เมื่อเอ่ยชื่อ “คอนสแตนติน ฟอลคอน” บุรุษผู้นี้อาจเป็นชาวต่างชาติในประวัติศาสตร์ไทยที่หลายคนคุ้นหู คุ้นที่มากันเป็นอย่างดีในช่วงที่ผ่านมา แต่คุณรู้หรือไม่ ว่า ประวัติศาสตร์ชาติไทยยังมีเรื่องราวทั้งในและนอกตำราของบุรุษต่างชาติ ผู้เข้ามาสร้างวีรกรรมทั้งดีและร้ายเอาไว้มากมายในผืนแผ่นดินไทย...
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จับเข่าย้อนเล่าเรื่องเมื่อหลายร้อยปีก่อนกับ “ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ชวลิต ขาวเขียว คณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร” ถึงเหตุการณ์หนหลังของผู้ที่เดินทางไกลมาจากต่างแผ่นดิน และนี่คือต่างชาติ 3 คนในประวัติศาสตร์ ที่พงศาวดารยังต้องจารึก!
...
ยามาดะ นางามาซะ หรือ ออกญาเสนาภิมุข ซามูไรแห่งอโยธยา
ซามูไร ยามาดะ เข้ามาในช่วงกรุงศรีอยุธยา สมัยพระเจ้าทรงธรรม (ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2153 – 2171) ซึ่งในสมัยนั้น พระเจ้าทรงธรรมทรงสนพระราชหฤทัยการทูตกับญี่ปุ่นมาก ถึงขนาดส่งคณะทูตจำนวน 60 คนของพระองค์ ไปถึงเมืองเอโดะ ประเทศญี่ปุ่น โดยมีพระราชสาส์นที่มีใจความโดยสรุปว่า อยุธยา ดูแลเอาใจใส่ชาวญี่ปุ่นดังราษฎรของอยุธยาเอง โดยให้ชาวญี่ปุ่นอยู่เป็นหมู่บ้าน
ขณะที่ การเดินทางกลับของคณะทูตสยามในครั้งนี้ ได้มี ซามูไรชั้นผู้น้อยคนหนึ่งขอเดินทางกลับมากับคณะทูตด้วย ซามูไรผู้นี้นามว่า “ยามาดะ นางามาซะ” ซึ่งท่านผู้นี้เป็นเพียงคนหามเกี้ยวของโชกุนเท่านั้น เพราะฉะนั้น เหตุผลของการเดินทางเข้ามาสู่กรุงศรีอยุธยาในครั้งนี้คงหนีไม่พ้น เหตุผลที่ว่า มาเพื่อแสวงหา สภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีกว่า
เมื่อซามูไร ยามาดะ เข้ามาอยู่ในสยามก็ทำงานขยันขันแข็ง จนได้รับราชการในกรมอาสาญี่ปุ่น และเป็นเจ้ากรมอาสาญี่ปุ่น ในเวลาต่อมาในชื่อออกญาเสนาภิมุข (ตำแหน่ง ออกญา เทียบเท่า พระยา)
ในช่วงที่ชีวิตของออกญาเสนาภิมุขเพื่องฟู ขุนนางผู้นี้ได้สร้างสมอิทธิพลเอาไว้มากมาย จนกลายเป็นขุนนางที่มีอำนาจในราชสำนักและเป็นที่เกรงกลัวของบรรดาขุนนางและทหารอยุธยาเป็นอย่างมาก แต่เมื่อสิ้นแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม การเมืองในราชสำนักก็ระส่ำระสาย
ณ ขณะนั้น พระเจ้าเชษฐาธิราช พระราชโอรสของพระเจ้าทรงธรรม ได้ส่งซามูไร ยามาดะกับพวก 800 คน ไปสังหารออกหลวงมงคล ซึ่งเป็นเพื่อนรักของซามูไร ยามาดะ เพราะออกหลวงมงคลผู้นี้ ให้ความช่วยเหลือพระศรีศิลป์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระอนุชาของพระเจ้าทรงธรรม และมีสิทธิ์ในราชบัลลังก์
ซามูไร ยามาดะได้ใช้อุบาย ด้วยการส่งคนไปหาออกหลวงมงคล และบอกว่าจะเข้าข้าง พร้อมบอกกับออกหลวงมงคลว่า อย่าจริงจังในการรบนัก และด้วยความที่ซามูไร ยามาดะเป็นเพื่อนรัก ฝ่ายออกหลวงมงคล จึงหลงเชื่อ และยอมทำตามอุบายของซามูไร ยามาดะ จนในที่สุด ทัพฝ่ายออกหลวงมงคลก็แตกพ่าย
...
จากนั้นไม่นาน เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ (ต่อมาเป็น สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง) ได้วางแผนแย่งชิงบัลลังก์จากพระเจ้าเชษฐาธิราช โดยวางแผนกำจัดขุนนางชั้นผู้ใหญ่จนสิ้นชีพไปหลายต่อหลายคน แล้วยกเอา พระอาทิตยวงศ์ วัย 10 พรรษา พระอนุชา ขึ้นมาเป็นกษัตริย์แทน แต่ต่อมาไม่นาน เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ ก็กล่าวหา พระอาทิตยวงศ์ ว่า “ไม่รู้จักว่าราชการ เอาแต่เที่ยวเล่นจับแพะชนแกะไปวันๆ” จึงได้วางแผนปลงพระชนม์
ซามูไร ยามาดะ ที่ในขณะนั้นถือว่ามีอำนาจและบทบาททางการเมืองและการทหาร ไม่แพ้เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์แม้แต่น้อย กลับไม่เห็นด้วยกับการวางแผนปลงพระอาทิตยวงศ์ลงจากราชสมบัติเป็นอย่างยิ่ง จึงขัดขวางแผนการของเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์อย่างเต็มที่ แต่ด้วยเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ควบคุมพระราชวังและพระอาทิตยวงศ์เอาไว้ได้ จึงทำให้แผนปลงพระอาทิตยวงศ์ลงจากราชสมบัติสำเร็จ
...
กระนั้น เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ กลับเกรงกลัวอำนาจของออกญาเสนาภิมุข และบรรดาทหารอาสาญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก จึงทำได้แค่ผูกมิตรไว้ และวางแผนกำจัดโดยการส่งออกญาเสนาภิมุข และทหารอาสาญี่ปุ่นไปครองเมืองนครศรีธรรมราช จากนั้น เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ ได้ปราบดาภิเษกตนเองเป็น สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง กษัตริย์องค์ที่ 24 แห่งกรุงศรีอยุธยา
เมื่อ ซามูไร ยามาดะ เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช โดยมีเรื่องเล่าว่า พระยานครศรีธรรมราช ซามูไร ได้ทำเรื่องไม่ดีไม่งามไว้มาก ดังบทชาน้อง (กล่อมเด็ก) ของชาวนครศรีธรรมราช ความว่า
“ไก่อูกเหอ ไก่อูกหางลุ่น
ข้าหลวงญี่ปุ่น ทำวุ่นจับเด็ก
จับเอาแต่สาวสาว บ่าวบ่าวไปทำมหาดเล็ก
ญี่ปุ่นจับเด็ก วุ่นทั้งเมืองนครเอย”
ในช่วงที่ ซามูไร ยามาดะ เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ซามูไร ยามาดะ ได้ยกทัพไปทำศึกกับปัตตานี ขณะที่การรบยังไม่เสร็จสิ้น ซามูไร ยามาดะ ถูกฟันที่ขาบาดเจ็บ จึงยกทัพกลับนครศรีธรรมราชเป็นการชั่วคราว
การเพลี่ยงพล้ำของซามูไร ยามาดะ ในครั้งนี้ ความทราบไปถึงพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งพระองค์ทรงโปรดข่าวนี้มาก จึงทรงบัญชาให้ออกพระมะริด เจ้าเมืองไชยา นำยาพิษมาใส่แผลให้ซามูไร ยามาดะ โดยหลอก ซามูไร ยามาดะว่าเป็นยาหลวงจากราชสำนักทั้งที่เป็นยาพิษงูผสมยางไม้ชนิดหนึ่ง ทำให้ ซามูไร ยามาดะ เสียชีวิตในอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา
...
ออกญากำแพง แขกมัวร์ผู้กระหายอำนาจ
ในยุคสมัยเดียวกันกับเรื่องราวข้างต้นนั้น ยังมีเรื่องราวชีวิตของชาวต่างชาติอีกผู้หนึ่งที่มีบทบาทไม่ต่างกับ ซามูไร ยามาดะ
เขาคือ “ออกญากำแพง”
ออกญากำแพง เป็นขุนนางมุสลิมแขกมัวร์ มีอิทธิพลสูงมากในกรุงศรีอยุธยา ร่ำรวยมีทรัพย์สมบัติมากมาย และยังมีกองกำลังส่วนตัว ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 2,000 คน ช้างมากกว่า 200 เชือก และม้าอีกจำนวนมาก
เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ (ต่อมาเป็น พระเจ้าปราสาททอง) เล็งเห็นว่า ออกญากำแพงนั้น เป็นแขกมัวร์ที่มีอำนาจมาก ซึ่งในภายภาคหน้าแขกมัวร์ผู้นี้ อาจเป็นผู้ที่จะเข้ามาระงับยับยั้งอำนาจวาสนาของพระยากลาโหมสุริยวงศ์
เหตุนี้ เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ จึงยื่นข้อเสนอกับออกญากำแพง ว่า เมื่อล้มสมเด็จพระเชษฐาธิราชได้ จะให้ออกญากำแพงขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ทั้งๆ ที่เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์รู้ว่า การที่แขกมัวร์จะขึ้นมาเป็นกษัตริย์ ย่อมเป็นไปได้ยาก เพราะคงไม่มีชาวอยุธยาผู้ใดยอมรับให้แขกมัวร์ต่างแผ่นดินขึ้นมาเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาได้อย่างแน่นอน
เมื่อเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์นำกองกำลังของตนก่อการใหญ่บุกเข้าวังหลวงสำเร็จ และสมเด็จพระเชษฐาธิราชเสด็จฯ หนีไป ออกญากำแพงได้ขึ้นไปนั่งบนราชบัลลังก์ หนุนพระเขนยอิง (หมอนอิง) นำพระมหามงกุฎมาสวมใส่ และถือพระแสงดาบกับพัดอันเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ แสดงตนเป็นพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน
เมื่อเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์มาถึง ออกญากำแพงก็เรียกให้เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ถวายบังคมตนในฐานะกษัตริย์ และบอกว่าถ้าทำตามนี้จะสถาปนาออกญากลาโหมสุริยวงศ์ขึ้นเป็นพระมหาอุปราช แต่เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์กล่าวว่า ควรจะสถาปนาสมเด็จพระอาทิตยวงศ์ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ เพื่อไม่ให้คนครหานินทาว่าทำการใหญ่เพื่อแย่งชิงราชสมบัติ
ขณะที่ การกระทำของออกญากำแพง กลับกลายเป็นความไม่พอใจของขุนนางหลายฝ่าย และไม่มีชาวอยุธยาผู้ใดจะยอมรับให้แขกมัวร์เป็นกษัตริย์ ฉะนั้น การกระทำของออกญากำแพงจึงไม่ต่างอะไรกับ “กบฏปล้นราชสมบัติ”
เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ ได้วางแผนร่วมกับออกญาพระคลัง ขุนนางคนสนิท ว่า ตนจะทูลซัดทอดความผิดหลายประการของออกญากำแพงต่อสมเด็จพระอาทิตยวงศ์ โดยให้ออกญาพระคลังเป็นพยานยืนยันความผิดนั้นๆ หลังจากวางแผนเสร็จ เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ จึงไปทูลความผิดของออกญากำแพง ว่า...
"ออกญากำแพงเป็นผู้นำในการก่อกบฏโค่นล้มสมเด็จพระเชษฐาธิราช รวมไปถึงใช้กำลังข่มขู่ขุนนางอื่นๆ ให้ร่วมก่อการด้วย
ออกญากำแพงขึ้นไปนั่งบนราชบัลลังก์เอาเครื่องราชกกุธภัณฑ์มาสวมใส่และแสดงอาการบ่งบอกชัดว่าต้องการเป็นกษัตริย์ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดจริงและการกระทำแบบนี้เสมอด้วยกบฏ ไม่สามารถหลุดพ้นข้อกล่าวหาไปได้"
จากนั้น ออกญาพระคลังก็ทูลยืนยันความผิดของออกญากำแพง เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ จึงทูลว่าออกญากำแพงเป็นภัยต่อแผ่นดินสมควรจะถูกกำจัดทิ้ง สมเด็จพระอาทิตยวงศ์ซึ่งเป็นยุวกษัตริย์ พระชันษาเพียง 10 ปี ก็ทรงเชื่อตามนั้น
ด้วยเหตุนี้ จึงมีพระราชโองการให้จับออกญากำแพงเข้าคุก และถูกลงโทษจำ ถูกริบราชบาตร ข้าทาสต่างก็ถูกแบ่งกันไปในหมู่ขุนนาง ในเวลาเพียงครู่เดียวออกญากำแพงก็หมดอำนาจลงโดยสิ้นเชิง แต่ตัวออกญากำแพงยังไม่รู้ว่าทำไมตนจึงถูกจับ และเชื่อว่าออกญากลาโหมสุริยวงศ์จะช่วยเหลือตนได้
วันหนึ่ง เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ ได้ไปหาออกญากำแพงในคุก โดยแสดงท่าทีประหลาดใจที่ออกญากำแพงถูกจับ และได้ปลอบออกญากำแพง ว่า ตนจะช่วยเหลือ และสาบานว่าก่อนพระอาทิตย์ตกดินออกญากำแพงจะถูกปลดปล่อยจากพันธะอันหนักหน่วงและได้ออกจากคุกอย่างแน่นอน จากนั้น ก็ลากลับไป
วันนั้น ก่อนพระอาทิตย์ตกดินราวสองชั่วโมง ออกญากำแพงก็ได้ออกจากคุกจริงๆ โดยถูกนำตัวไปยังประตูท่าช้างริมแม่น้ำ ซึ่งเป็นแดนประหาร ด้วยโทษ “กบฏต่อต้านสมเด็จพระมหากษัตราธิราชเจ้า” ออกญากำแพงถูกจับมัดกับต้นกล้วย แล้วถูกฟันที่สีข้างซ้ายจนลำไส้ทะลักออกมา จากนั้น จึงถูกหวายเสียบคอ แล้วใช้หวายนั้นแขวนศพไว้บนตะแลงแกงไม้ไผ่ ประจานให้คนทั่วไปได้เห็น ซึ่งนับว่า เป็นวาระสุดท้ายของขุนนางแขกมัวร์ ต่างชาติที่เคยขึ้นไปนั่งบนราชบัลลังก์ พร้อมเอาเครื่องราชกกุธภัณฑ์มาสวมใส่
เซอร์จอห์น เบาว์ริง ผู้มากับเรือรบ ข่มขวัญชาวสยาม
เซอร์ จอห์น เบาว์ริง (Sir John Bowring) ...ชาวต่างชาติชื่อคุ้นหูที่คนสยามรู้จักเป็นอย่างดี
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) สยามเริ่มเผชิญหน้ากับลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตกที่แพร่ขยายไปส่วนต่างๆ ของโลก ทำให้พระองค์ทรงตระหนักว่า สยามต้องยอมเปิดสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก ด้วยการทำสนธิสัญญาที่สยามเสียเปรียบเต็มประตู
โดยผู้ที่สมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียแห่งอังกฤษทรงแต่งตั้งให้มาจัดการกับสนธิสัญญาก็คือ เซอร์จอห์น เบาว์ริง ซึ่งการเจรจาระหว่างอังกฤษและสยามเป็นไปด้วยดี เนื่องจากรัชกาลที่ 4 ได้โปรดเกล้าฯ ให้เซอร์จอห์น เบาว์ริง เข้าเฝ้าฯ เพื่อเป็นการเจรจากันภายในก่อน ขณะเดียวกันสถานการณ์รอบด้านในเวลานั้น เช่น การที่จีนต้องพ่ายแพ้ต่ออังกฤษในสงครามฝิ่น, การที่อังกฤษยึดพม่าตอนใต้ได้ ทำให้รัชกาลที่ 4 ต้องเปลี่ยนนโยบายการติดต่อกับต่างประเทศจากที่เคยติดต่ออย่างระมัดระวัง เปลี่ยนเป็นการยอมทำสนธิสัญญาตามเงื่อนไขตะวันตก และพยายามรักษาไมตรีนั้นไว้ให้ดีเพื่อความอยู่รอดของประเทศ
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า สยามถูกบีบคั้นให้ลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริงทั้งที่ไม่เต็มใจนัก เนื่องจากตระหนักถึงผลเสียหายที่อาจจะบังเกิดขึ้นหากขัดใจ เซอร์จอห์น เบาว์ริง เพราะก่อนหน้านี้อังกฤษสั่งให้เรือรบอังกฤษถล่มเมืองกวางตุ้งจนราบเป็นหน้ากลอง อุปมากับภาษิตที่ว่า เชือดไก่ให้ลิงดู และก็ดูจะได้ผลจริงๆ ในความคิดของเซอร์จอห์น
ขณะที่ สนธิสัญญาเบาว์ริง ประกอบด้วยข้อตกลง 21 ข้อ เนื้อหาของสัญญาเป็นความเข้าใจทางพระราชไมตรีและการกำหนดระเบียบใหม่ทางเศรษฐกิจ ได้แก่ การค้าเสรี การจัดเก็บภาษี สิทธิสภาพนอกอาณาเขต และสิทธิมนุษยชน
โดยก่อนหน้านี้ อังกฤษมีความระแวงอยู่ตลอดเวลาว่า สยามจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับการยกเลิกอำนาจของกรมพระคลังสินค้า จนอาจมีปฏิกิริยาต่อต้านข้อเสนอของอังกฤษ จึงได้ส่งสารเข้ามาก่อนเหมือนเขียนเสือให้วัวกลัว ดังคำชี้แจงของ เซอร์จอห์น เบาว์ริง ซึ่งบรรจุเหตุผลทั้งไม้นวมและไม้แข็งไว้ในฉบับเดียวกันว่า
“พระมหากษัตริย์ของเสอยอนโบวริงให้เข้ามาทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีค้าขายแลการค้าอื่นๆ หลายอย่างเพื่อจะให้บ้านเมืองเจริญขึ้น เดี๋ยวนี้ที่ทะเลเมืองจีนมีเรือรบอยู่ในบังคับอังกฤษมาก เสอยอนโบวริงจะเข้ามาเยี่ยมเยือน มิใช่จะมาทำให้บ้านเมืองไทยตื่นตกใจ เสอยอนโบวริงจะเข้ามาด้วยเรือน้อยลำ ท่านเสนาบดีก็อย่าเข้าใจผิดไปแล้วก็อย่าให้เป็นเหตุขัดขวางทางสัญญาไมตรีค้าขาย เพราะมาน้อยลำ ถ้ารับรองโดยรักใคร่กัน ใจของเสอยอนโบวริงคิดสมควรกับบ้านเมืองใหญ่แล้ว ในใจเสอยอนโบวริงไม่อยากจะเอากำลังอำนาจใหญ่ใช้เลย”
ทั้งนี้ มีหลักฐานยืนยันว่า อังกฤษส่งเรือรบประกบเข้ามาพร้อมกับ เซอร์จอห์น เบาว์ริง ด้วย และพร้อมที่จะใช้มาตรการรุนแรงกับสยามทันที ดังเช่นที่ได้ทำมาแล้วกับชาวจีน ถ้าหากสยามปฏิเสธความหวังดีของอังกฤษ โดยไม่คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน หรือความเห็นใจใดๆ ทั้งสิ้น เท่ากับสลัดทิ้งมาดสุภาพบุรุษที่คนอังกฤษเป็นต้นแบบมาช้านาน
ต่างชาติส่วนใหญ่ เข้ามาทำเรื่องดี...ความเห็นจาก คณบดีคณะโบราณคดี
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ชวลิต ขาวเขียว คณบดีคณะโบราณคดี ได้ให้ความเห็นกับทีมข่าวไว้ว่า ในบันทึกทางประวัติศาสตร์ จะพบว่า เมื่อครั้งที่ชาวต่างชาติต่างแผ่นดินเดินทางเข้ามาที่สยามนั้น จะปรากฏเป็นเรื่องราวในแง่บวกเป็นส่วนมาก เนื่องจากผู้บันทึกประวัติศาสตร์เป็นต่างชาติ จึงไม่แปลกที่จะเขียนเล่าเรื่องราวของชนชาติตนเองในทางที่ดี แต่ในขณะที่ บันทึกทางประวัติศาสตร์ของสยามนั้น มีค่อนข้างน้อยและสูญหายไปในช่วงเสียกรุงครั้งที่ 2 เป็นจำนวนมาก
“แต่เมื่อนำบันทึกของสยามและของชาวต่างชาติมาเทียบเคียงกันแล้วพบว่า เหตุการณ์ที่เกิดในช่วงเวลานั้นๆ มีความคล้ายคลึงกันอยู่พอสมควร” คณบดีคณะโบราณคดี ประเมินจากประสบการณ์ของตนเองที่ใช้เวลาเรียนรู้บันทึกเก่าแก่ทั้งไทยและเทศ
“การเข้ามาของต่างชาตินั้น ปรากฏพบตั้งแต่ช่วงสมเด็จพระนเรศวรที่มีชาวญี่ปุ่นเข้ามาช่วยในเรื่องของการรบ และมาพีคสุดในช่วงที่สมเด็จพระนารายณ์เปิดประเทศ เพราะในยุคนั้น อยุธยาเฟื่องฟูเป็นอย่างมาก และถึงขั้นส่งคณะทูตไปเยือนฝรั่งเศส” คณบดีคณะโบราณคดี ทิ้งท้าย.