็นคนทำ โยนความผิดให้หมอไทย... นี่แหละคือสาเหตุที่เราต้องฟ้อง บินไปเกาหลีเพื่อขอสู้คดี”
...
เปิดประสบการณ์สู้คดีที่เกาหลี ชนะมาแล้ว 2 ศาล รอศาลฎีกา เร็วๆ นี้
คุณลี่ เล่าว่า การสู้คดีที่เกาหลีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องใช้เงินจำนวนมาก และต้องบินไปกลับเกาหลีมาแล้ว 4 ครั้ง โดยต้องหาทนายเกาหลีเอง จะต้องมีตำรวจมาสอบปากคำ
“ครั้งแรกที่ไปเกาหลี คือ ไปหาทนาย ครั้งที่ 2 ไปสอบปากคำตำรวจ ครั้งที่ 3 มาเจอพร้อมกับหมอ เพราะหมอให้การไม่ตรงกับเรา หมออ้างว่าเขาไม่ได้ใช้ผ้าก๊อซในการผ่าตัด จากนั้นก็เปิดวิดีโอผ่าตัดให้ตำรวจดู ซึ่งตำรวจถามว่าคนที่อยู่ในวิดีโอใช่คุณลี่หรือไม่หมอก็บอกว่า “นี่ไม่ใช่ยู” ซึ่งที่ผ่านมา เราได้คุยกับหมอคนไทย เขาบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่ผ่าตัดแล้วไม่ใช้ผ้าก๊อซซับเลือด”
ท้ายที่สุด ตำรวจนำเรื่องนี้ส่งฟ้องในที่สุด ซึ่งปกติแล้ว หากคดีไม่มีมูลความจริง ตำรวจจะไม่ส่งเรื่องให้อัยการฟ้อง ซึ่งล่าสุด คดีนี้มาถึงศาลฎีกาแล้ว โดย 2 ศาลชั้นต้น และอุทธรณ์พิพากษาให้หมอมีความผิด ซึ่งหมอต้องขึ้นศาลมาแล้ว 5-6 ครั้ง ส่วนเราไปขึ้นศาลมาแล้วบ้าง โดยเฉพาะครั้งล่าสุด เมื่อประมาณปลายปี 60 ที่ผ่านมา ส่วนครั้งอื่นๆ เรามอบอำนาจให้กับทนาย
จ่อเรียก 10 ล้าน เดินหน้าฟ้องคดีแพ่ง ก่อนหมดอายุความ
นอกจากนี้ คุณลี่ ยังเล่าเบื้องหลังการต่อสู้คดีที่อาจจะเป็นคดีประวัติศาสตร์ให้กับคนไทยด้วยว่า ทีแรกตั้งใจจะรอคำพิพากษาจากศาลฎีกา หากศาลฎีกาพิพากษาว่าหมอกระทำผิด เราก็จะเอาคดีนี้มาฟ้องแพ่งต่อ แต่คดีอาญามีการดำเนินการที่เนิ่นนานมาก และคดีแพ่งใกล้จะหมดอายุความ เราจึงตัดสินใจฟ้องคดีแพ่งไปแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนที่จะหมดอายุความในเดือนหน้า (สิงหาคม 2561)
“เป็นเรื่องโชคดีมาก ที่เราถามทนายก่อน ว่าทำไมเรื่องเงียบๆ ทนายจึงบอกเรื่องนี้มา ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ได้ฟ้องแพ่ง”
เมื่อถามว่าจะเรียกร้องค่าเสียหายเท่าไหร่ นักธุรกิจสาว ตอบว่า “ก็ยังไม่ได้คิดเหมือนกัน ตอนแรกเรียกค่าเสียหาย 3 ล้าน ยังไม่ได้เล๊ย (เสียงสูง) และที่ผ่านมาเราเสียเงินในการดำเนินคดีเรื่องนี้ไปเป็นล้าน คิดว่าก็น่าจะมีการเรียกร้องค่าเสียหายประมาณ 10 ล้านบาท
เมื่อถามว่า คดีอาญาศาลฎีกา จะตัดสินเมื่อไหร่ คุณลี่ กล่าวว่า ก็ยังไม่แน่ใจ แต่คิดว่าเร็วๆ นี้ เพราะเห็นว่าเขารอให้ทางหมอที่นั่นยืนยันเอกสารหลักฐานเสียก่อน พร้อมทั้งเอกสารของเราด้วย
“คดีการฟ้องร้องหมอเกาหลี ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างประเทศนั้น คดีของลี่ถือเป็นคดีแรก สิ่งที่ต้องใช้คือ พลังใจและเงินจำนวนมาก เราต้องเข้มแข็งมากกว่าจะผ่านอุปสรรคตรงนี้ ซึ่งเรื่องนี้ คุณเม (จีระนันท์ กิจประสาน อดีตนักร้องอาร์เอสเกือบเสียชีวิตเพราะศัลยกรรมเต้านมที่เกาหลี) ก็ได้โทรมาสอบถาม เราจึงได้เล่าประสบการณ์ที่เราต่อสู้คดี ว่าจะต้องเผชิญกับอะไร ถึงแม้ว่าเราจะขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานอื่นๆ เช่น สถานทูต หรือ สคบ. แต่สุดท้าย “ไม่มีใครช่วยได้ นอกจากตัวเราเอง เพราะเขาเห็นว่าเป็นคดีส่วนตัว” ซึ่งจริงๆ เรื่องนี้ ลี่มองว่า เป็นเรื่องระหว่างประเทศ เพราะหมอคุณเป็นคนเกาหลีเกือบทำคนไทยตาย ท้ายที่สุด ก็คือ ธุรกิจศัลยกรรมเป็นธุรกิจเกาหลีหรือเปล่า จึงทำให้ไม่สนใจหรือไม่”
นี่คือคำถามสำคัญที่เธอตั้งข้อสงสัยไว้...
ขณะเดียวกัน คุณลี่ ได้เล่าถึงแรงผลักดันที่ทำให้ต้องต่อสู้คดีนี้ให้ถึงที่สุดว่า การที่ตัดสินใจฟ้องเพราะเห็นข่าวหนึ่งว่า มีหมอศัลยกรรมเกาหลีทำคนไทยเสียชีวิต ซึ่งก็คือหมอคนนี้ ซึ่งเคสนั้นเขาแพ้ยาสลบ และเสียชีวิตระหว่างส่งโรงพยาบาล ซึ่งกรณีแบบนี้ คิดว่าหากเกิดเหตุที่โรงพยาบาล ไม่ใช่คลินิก ผลลัพธ์อาจจะไม่เป็นแบบนี้ ด้วยที่ว่าสถานที่คือคลินิก จึงทำให้เกิดความเสี่ยง ถ้าปล่อยแบบนี้ต่อไป คนไทยต้องตายอีกกี่คน นี่คือ สาเหตุที่ต้องต่อสู้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับคนอื่น
แต่...ที่ผ่านมาคนเรา มักจะคิดแต่ผลดีเลิศ ทำแล้วจะสวย ไม่เป็นไร เราไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง สุดท้ายต้องมาคอยแก้ปัญหา สู้แล้ว ต้องสู้ให้ถึงที่สุด เงินก้อนที่เพิ่งโอนไป 2.5 แสนบาทเพื่อสู้คดีไม่รู้จะได้เงินกลับมาหรือไม่ ก็ยังไม่รู้เลย สุดท้ายจะจบยังไงก็ต้องรอดู
เรื่องนี้เราต้องการทำให้คนได้เรียนรู้ร่วมกันว่า นี่มีด้านมืดของวงการศัลยกรรมอยู่ เพียงแต่ว่าดวงดี ก็ดี แต่ถ้าดวงร้าย ก็จะเป็นแบบ ลี่ หรือ คุณเม หากย้อนเวลาได้ก็คงไม่เริ่มตั้งแต่ฉีดฟิลเลอร์เลย
นี่คือสิ่งที่เธอฝากไว้ให้คิด สำหรับคนที่จะคิดศัลยกรรม ควรจะเตรียมความพร้อมให้ดี ศึกษาข้อมูลให้แน่ชัดเสียก่อน
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน