ในรอบหลายปีที่ผ่านมา เราเห็นคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญเกิดขึ้นมากมาย ฆ่าฝังดิน ฆ่าหั่นศพ ฆ่าแล้วเผา ฆ่าชิงไอโฟน ข่มขืนแล้วฆ่า ข่มขืนโยนออกจากรถไฟ
หลายๆ คดีสะเทือนใจ และมีการเรียกร้องให้ “ประหารชีวิต” มาโดยตลอด ทั้งที่ประเทศไทยมีกฎหมายที่หนักที่สุดคือการประหารชีวิตอยู่แล้วก็ตาม
ขณะเดียวกัน กลุ่มสิทธิมนุษยชนก็มองว่า การประหารชีวิตไม่สามารถยับยั้งการกระทำผิดที่รุนแรงได้...และเป็นการละเมิดสิทธิที่จะมีชีวิต!
กลับกันหากลองไปถามญาติเหยื่อที่ถูกกระทำอย่างเหี้ยมโหดผิดมนุษย์คงได้คำตอบที่แตกต่างจากองค์กรสิทธิมนุษยชนเหล่านี้
คำถามคือ เรามีกฎหมายนี้อยู่แล้ว ทำไมไม่ประหารใครสักคนในช่วง 9 ปี ที่ผ่านมา...
...
เรื่องนี้เชื่อว่าคงยากจะตอบ แต่...ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ก็ได้พยายามหา ด้วยการพูดคุย “ผู้การวิสุทธิ์ วานิชบุตร” อดีตตำรวจมือดี แม่นยำในข้อกฎหมาย กูรูรอบรู้ในหลายวงการ
และก็เช่นเคย อดีตตำรวจจอมเก๋ารายนี้ กล่าวกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ในสไตล์ดุดันเช่นเคย
วิเคราะห์ ทำไม 9 ปี ไม่มีการประหาร เหตุผลสำคัญใหญ่ 2 ประการ
“รู้ไหม...การจำคุก หรือ ประหารชีวิต เมื่อศาลฎีกาตัดสินให้ประหารชีวิต บ้านเรากลับไม่ประหารใครมา 9 ปี มีทั้งสิ้น 517 กว่าคนเพราะอะไร...?”
อดีตตำรวจชื่อดังเริ่มตั้งคำถาม ก่อนสาธยายคำตอบออกมา...สาเหตุที่ไม่ประหารเพราะประเทศไทยเป็นประเทศ “อะไรก็ยอม” เรียกว่ายอมคนอื่นไปเสียหมด เหมือนกับข้อตกลงที่ว่า ประเทศใดที่มีโทษประหารชีวิตแต่ถ้าไม่ประหารติดต่อกัน 10 ปี ถือว่าประเทศนั้นจะยกเลิกโดยอัตโนมัติ
ยกตัวอย่างเช่น “ถ้ามึงไม่จัดการเรื่องประมง (ค้ามนุษย์) กูจะไม่ซื้อกุ้งมึงนะ” อ้าว...แห่กันไปจับ
อดีตตำรวจจอมเก๋า กล่าวต่อว่า อีก 1 สาเหตุ ที่ไม่ลงโทษประหารชีวิตเพราะ พวกนักโทษเหล่านี้มันมี “กุนซือ” เน่าๆ คอยช่วย พอเหล่านักโทษประหารถูกส่งไปเรือนจำ ก็จะมีกุนซือมาคอยให้คำแนะนำให้ยื่นเรื่องถวายฎีกาไปยังผู้บัญชาการเรือนจำ จากนั้น ผบ.เรือนจำ ก็จะมีหนังสือไปยังกระทรวงยุติธรรม ก่อนจะทำเรื่องไปสำนักพระราชวังตามขั้นตอน
แล้วคิดว่า จุดเปลี่ยนมาจากอะไร อดีตตำรวจมือดี ตอบสวนทันควัน ก็ปราบปรามแล้ว ไล่จับก็แล้ว คนชั่วมันกลับไม่กลัวกฎหมาย มักพูดกันอีกว่า “มึงไม่ต้องกลัวหรอก..ประเทศไทย ถึงโดนคดีศาลสูงสุดตัดสินประหารชีวิต เดี๋ยวติดคุกไปเรื่อยๆ ติดไปติดมาก็ลดโทษ”
ก็เพราะแบบนี้!! อาชญากรรมมันจะลดลงได้ไง คนมันไม่กลัวกฎหมาย จึงเป็นที่มาของคดีโหดๆ มากมายที่เกิดขึ้น
...
เชื่อ...ผู้ใหญ่ในราชทัณฑ์หารือแล้ว ก่อนฉีดยาประหารเพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่าง
“ส่วนตัวเชื่อว่าทางผู้ใหญ่ทางเรือนจำ คงมีการปรึกษาหารือและตกลงกันไว้แล้วว่า น่าจะให้มีการ “ประหารชีวิต” ต่อไป และที่เลือกเคสนี้ก็คงพิจารณาจาก เคสที่น่ากลัวเกินจะรับได้จริงๆ เพื่อนำมา “ฉีดยาให้ตายตกตามกัน” เพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่างกับคนที่คิดจะทำความผิดได้เกรงกลัว”
หลัง...จาก...นี้ (เน้นเสียง) ผมเชื่อว่าอีก 500 กว่าคนที่ยังเสพสุขอยู่สบาย ได้นอนผวาแน่ๆ จะได้รับความรู้สึกว่า...ไม่รู้ว่าวันไหนจะถูกลากมาประหาร
การประหารแบบนี้จะเป็นมาตรฐานต่อไปหรือไม่ อดีตนายตำรวจชื่อดัง วิเคราะห์ว่า ไม่ใช่มาตรฐาน แต่เป็นสิ่งที่เริ่มทำแล้ว ถ้าไม่ทำต่อ...จะตอบกับสังคมอย่างไร
ส่วนคนที่อยู่ในการพิจารณาที่ยังไม่มีที่สิ้นสุด หรือมีเคสลักษณะอย่างนี้หรือหนักกว่า...นั่งสมาธิเตรียมตัวได้เลย ส่วนใครที่คิดจะกระทำ ควรจะสะดุ้งว่า หากทำก็อาจจะถูกประหารชีวิต
แล้วถามว่า นักสิทธิมนุษยชน บอกว่าการฆ่าไม่ได้แก้ปัญหา อดีตตำรวจชื่อดังตอบว่า “ใช่..ดูเผินๆ แล้วไม่แก้ ถ้าเกิดไม่ประหารแล้วหลุดมาแล้วไปฆ่าคนอื่นอีก จะทำอย่างไร คดีที่เกิดขึ้นเราก็เห็นๆ บางคนเพิ่งพ้นโทษมา 3-7 วัน หรือไม่กี่เดือนก็กลับมาทำอีก แล้วมาอ้างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเสพยา”
...
โทษประหาร ควรคงไว้ เพราะสภาพเศรษฐกิจ สังคมไทย
ผู้การวิสุทธิ์ ได้เสริมในมุมมองของตนถึงโทษประหารชีวิต ว่า ควรจะมีไว้ และต้องประหารจริงๆ เพราะความเจริญ การศึกษา เศรษฐกิจ สังคม ไม่เหมือนบางประเทศที่เจริญแล้ว โอกาสการลักทรัพย์ ชิงทรัพย์จึงมีน้อย แต่บางประเทศก็มีการกำหนดไว้อย่างหนักหน่วง
ดูง่ายๆ ต่างประเทศมี “เด็กแว้น” มั้ย...เด็กแว้น มีแต่ประเทศไทย ถ้าเด็กแว้นไปขี่กวนเมืองในจีน กฎหมายเขาให้ตำรวจหวดได้เลยนะ หรือ ถ้าขายของบนฟุตปาท เจ้าหน้าที่มันถือค้อนไล่ทุบเลย เขาไม่นั่งจับให้เสียเวลา
นี่แหละคือตัวอย่างที่ให้เห็นว่า “การเอาจริง” มันเป็นยังไง เขาไม่อยากมานั่งจับขังคุก ต้องเลี้ยงข้าวเปลืองข้าวอีก ของกลางก็ไม่ยึด เพราะบางอย่างเกิดเสียหาย เดี๋ยวมีปัญหาเรื่องฟ้องร้องกันอีก
ถามว่าประเทศไทยทำแบบนั้นได้ไหม...คำตอบคือ “ไม่ได้” แต่จีนทำได้ เพราะเขาจริงจัง เด็ดขาด คนละเมิดจึงไม่มี
...
หลายฝ่ายหวั่น ประหารคนบริสุทธิ์ หมายเหตุประเทศไทย "แพะ" เยอะ
แล้วมองยังไงว่าเขามองว่าประเทศเรา “แพะ” เยอะ กลัวประหารแล้วไม่ใช่ตัวจริง... อดีตตำรวจ กล่าวว่า การแก้ปัญหาเรื่อง “แพะ” มันต้องเริ่มที่กระบวนการยุติธรรม ต้องแก้ปัญหาตั้งแต่ ชั้นพนักงานสอบสวน เช่น จะทำการจับกุมผู้ต้องหา การสอบสวนก็ควรถ่ายคลิปวิดีโอไว้ เราถ่ายไว้ให้หมด รวมไปถึงการเซ็นยอมรับผิด เผื่อนักสิทธิมนุษยชนมาดูก็จะได้เปิดให้ดู หากพนักงานสอบสวนปฏิบัติตามกฎหมาย ป.วิอาญา ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุไว้แล้ว หรือมาที่ชั้นอัยการ ที่มีการตรวจสอบแล้ว
ผู้ต้องหาที่โดนโทษหนัก หากไม่มีทนายรัฐก็ควรหาให้ หากมีการวางหลักเกณฑ์ตั้งแต่ชั้นสอบสวน อัยการ และพิจารณาคดี ให้ครบถ้วน โอกาสที่จะจับแพะก็แทบจะไม่มี
แต่...หากพิจารณาดีๆ คดีที่ตำรวจจับแพะนั้น ส่วนมากจะเป็นคดีที่มีโทษไม่ถึงประหารชีวิต เช่น คดีประสงค์ต่อทรัพย์ ฉก ชิง วิ่งราว โดยไม่ได้ฆ่าใคร หรือคดีใหญ่ๆ ก็คดีครูจอมทรัพย์ คดีหวย 30 ล้าน มีไม่มากที่คดีแพะที่มีโทษหนักถึงประหาร
“แพะ - แกะ” มีเยอะ ไม่เถียง... แต่โทษส่วนใหญ่ไม่ถึงประหารชีวิต
หากกลัวว่าจับผิดก็ต้องไปวางหลักเกณฑ์ตามการจับกุมให้ดี ไม่ให้เหมือนกับสมัยก่อน อย่างคดี “เชอรี่ แอน” ด้วยสภาพสังคม เศรษฐกิจไทยยังเป็นแบบนี้ เชื่อว่า โทษประหารชีวิตยังคงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทย
ที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมบ้านเรามีการต่อสู้ถึง 3 ศาล หากศาลพิพากษาให้ประหาร ก็ต้องประหาร หากไม่ประหารจะบัญญัติขึ้นมาเพื่ออะไร? ถ้าเกิดมีคนมาร้องว่าเรือนจำทำผิดมาตรา 157 (ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่) จะทำอย่างไร เพราะศาลสั่งแล้วว่าให้เอา นาย ก. หรือ นาย ข. ไปประหาร แล้วทำไมถึงไม่ประหาร... เพราะศาลก็พิพากษาตามกฎหมาย และที่ผ่านมาก็มีการเปลี่ยนกฎหมาย จาก “เอาไปยิงเสียให้ตาย” เป็นเอาไป “ฉีดยาสารพิษเสียให้ตาย” แต่กลับไม่ทำ เนื่องจากมีใครพูดอะไรหน่อยเราก็อ่อนไหวตาม...
อย่าลืมว่า ประเทศไทย ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใครมาก่อน ฉะนั้น อย่าไปกลัวต่างประเทศที่พยายามกดดันเรามาก เพราะเรามีกฎหมาย เราก็ควรปฏิบัติไปตามกฎหมาย และไม่ควรเลือกปฏิบัติ เชื่อว่าสังคมจะดีขึ้น
แล้วคุณละ คิดเห็นอย่างไรกับ โทษประหาร ควรจะมีไว้ หรือยกเลิกไป...
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน