“บางคนมองว่า ที่ผมออกมาเสนอแนวคิด เพราะอยากได้เงินทำโครงการกับรัฐบาล
ผมบอกได้เลยว่า งานของราชการผมทำมาเยอะ โดยเป็นอาสาสมัคร
และตัวผมเองมีงานยุ่งอยู่แล้ว ไม่ได้วิ่งหางาน
คนที่มาต่อว่าแบบนี้ ทำให้คนอื่นที่เขาอยากช่วยเขาก็ไม่กล้า...”

รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ


“รื้อ-ไม่รื้อ” ข้อถกเถียงของคนในสังคมถึงทางออกของโครงการบ้านพักตุลาการเชิงดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ โดยมองว่า หากจะรื้อทิ้งก็เสียดายเงินที่สร้าง แต่หากปล่อยไว้ให้มีอยู่ต่อไปก็ทำลายระบบนิเวศป่าไม้

กระทั่ง อดีตนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ โพสต์เฟซบุ๊กให้คำแนะนำตามหลักวิศวรรกรม ว่า ยังมีทางออกอื่นๆ อีก นอกเหนือจาก รื้อหรือไม่รื้อ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และเป็นที่ไม่พอใจของคนบางกลุ่มที่ต้องการให้รื้อมากกว่า

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จึงได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ ถึงห้องทำงานส่วนตัว ย่านพญาไท

...

“ผมเพียงต้องการนำเสนอว่า บ้านพักตุลาการในทางหลักวิศวกรรมมีทางออกหลายทาง ไม่ใช่แค่ รื้อหรือไม่รื้อ โดยสามารถเคลื่อนย้ายได้ และเมืองไทยก็ทำได้ โดยเฉพาะบ้านไม้ย้ายกันเป็นประจำ ส่วนบ้านคอนกรีตยกต่อขาให้สูงขึ้น เพื่อหนีน้ำท่วมได้ตั้ง 2-3 เมตร หรือที่ญี่ปุ่นขนโรงงานทั้งโรงงานสูงเท่ากับตึก 10 ชั้น ใส่ล้อลากไปส่งที่เรือยังทำได้” รศ.ดร.ต่อตระกูล เกริ่นนำก่อนเข้าเรื่อง

รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ

วิศวกรผู้มากประสบการณ์ เผยว่า ขั้นแรกเป็นการระดมสมองเพื่อหาวิธีต่างๆ โดยไม่ต้องคิดว่า ค่าใช้จ่ายเท่าไร จะทำได้หรือไม่ เพื่อให้ความคิดไม่ถูกสะดุด เนื่องจากส่วนใหญ่ความคิดจะถูกตีกรอบทันทีกับคำพูดที่ว่า “ไม่มีใครเขาทำกันหรอก ตลก คิดอย่างนี้ได้อย่างไร แพงแน่ๆ ไม่มีทางเป็นไปได้” ซึ่งเป็นคำพูดที่ทำให้คนหยุดคิด!

ดังนั้น จึงเสนอไอเดีย เพื่อให้คนวิพากษ์วิจารณ์หรือเสนอทางอื่นมา เรียกว่าเป็นการเบรนสตรอมต่อยอด

และการ “ย้าย” จึงเป็น 1 ไอเดียที่น่าสนใจ...ซึ่งทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการยกย้ายทั้งหลัง, ตัดเป็นชั้นๆ, ตัดเป็นส่วนๆ และถอดออกเป็นชิ้น

ขอบคุณภาพจาก Facebook : ขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ
ขอบคุณภาพจาก Facebook : ขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ

...

รศ.ดร.ต่อตระกูล อธิบายถึงการยกบ้าน ว่า หากยกย้ายทั้งหลังไม่ได้ ก็ย้ายเป็นชั้นๆ ไป เช่น ย้ายหลังคา และชั้น 2 ไปก่อน โดยตัดเสาแค่ชั้น 2 เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วชั้น 2 จะราคาแพง เพราะมีห้องนอนใหญ่ ห้องน้ำ คุ้มค่าที่จะตัดย้ายไป อีกทั้งยังตัดง่ายกว่าชั้นล่างด้วยด้วย แต่หากมีเฟอร์นิเจอร์ควรจะเอาออกด้วย เพื่อลดน้ำหนักให้ได้มากที่สุด

จากนั้น จึงยกบ้านขึ้นมา แต่ไม่ต้องยกสูง แค่ตัดออกแล้วยกขึ้น พอให้ฐานที่มีล้อเสียบเข้าไป จากนั้นก็เคลื่อนย้ายโดยการใช้รถลาก สำหรับรถก็จะมีลักษณะที่มีล้อเยอะบางคันมีล้อ 96 ล้อ เพราะยิ่งน้ำหนักเยอะยิ่งต้องใช้ล้อเยอะตามไปด้วย ซึ่งบริษัทที่รับส่งของหนัก มักจะอยู่แถวท่าเรือ เพื่อขนของหนักๆ จากโรงงานไปส่งที่ท่าเรือ หรือไปรับของหนักๆ จากท่าเรือมาส่งโรงงาน

“บางคนเขาก็มีไอเดียที่น่าสนใจว่า เอาเครื่องบินมายก ซึ่งก็เป็นความคิดที่ดีเหมือนกัน เพราะ ฮ.ชีนุก สามารถยกรถถังได้ แต่หากยกทั้งหลัง มองว่า อาจจะยังยกไม่ได้ทั้งหมด อาจจะต้องตัดไปทีละส่วน เช่น หลังคา เป็นต้น แต่ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายจากการขนย้ายของเฮลิคอปเตอร์อีก” อดีตนายก วสท. เสนอความคิด

ชีนุก เป็นเฮลิคอปเตอร์ใบพัดเรียงขนาดหนักสองเครื่องยนต์
ชีนุก เป็นเฮลิคอปเตอร์ใบพัดเรียงขนาดหนักสองเครื่องยนต์

...

ทางลาดชัน เป็นเนินเขา ยกย้ายทำได้หรือ? ผู้สื่อข่าวถาม

วิศวกรมือฉมัง ตอบทันควันว่า ในหมู่บ้านป่าแหว่ง มีถนนหน้าบ้าน สามารถใช้รถลากมาตามแนวถนนค่อยๆ เคลื่อนย้ายลงมา ซึ่งถ้าทางลาดชันไม่มากก็สามารถทำได้ แต่หากลาดชันมากๆ จะต้องมีอุปกรณ์บนตัวรถเคลื่อนย้ายที่คอยยกให้บ้านตั้งฉากอยู่เสมอ ลักษณะคล้ายกับกระเช้าขึ้น-ลงดอยสุเทพ แม้กระเช้าจะเคลื่อนขึ้น-ลง แต่ตัวกระเช้าจะตั้งฉากกับพื้นอยู่เสมอเสมอ

นอกจากนี้ หลายคนยังกังวลว่า ถนนบริเวณนั้นจะไม่สามารถรับน้ำหนักการยกย้ายบ้านทั้งหลังได้ แต่ความจริงแล้ว หากยกจากบนดอยลงมาไม่ต้องเทคอนกรีตทับเลยด้วยซ้ำ แค่นำแผ่นเหล็กปูวางไว้ก็รถลากก็สามารถวิ่งได้แล้ว อีกทั้ง ถนนบนภูเขาถูกสร้างบนหินก็ยังรับน้ำหนักได้ด้วย

...

สำหรับประเมินราคาของการยกบ้าน ได้สอบถามไปยังบริษัทที่รับยกบ้าน หากเป็นบ้านไม้ คิดค่าตัด 2,000 บาทต่อเสา 1 ต้น ส่วนบ้านคอนกรีต ค่ายก 600,000 ต่อเสา 20 ต้น ต้นละ 30,000 บาท

“บ้านพักทั้งหมด 45 หลัง ค่าบ้านประมาณ 8 ล้านบาทต่อหลัง แต่ค่าขนไม่ถึง 8 ล้านแน่นอน! แต่หากค่าขนย้ายเกิน 90% ของราคาก่อสร้างก็ไม่ควรย้าย เพราะไม่คุ้มค่า รวมทั้ง ขึ้นอยู่กับระยะทางที่ย้ายไปด้วย ถ้าเป็น 10 กม.ก็คงไม่คุ้ม แต่หากอยู่ใกล้ ซึ่งน่าจะมีที่ดินของราชพัสดุที่อยู่ใกล้ๆ ก็แค่สร้างตอม่อไว้ พอยกไปถึงเจอเสาก็เอามาวาง เสียค่าตัด ลาก และไปต่อฐานราก ต่อระบบไฟฟ้า ท่อน้ำประปา เท่านั้น” อดีตนายก วสท. คิดคำนวณงบประมาณ

ขอบคุณภาพจาก Facebook : ขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ
ขอบคุณภาพจาก Facebook : ขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ

เกษตรกรรม แทน วิศวกรรม ปลูกป่าแทนรื้อ-ย้าย อยู่ร่วมธรรมชาติได้

นอกจากวิธีการรื้อ ย้ายแล้ว รศ.ดร.ต่อตระกูล เผยว่า ยังมีอีกหนึ่งไอเดีย นั่นคือ หากรัฐบาลและประชาชนสามารถตกลงกันได้และยังคงหมู่บ้านนี้ไว้ จะใช้วิธีเกษตรกรรมแทน โดยการปลูกป่า นำต้นไม้ที่ขึ้นง่ายๆ ไม่แผ่รากออกไปเยอะมาปลูกในพื้นที่

“เคยมีโครงการในเชียงใหม่ส่งรูปมาให้ดูว่า ข้างใต้นี้ มีหมู่บ้านขนาดใหญ่ 10 หลัง มีสระว่ายน้ำ และมีถนนด้วย แต่มองจากมุมสูงไม่เห็นเลย ซึ่งก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้ แต่ต้องหาผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกป่ามาให้คำแนะนำและแนวทาง โดยกลุ่มต้นไม้ที่มีรากใหญ่ อย่างต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นจามจุรี ต้นก้ามปู รากจะไปชอนไชโครงสร้างบ้าน จึงต้องหาต้นไม้ที่เหมาะสมกับพื้นที่มาปลูก ซึ่งผมมองว่า ถ้าตกลงกันได้ วิธีนี้ก็อาจจะดีกว่า..” อดีตนายก วสท.ให้ความเห็น

น้ำป่าหลาก-บ้านพัง สร้างบ้านบนเนินเขาทำได้ ขึ้นอยู่กับหลักวิศวกรรม

ในฐานะวิศวกรผู้มากประสบการณ์ ยังเผยด้วยว่า ในเรื่องเทคนิคการสร้างนั้น สร้างชันก็ยังสร้างได้ ในอดีตมีการสร้างบ้านบนดอยเยอะ ก่อนที่กฎหมายจะออกมาห้ามสร้างบนเนินเขาที่ชันมาก ซึ่งแน่นอนว่า การสร้างบนเนินเขาย่อมสร้างยากกว่าที่เรียบ แต่ตามหลักวิศวกรรมสามารถสร้างได้ และไม่ได้แพงกว่าพื้นที่ราบทั่วไปด้วย

แต่ทั้งนี้ก็ยังมีอันตราย ถ้าวิศวกรออกแบบป้องกันปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฐานราก น้ำเซาะ ดินทรุด ไม่ดี ยกตัวอย่างในประเทศมาเลเซีย คอนโดทั้งหลังไหลลงเนินไปทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม หากวิศวกรออกแบบการระบายน้ำไม่ให้ไหลบ่าลงมาจนกระเซาะดินก็สามารถทำได้ไม่มีปัญหา แต่สำหรับบ้านผู้พิพากษานั้น ไม่ทราบว่าคนที่สร้างไว้เดิมคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ เพราะโดยปกติแล้ววิศวกรที่ออกแบบถนน หรือ ออกแบบบ้าน จะต้องคำนึงถึงเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว ว่า พื้นที่นี้รับน้ำเท่าไหร่ มีทางน้ำไหลหรือไม่

อดีตนายก วสท.ไร้กังวลโครงการเอกชนสุดเนี้ยบ ห่วงราชการใช้สิทธิ์พิเศษ

รศ.ดร.ต่อตระกูล เล่าจากประสบการณ์ว่า หากเป็นโครงการของเอกชน จะดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างมาก และจะมีกรรมการสิ่งแวดล้อมตรวจแบบทางด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมอยู่ ซึ่งใช้เวลามากกว่าตรวจแบบของเทศบาลอีก และตรวจละเอียดมาก ส่วนเรื่องสิ่งแวดล้อมมีรายละเอียดที่บังคับมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเขากังวลว่า หากมีคนบอกว่า บริษัทนี้มาเอาแต่ประโยชน์ สร้างมาน่าเกลียด เห็นมาแต่ไกล ใครบินผ่านก็เห็นเขาหัวโล้นมีบ้านอยู่ ก็จะขายไม่ออกทันที

แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ ราชการ เพราะดูเหมือนว่าจะมีอภิสิทธิ์ ไม่ต้องขอสิ่งแวดล้อม ไม่ต้องขออนุญาตก่อสร้าง ผังเมืองไม่ต้องไปดู ตรงนี้คือจุดอ่อนของที่ดินที่ราชการดูแลอยู่

ขอบคุณภาพจาก Facebook : ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน
ขอบคุณภาพจาก Facebook : ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน

ดังนั้น ต่อไปสภาวิศวกร สถาปนิก ต้องบอกรัฐบาลว่าช่วยกันดูแล ไม่ใช่ว่าที่ดินของราชการแล้วจะทำอะไรก็ได้ ต้องคำนึงถึงกฎหมายและกติกาเดียวกัน เรื่องการอยู่ร่วมกัน เป็นเรื่องที่พูดคุยให้เข้มงวดเรื่องผังเมือง สิ่งแวดล้อมมากขึ้น

“ถ้าทุกคนต้องทำเหมือนกัน ค่าใช้จ่ายก็เท่ากัน ต้นทุนก็เหมือนกัน แต่ยังมีบางคนที่พยายามหลบหลีก ซึ่งผมฝากไว้ว่า พวกที่หลบเลี่ยง เมื่อถึงเวลาตรวจสอบจริงๆ คุณจะเสียหายหนักมาก” วิศวกรชื่อดัง แนะ

อย่างไรก็ตาม อ.ต่อตระกูล ยังกล่าวชื่นชมชาวเชียงใหม่ที่ออกมาปกป้องผืนป่าด้วย...

“ผมมองว่า เป็นเรื่องที่ดีที่คนเชียงใหม่ออกมาปกป้อง ขอคืนพื้นที่ป่าบนดอยสุเทพคืนให้ธรรมชาติ ซึ่งทำให้เป็นตัวอย่างว่า ถ้าที่ดินตรงนี้ทำได้ ที่ดินราชการอื่นๆ ก็จะสร้างแบบนี้ได้เหมือนกัน”

ขอบคุณภาพจาก Facebook : ขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ
ขอบคุณภาพจาก Facebook : ขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ

วิศวกรคนดัง ปัด หากินโครงการรัฐ แค่ขอระดมความคิด

แน่นอนว่า การที่จะมีผู้เชี่ยวชาญออกมาให้ความเห็นกรณีบ้านพักตุลาการ ซึ่งอาจจะไม่เป็นที่น่าพอใจของประชาชนบางกลุ่ม กรณีของ รศ.ดร.ต่อตระกูล ก็เช่นกัน ทั้งโดนด่าจนต้องลบโพสต์ข้อเสนอแนะในการยกย้ายบ้านพักตุลาการออกไปจากหน้าเฟซบุ๊กส่วนตัว

“บางคนมองว่า ที่ผมออกมาเสนอแนวคิด เพราะอยากได้เงินทำโครงการกับรัฐบาล ผมบอกได้เลยว่า งานของราชการผมทำมาเยอะ โดยเป็นอาสาสมัคร และตัวผมเองมีงานยุ่งอยู่แล้ว ไม่ได้วิ่งหางาน คนที่มาต่อว่าแบบนี้ ทำให้คนอื่นที่เขาอยากช่วยเขาก็ไม่กล้า...

...อย่างบางคนเข้ามาด่าผมในเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งผมรับได้ แต่บางคนมาสั่งห้ามผมบอกว่า เลิกคิดเถอะ ไร้ประโยชน์ ผมรับไม่ได้ เพราะเราก็มีสิทธิ์ที่จะคิด และก็ไม่ได้มาบังคับให้ใครต้องเชื่อตามความคิดของเรา” วิศวกรชื่อดัง ตัดพ้อ

ขอบคุณภาพจาก Facebook : ขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ
ขอบคุณภาพจาก Facebook : ขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ

โลกโซเชียลป่วย! ด่าทอคนเห็นต่าง ห้ามเสนอแนวคิด นี่หรือสังคมประชาธิปไตย?

รศ.ดร.ต่อตระกูล เปิดใจว่า จุดประสงค์ใหญ่ที่เสนอไอเดียในเฟซบุ๊ก เพื่อระดมความคิด ซึ่งการขอระดมความคิดเป็นประโยชน์ เป็นวัฒนธรรมของประชาธิปไตย ทุกคนคิดไม่เหมือนกัน แต่อย่าไปห้ามคิด หรือด่าอย่างเดียว ถ้าจะด่าก็ต้องให้แนวทางแก้ไขด้วย

ดังนั้น เหตุการณ์ครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าสังคมประเทศไทยยังไม่พร้อมที่จะเป็นสังคมประชาธิปไตย แตกต่างจากในอเมริกาที่แม้ว่าจะทะเลาะ แต่ก็ถกเถียงกันด้วยเหตุด้วยผล จึงอยากฝากไว้ว่า ถ้ามีการของความเห็นในเรื่องใดๆ อยากให้ช่วยกันคิดแบบประชาธิปไตย

“ไม่มีใครทำ ผมทำให้ได้” อ.ต่อตระกูล ยินดีหากรัฐบาลขอให้ช่วย

เมื่อถามว่า หากคนในรัฐบาลติดต่อมาขอให้ช่วยเรื่องนี้ จะรับหรือไม่? รศ.ดร.ต่อตระกูล ครุ่นคิดก่อนตอบว่า “ผมคิดว่า คนที่มีหน้าที่อาจจะเป็น วสท.มากกว่า ยกเว้นแต่ว่า เฟ้นหากันมาแล้ว แต่ไม่มีใครทำ เพราะเสี่ยงต่อชื่อเสียงและเสียเวลา กรณีแบบนี้ผมถึงจะช่วย”

“เมื่อสมัยกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 13 เหลือเวลาอีก 3 ปี ประเทศไทยยังไม่ได้ทำอะไรเลย และสภาเอเชียนเกมส์เขาจะยกเลิกไม่ให้ประเทศไทยทำแล้ว ม.ธรรมศาสตร์​ เขาก็อนุญาตให้ใช้พื้นที่แถวรังสิต สร้างเป็นศูนย์กีฬา โดยมีงบอยู่ 6,000 ล้าน ประกาศหาคนไปช่วยทำ แต่ตอนนั้นทุกคนงานเยอะไม่มีใครไปเสนอตัวทำเลย มีแต่คนบอกว่า งานนี้ทำไม่ได้หรอก ทำไปก็เปลืองตัว แต่ผมก็เสนอตัวไปทำ

ดังนั้น ผมมองว่า หากไม่มีใครทำ ผมก็จะช่วยทำ แต่หากมีคนทำแล้วก็ให้เขาทำไป...”


ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน