สมาชิก

วัยแสบสาแหรกขาด

ตอนที่ 12

อัลบั้ม: 'อาเล็ก-จ๊ะ' ล้วงปัญหาครอบครัว ละครน้ำดี 'วัยแสบสาแหรกขาด'




ทรายได้ข่าวดีของนวลสราญเธอเดินไปบอกกรที่อยู่อีกบ้านหนึ่ง กรนึกสนุกเอาเทียนไว้ใต้คางทำผีหลอก ทรายตกใจนึกว่าผีหลอก กรถามว่าเธอกลัวผีแต่ไม่กลัวตนใช่ไหม ทรายบอกให้เขาไปแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนตนมีเรื่องจะคุยด้วย

คุยเสร็จทรายกลับไปบ้านพัก ปาล์มทักว่ายิ้มแบบนี้แสดงว่ารายงานเรียบร้อยดี ทรายบอกว่าก็ดี

“ดีเลเวลไหน? เต็มสิบ”

“ก็...เลเวล...ยังมีสติ ยับยั้งชั่งใจได้”

“โอเค จะได้ไม่ต้องห่วง ถ้าเกินเลเวลนี้เมื่อไหร่ อยากให้เตือนก็บอกแล้วกัน บอกตามตรง ไม่อยากเห็นแกเจ็บ”

“อือ...ถ้าเริ่มเจ็บแล้วจะบอก”

ทรายตอบแล้วภาพกรยิ้มสดใสก็แว่บเข้ามาในห้วงคิด แต่ทรายพยายามสะบัดทิ้ง บอกตัวเองว่า “ไม่คิดๆๆๆ” แล้วเข้านอน พยายามหลับ...

ooooooo

ยอดยุทธจับได้ว่าหวายปดว่าไปติวที่แท้ไปฝึกปีนผา เพื่อความแน่ใจยอดยุทธตามไปดูถึงที่ฝึกจนรู้แน่ชัด

หวายฝึกเสร็จก็ไปหาเป็นสุข ขณะแม่ลูกคุยกัน ยอดยุทธพรวดเข้าไปตบหวายอย่างแรง ตะคอกถามว่า

“นังครูนั่นมันเป็นคนบอกให้มึงไปใช่ไหม มึงยังอยู่ในโครงการเด็กบ้านั่นใช่ไหม กูห้ามมึงแล้ว ทำไมมึงไม่ฟังกล้าขัดคำสั่งกู!”

เมื่อหวายเงียบก็ยิ่งโมโหฟาดหัวผัวะ! ลูกหว้ากับเป็นสุขร้องห้าม แต่ยอดยุทธก็ไม่หยุด เป็นสุขพยายามจับมือยอดยุทธไว้ ร้องขอว่า

“อย่านะพี่ อย่าทำอะไรลูก ฉันเป็นคนอนุญาตให้มันอยู่ในโครงการของครูทรายเอง ที่ฉันยอมเพราะฉันไม่อยากให้ลูกเป็นเหมือนพี่”

ยอดยุทธยิ่งโมโหถามว่า เป็นอย่างตนแล้วเป็นไง ตนทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาดเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว

ส่งเรียน อยากได้อะไรก็ให้ แล้วยังจะเอาอะไรอีกโทษว่าที่หวายเป็นแบบนี้เพราะเป็นสุขยุให้เกลียดตนเพื่อจะได้รักตัวเองคนเดียว แล้วพุ่งเข้าตบเป็นสุขอย่างแรง ลูกหว้าร้องไห้บอกพ่ออย่าทำแม่ ยอดยุทธตามไปจะตบซ้ำอีก

“หยุดดดดด! อย่าทำแม่กู!!” หวายตะโกนลั่น คว้าเก้าอี้เหวี่ยงไปที่ยอดยุทธเฉียดไปนิดเดียว เก้าอี้กระแทกผนังโครมหักยับเยิน ทุกคนตะลึง ไม่มีใครคิดว่าหวายจะกล้าทำกับพ่ออย่างนี้ โดยเฉพาะยอดยุทธมองหวายอย่างไม่อยากเชื่อ

เป็นสุขรีบลุกขึ้นไปยืนกั้นหวายไว้เพราะคิดว่ายอดยุทธต้องเล่นงานหวายหนักแน่

“อย่าทำลูกนะพี่ ลูกทำเพราะความโกรธ อย่าทำอะไรลูกเลยนะ” เป็นสุขละล่ำละลักอ้อนวอนน้ำตาอาบหน้า

หวายยืนตัวสั่น ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ ผิดหวังในตัวเอง สับสนไปหมด น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว

ยอดยุทธมองหน้าหวาย มองหน้าเป็นสุขที่เอาตัวเข้าปกป้องลูก มองลูกหว้าที่ก้มหน้าร้องไห้ด้วยความกลัว นาทีนี้ยอดยุทธรู้สึกละอายอยู่ลึกๆ ค่อยๆถอยออกไป

เป็นสุขโล่งอก กอดหวายด้วยความเป็นห่วง หวายร้องไห้ออกมาอย่างสับสนและรู้สึกผิดอย่างมากมาย...

ooooooo

ยอดยุทธกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานหน้าตาเคร่ง-เครียด แล้วเขาก็ยิ่งเครียดจนเส้นโลหิตในสมองแตกโกรธที่ลูกน้องทำงานส่งลูกค้าผิดสเปกถ้าไม่เอาของใหม่ไปเปลี่ยนก็จะเอาเงินคืน

ขณะเป็นสุขกับหวายกำลังช่วยกันเก็บข้าวของที่กระจายเกลื่อนกลาดนั้น ก็ได้รับโทรศัพท์จากลุงพลแจ้งว่า

ยอดยุทธเข้าโรงพยาบาล หวายช็อกลุกขึ้นชกกำแพงพลั่ก! เป็นสุขกับลูกหว้าตกใจช่วยกันจับหวาย เป็นสุขกอดหวายไว้ร้องห้ามว่า

“พอหวาย พอแล้ว ลูกไม่ผิด อย่าโทษตัวเองนะ ลูกนะ”

หวายเครียด อัดอั้น น้ำตาไหลพราก

เมื่อพากันไปที่โรงพยาบาล เป็นสุขกับลูกหว้ารีบเข้า ไปในห้อง แต่หวายรู้สึกตัวเองผิดที่ทำให้พ่อเป็นอย่างนี้ไม่กล้าเข้าไปสู้หน้าพ่อ ถอยกลับมานั่งเศร้าที่หน้าห้อง

ทรายโทรศัพท์คุยกับเป็นสุขรู้ว่าหวายไม่กล้าเข้าไปสู้หน้าพ่อก็บอกว่าไม่ต้องกังวลตนกำลังจะกลับแล้ว ขณะเดียวกันกรก็กำลังคุยกับแปมที่นพลักษณ์ให้ตามกรไปพบแต่กรไม่อยู่ กรบอกแปมว่าตนจะรีบกลับไปอธิบายกับแม่เอง

เมื่อทั้งทรายและกรมีเรื่องด่วนที่ต้องรีบกลับ กรตัดสินใจจะบินกลับกับทราย และจะให้คนมาเอารถกลับพร้อมปาล์ม

“แกรู้แล้วนะว่าต้องทำอะไรบ้าง มีอะไรโทร.หาฉันได้ตลอด ดูแลตัวเองด้วย” ทรายบอกปาล์มก่อนไปขึ้นเครื่อง

“โอเค แกไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจะคอยรายงานแกนะ”

ooooooo

หวายนอนหลับอยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องคนไข้ เขาสะดุ้งตื่นเมื่อจู่ๆก็มีน้ำหยดลงที่หน้า ลืมตาดูเห็นปุ่นถือน้ำแตงโมปั่นกับปาทองโก๋มาให้ บอกให้กินเสียปาท่องโก๋กับน้ำแตงโมปั่นเข้ากันดีออก

หวายถามว่ารู้ได้ไงว่าตนอยู่ที่นี่ ปุ่นบอกว่าศักดิ์ชายบอก ถามว่าพ่อเป็นไงบ้าง หวายบอกว่าหนัก ปุ่นถามว่าหนักขนาดยังเยี่ยมไม่ได้หรือ หวายชะงักไม่กล้าบอกความจริงว่าตนไม่กล้าเข้าไป เลยเฉไฉบ่นปุ่นว่าถามอะไรเยอะแยะ เป็นหมอหรือ ปุ่นอยากบอกว่าเป็นห่วงแต่ไม่กล้าพูด บอกหวายว่ามีอะไรให้ช่วยบอกก็แล้วกัน

เป็นสุขกับลูกหว้าออกมาจะไปซื้ออาหาร หวายจึงแนะนำปุ่นให้รู้จักกับแม่และลูกหว้าว่าเป็นเพื่อนที่ห้อง เป็นสุขบอกว่ากำลังจะไปซื้ออาหารชวนปุ่นอยู่กินด้วยกัน

“ไม่เป็นไรค่ะ พอดีหนูนัดกินข้าวกับพ่อไว้ ต้องไปแล้วค่ะ ไว้แวะมาใหม่นะคะ สวัสดีค่ะ”

พอปุ่นไปลูกหว้าต่อว่าพี่ชายว่ามีแฟนไม่ยอมบอกกันเลย หวายบอกว่าเพื่อนแต่ลูกหว้าไม่เชื่อ เป็นสุขชวนหวายไปด้วยกัน หวายขอรอแม่ตรงนี้ก็แล้วกัน แล้วก็นั่งเครียดอยู่คนเดียว

ooooooo

พีรดาจะพามินนี่ออกจากโรงพยาบาล แต่เจอกองทัพนักข่าวมาดักรออยู่หน้าโรงพยาบาลเต็มไปหมด พยาบาลอาสาพาหลบออกไปทางประตูหลัง จึงหนีรอดนักข่าวไปได้

แต่ก็ไปเจอกองทัพนักข่าวดักรออยู่ที่หน้าบ้าน พีรดาไม่รู้จะทำอย่างไรจึงโทร.บอกฉัตร ฉัตรให้ใจเย็นๆ ตนมีวิธี

วิธีของฉัตรคือให้พีรดาจอดรถรอ ตนจะไปรับมินนี่มา แล้วพีรดาก็รับหน้านักข่าวเล่นบทแม่นางเอกที่น่าสงสาร อย่าปรี๊ดแตก อย่าร้าย ดังนั้น เมื่อรถตู้มาจอดที่หน้าบ้าน จึงมีพีรดาลงจากรถคนเดียว นักข่าวแปลกใจชะโงกดูในรถก็ไม่มีมินนี่!

“มินนี่ไม่ได้มาค่ะ ตอนนี้เขายังไม่พร้อมเจอใคร พี่ส่งไปอยู่ที่อื่นสักพัก น้องๆอย่าเสียเวลาเลยนะคะ พี่ขอนะคะ ขอให้เข้าใจน้องหน่อย” พีรดาขอร้องอย่างนุ่มนวล นักข่าวผิดหวังแต่ก็ยังจ่อไมค์ถามเรื่องมินนี่กินยาฆ่าตัวตายเพราะภาพหลุดจริงหรือเปล่า พีรดาพยายามทำหน้านิ่งๆ ทั้งที่ไม่พอใจมาก บอกนักข่าวว่า “ขอให้เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวนะคะ”

แต่นักข่าวไม่ยอมหยุด ยังจิกคุ้ยต่อ ถามว่ามินนี่ทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ เพื่อสร้างกระแสหรือเปล่า พีรดาอึ้งแทบจะกลั้นอารมณ์ไม่อยู่จนเกือบจะร้องไห้ แต่ก็นึกถึงคำเตือนของฉัตร พยายามข่มอารมณ์ ถามนักข่าวว่า

“คุณมองเด็กอายุ 16-17 ในแง่ร้ายไปหรือเปล่า น้องยังเด็กนะคะ อาจจะทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง แต่พี่เลี้ยงลูกมาเองกับมือ ลูกพี่ไม่ได้เป็นอย่างที่น้องบอกแน่นอน ส่วนเรื่องยาพี่ขอไม่ตอบค่ะ ขอให้น้องเห็นใจคนเป็นแม่บ้าง ทุกวันนี้เห็นลูกเจ็บคนเป็นแม่เจ็บมากกว่า ไม่มีแม่คนไหนอยากเอาความเจ็บปวดของลูกมาพูดให้คนอื่นฟังหรอกค่ะ เข้าใจพี่ด้วยนะคะ พี่ขอล่ะค่ะ ขอความเป็นส่วนตัวให้ลูกพี่ด้วยนะคะ”

พีรดาตีบทแตกกระจายร้องไห้อย่างน่าสงสารจนนักข่าวจุก ถามไม่ออก

ฉัตรรับมินนี่ไปที่คอนโด บอกให้อยู่เหมือนบ้านตัวเอง ขณะนั้นคิมเอาน้ำผลไม้สองแก้วกับขนมขบเคี้ยวมาให้บอกมินนี่ว่ามาเหนื่อยๆ ดื่มน้ำผลไม้กินขนมก่อน อวดว่าร้านนี้อร่อยนะ แล้วหยิบแก้วหนึ่งให้ฉัตร บอกเขาว่าตนจะออกไปอยู่กับเพื่อนสักพัก ไม่ต้องห่วง อยู่กับลูกตามสบายได้เลย ฉัตรขอบคุณซึ้งน้ำใจของคิม

มินนี่เห็นพ่อกับคิมส่งสายตากันก็รู้สึกแปลกๆ เลยเดินหนีอย่างรับไม่ได้

ฉัตรหุงข้าวต้มมาปะเหลาะให้กินก็ไม่กิน บอกว่าไม่หิว ไม่อยากกิน อยากนอน ถามว่าจะให้ตนนอนที่ไหน

ฉัตรให้นอนที่โซฟาในห้องนั่งเล่น มินนี่ถามว่าทำไมไม่ให้นอนในห้อง ฉัตรบอกว่านอนข้างนอกดีแล้วมินนี่ทำอะไรพ่อจะได้เห็น มินนี่ทิ้งตัวลงนอนอย่างขัดใจ เหลือบเห็นแท็บเล็ตวางอยู่บนหลังตู้ก็อยากเล่น บอกฉัตรว่าตนจะนอนแล้ว ฉัตรบอกก่อนเดินออกไปว่าอยากได้อะไรก็บอกพ่อนะ

พอฉัตรเดินออกไป มินนี่ก็ลุกพรวดหยิบแท็บเล็ตเปิดเข้าเว็บไซต์อยากรู้ฟีดแบ็กว่าคนอื่นคิดอย่างไร กดที่เฟซบุ๊กปรากฏว่าเข้าไม่ได้เพราะไวไฟถูกล็อกรหัสไว้ มินนี่เซ็งมาก พลันก็ได้ยินเสียงฉัตรมาบอกว่า

“เครื่องนั้นพ่อใส่ E-book ไว้ ถ้าเบื่อก็อ่านได้”

มินนี่เซ็งมากที่พ่อรู้ทันวางแท็บเล็ตแล้วนอนทันที ฉัตรยิ้มอย่างรู้ทันแล้วเดินออกไป มินนี่ถูกปิดกั้นจากโลกภายนอกหมด ทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่หงุดหงิด ครู่หนึ่งก็เศร้า เครียด คิดถึงสิ่งที่ทำไปแล้วก็เสียใจ นอนร้องไห้...

ooooooo

หวายนั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องยอดยุทธ ทีวีเปิดอยู่เป็นรายการพระกำลังเทศน์สอนญาติโยม...

“...คนเราก่อนจะทำสิ่งใด จำเป็นต้องหยุดคิดเสียก่อน เพื่อรวบรวมสติให้ตั้งมั่น จิตใจสว่างแจ่มใส เพราะถ้าทำโดยไม่คิด จะต้องเสียใจภายหลัง แก้ไขอะไรก็ไม่ทันแล้ว... การกระทำ ไม่ว่าจะเป็นความคิด คำพูด และการกระทำทางกาย ต่างเป็นกรรม เมื่อทำไปแล้ว จะมีวิบากผล ดังนั้นต้องรอบคอบก่อนจะเริ่มคิดทำกรรมนั้นๆ”

หวายหลับตานั่งฟังพระเทศน์จากทีวี ระหว่างนั้นก็นึกถึงตอนที่ตนปาเก้าอี้ไปที่พ่อ...หวายน้ำตาไหลรู้สึกผิด ไม่น่าทำอย่างนั้นเลย ขณะนั้นเอง ทรายมาเรียก หวายสะดุ้งลืมตาเห็นทรายถือกระเป๋าและสัมภาระเข้ามาเพราะเพิ่งลงจากดอยก็มาหาหวายเลย ทรายกับหวายขึ้นไปคุยกันที่ระเบียงดาดฟ้า หวายพูดอย่างผิดหวังว่า

“ไหนครูบอกฝึกแล้วจะดีไง ผมฝึกตั้งนานไม่เห็นจะมีอะไรดีเลย”

“มันต้องใช้เวลา ถ้าไม่ฝึกหวายอาจจะแย่กว่านี้อีก วันนี้หวายปาเก้าอี้เพราะอยากให้พ่อหยุด ถ้าไม่ได้ฝึก หวายอาจจะปาใส่พ่อ พ่ออาจจะแย่กว่านี้ก็ได้” เห็นหวายฟังนิ่ง ทรายให้กำลังใจว่า “หวายอย่าเพิ่งท้อนะ ครูเชื่อว่ามันจะดีขึ้น เหตุการณ์นี้ทำให้เรารู้ว่า ถ้าวู่วามจะเกิดผลเสียยังไง ต่อไปจะได้ไม่ทำอีก แล้วก็เข้าไปเยี่ยมพ่อเขาด้วยนะ”

หวายมองหน้าทรายถามว่าครูรู้? ทรายพยักหน้าบอกหวายว่า “หมดเวลาโทษตัวเองแล้ว หวายเลิกรู้สึกผิด การหนีปัญหาไม่ได้ช่วยอะไร เป็นห่วงพ่อก็เข้าไปเยี่ยมท่านนะ” ทรายคุยกับหวายอย่างเข้าใจและสงสาร

หวายลุกขึ้นค่อยๆผลักประตูห้องเข้าไป เห็นยอดยุทธนอนนิ่ง ดูโทรมไม่ดุหรือเกรี้ยวกราดอย่างที่เคยเป็น มีสาย ระโยงระยางอยู่ตามตัว หวายเข้าไปนั่งข้างเตียง จับมือพ่อไว้ เอ่ยอย่างสำนึกผิด

“พ่อ...ผมขอโทษ...ผมขอโทษ...ฮืออออ...”

หวายร้องไห้อย่างอัดอั้นทั้งรู้สึกผิดและเป็นห่วงพ่อ...

ooooooo

ที่บ้านดุจฤทัย...บรรยากาศของครอบครัวดีมาก ทั้งภูทองและดุจฤทัยดูแลโชกุนอย่างใส่ใจใกล้ชิด โชกุนกระโดดอยู่บนแทรมโพลีนที่พ่อกับแม่เพิ่งไปซื้อมาให้อย่างสนุกสนาน โดยมีพ่อยืนเชียร์อยู่ใกล้ๆ

ดุจฤทัยเอาไอศกรีมมาให้โชกุนกิน โชกุนกระโดดไป กินไอศกรีมไป จังหวะหนึ่งพลาดทำไอศกรีมหกเลอะแทรม–

โพลีน ดุจฤทัยเห็นพอดีบ่นว่าหกเลอะเทอะหมด ใครให้กินไปโดดไปแบบนี้ โชกุนกลัวถูกดุโกหกโดยสัญชาตญาณว่า

“โชไม่ได้กินนะครับ โชเอามาวางเฉยๆ แล้วลมพัดแรงมันเลยหกเอง โชไปเอาอันใหม่นะคร้าบบบ...” ว่าแล้วลงจากแทรมโพลีนวิ่งเข้าบ้านไป ดุจฤทัยกับภูทอง มองหน้ากันเครียด

“เราคงต้องคุยกับครูทรายอีกทีแล้วล่ะ” ดุจฤทัยเอ่ยขึ้นอย่างผิดหวังที่ลูกยังโกหกอีก

ออกจากหวายทรายรู้สึกหิวจึงแวะหาอะไรรองท้อง ระหว่างนั้นก็ได้รับโทรศัพท์จากนวลสราญเล่าอย่าง

ดีใจว่าการวาดรูปทำให้ตังเมดีขึ้นมากเลย ตังเมดูสบาย ผ่อนคลายและยังมีเรื่องกลับมาเล่าให้ฟังตลอดเลย ทรายดีใจด้วยบอกว่าพรุ่งนี้จะแวะไปหาจะได้คุยกันเพิ่มเติม

นวลสราญกำลังสบายใจ จู่ๆชัยภูมิก็เอากุญแจรถเข้ามาวางบอกว่าเอารถของเธอกลับมาเสีย นวลสราญบอกว่าตนไม่จำเป็นต้องใช้รถแล้ว ถูกชัยภูมิปรามว่าอย่ารั้น แล้วถามหาตังเม นวลสราญบอกว่าไปเรียนศิลปะ

“ศิลปะ! ไปเรียนทำไม เปลือง เธอนี่ดีแต่ส่งเสริมลูกผิดๆ แทนที่จะให้เรียนคอมฯ เรียนเทนนิส กอล์ฟ จะได้หาเงินได้กลับส่งไปเรียนอะไรไร้สาระ!”

นวลสราญจี๊ดขึ้นมา เผลอจะเก็บกดอีก ดีที่นึกถึงที่ครูเอินบอกว่า

“ตามตัวเองให้ทันนะคะ ตามว่าเราคิดอะไร แล้วเราจะรู้ตัว ความรู้สึกลบๆ จะค่อยๆจางลง จนเป็นปกติ”

นวลสราญคุมสติทำตามที่ครูเอินบอก อารมณ์ค่อยๆ ผ่อนคลาย พูดกับชัยภูมินิ่งๆว่า

“เสี่ยคะ ต่อไปฉันจะไม่ให้ตังเมไปบ้านโน้น ฉันจะดูแลลูกเอง ส่วนรถนี่ฉันขอคืนให้เสี่ยค่ะ”

“ทำเป็นยโส จะดูแลลูก จะคืนรถ เก่งนักก็เลิกใช้เงินฉันด้วยสิ” นวลสราญบอกว่าต่อไปตนจะไม่ใช้แล้ว จะหางานทำ “เออ! จะหยิ่งก็หยิ่งให้มันสุด อย่าเก่งแต่ปาก ฉันจะคอยดูว่าใครจะเอาคนโง่ๆอย่างเธอทำงาน ทุกวันนี้แค่ให้เลี้ยงลูกยังเอาไม่รอด อวดดีจะหาเงินเอง ไม่เจียมตัว!”

“แล้วแต่เสี่ยจะคิด อะไรที่ฉันอยากพูด ก็พูดไปหมดแล้ว ตามนั้น จบนะคะ”

นวลสราญไปหยิบกระเป๋าจะออกไป เสี่ยถามว่าจะไปไหน เธอบอกว่าจะไปรับตังเม เสี่ยถามว่าไปยังไง เธอบอกว่าไปรถเมล์ เสี่ยบอกว่าจะไปส่งแต่นวลสราญไม่สนใจเดินออกไปเลย เสี่ยมองอย่างขัดใจแปลกใจกับการเปลี่ยนแปลงของเธอ แต่ก็ดูถูกว่ายังไงเธอก็ไปไม่รอด!

ooooooo

ขณะทรายกำลังจะออกจากร้านกาแฟที่เข้าไปหาอะไรรองท้องนั้น ก็ได้รับโทรศัพท์จากแม่ถามว่ากลับถึงไหนแล้ว ให้กลับมาทานข้าวด้วยกัน พอวางสายจากแม่ก็มีข้อความเข้า เธออ่านแล้วบอกแม่ว่า แม่ทานข้าวไปก่อนพอดีตนมีงานเข้า

ทรายเปลี่ยนทิศทาง แทนที่จะกลับบ้าน เธอเดินไปที่ป้ายรถเมล์ด้วยความมุ่งมั่นบ่ายหน้าไปที่โรงเรียนแทน

ทรายไปถึงห้องให้คำปรึกษา ปรากฏว่าภูทองกับดุจฤทัยรออยู่แล้ว ทั้งสองเล่าให้ฟังว่าพยายามดูแลลูกอย่างเต็มที่แล้วแต่โชกุนยังไม่เลิกโกหก

“การบำบัดเพิ่งเริ่มต้นนะคะ ครั้งก่อนเป้าหมายคือให้โชกุนกลับมาพูดด้วย ซึ่งโชกุนก็พูดด้วยแล้ว แสดงว่าเรามาถูกทางแล้วค่ะ ส่วนตอนนี้เป้าหมายใหม่ของเราคือทำให้น้องกล้ายอมรับว่าตัวเองโกหก” ทั้งภูทองและดุจฤทัยบอกว่าจะพยายามต่อไป ถึงนานเป็นปีก็จะทำ ทรายบอกว่า “ทำให้เขาไว้ใจค่ะ ทำให้เขากล้ายอมรับว่าโกหก ถ้าโชกุนรับรู้ถึงความรักจากพวกคุณจริงๆ เขาจะไว้ใจและกล้าพูดความจริงเองค่ะ”

ภูทองกับดุจฤทัยมองหน้ากันอย่างตัดสินใจที่จะทำเพื่อลูกต่อไป

ooooooo

กรกลับถึงบ้านทราบจากคนใช้ว่านพลักษณ์ไม่อยู่ ก็พอดีได้รับโทรศัพท์จากครูน้อย กรแปลกใจว่าครูน้อยโทร.มาทำไม...

จนกลางคืนนพลักษณ์กลับมา สมภพบอกกรว่ามาก็ดีแล้วแม่เขามาปรึกษาอยู่นานแต่พ่อก็ช่วยอะไรไม่ค่อยได้ แล้วสมภพก็ปล่อยให้แม่ลูกคุยกันเอง

นพลักษณ์เล่าว่าครูใหญ่ขอหุ้นโรงเรียนสามสิบเปอร์เซ็นต์ ถ้าเราหาครูมาไม่ทันก็ไม่มีทางอื่น ตนคงต้องแบ่งหุ้นให้ครูใหญ่เพราะอย่างน้อยก็สร้างโรงเรียนมาด้วยกัน กรหน้าตึงทันที บอกแม่ว่าอย่าเพิ่งแบ่งให้ ตนกำลังหาทางออกอยู่ นพลักษณ์ถามว่าจะทำอย่างไร

“ผมทำก็แล้วกัน แต่มันเป็นความลับบอกไม่ได้และผมไม่ได้ทำคนเดียว” นพลักษณ์ถามดักคอว่าครูทรายอีกแล้วสิ “ไม่ใช่ครับ รับรองว่าคนนี้จะทำให้ผมเปิดหน้ากากคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ทั้งหมดและครูที่ลาออกไปจะต้องกลับมา”

นพลักษณ์ถามว่าใคร กรไม่บอกแต่ใจนึกถึงคนที่จะมาเป็นกุญแจสำคัญที่จะมาช่วยโรงเรียนครั้งนี้

กรนึกถึงครูน้อยที่โทร.มาก่อนที่นพลักษณ์จะกลับมา ครูน้อยไม่อยากพูดทางโทรศัพท์จึงนัดกรออกไปคุยกันข้างนอก ก่อนอื่นครูน้อยถามว่าท่านรองไว้ใจตนไหม

“ผมไว้ใจครูน้อยและผมมั่นใจว่าผมไว้ใจคนไม่ผิด”

“ถ้าท่านรองไว้ใจผม ผมจะบอกทุกอย่างที่ผมรู้ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ขอไปรวบรวมข้อมูลอีกนิด พร้อมแล้วผมจะมารายงานทุกอย่างให้ทราบ ผมรู้ว่าปัญหานี้เป็นเรื่องใหญ่ แต่ผมจะช่วยเต็มที่”

“ขอบคุณมากนะครับที่มาหาผมในวันนี้ ผมยอมรับว่าผมเป็นมือใหม่ ไม่มีประสบการณ์ในการบริหารงาน สิ่งที่ผมต้องการคือคนแบบครูมาอยู่ข้างๆ และแก้ปัญหา

ไปด้วยกัน ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” กรยกมือไหว้ขอบคุณอย่างอ่อนน้อม ครูน้อยรับไหว้แทบไม่ทันรู้สึกจุกที่คนอย่างท่านรองให้เกียรติไหว้ตน ครูน้อยยิ้มให้กรอย่างซื่อสัตย์กลับมาจัดการปัญหาต่างๆแล้ว กลางคืนกรโทร.หาทราย ทรายรายงานงานที่ทำวันนี้ให้กรฟังว่า

“หวายยอมเข้าไปดูพ่อแล้ว แต่ขอพักเรื่องฝึกไว้ก่อน ตังเมสนุกกับการวาดรูป และคุณนวลก็ดูร่าเริงเข้มแข็งขึ้น ส่วนโชกุนพอยอมพูดก็โกหกอีกแล้วแต่ดีที่พ่อแม่เข้าใจและจะช่วยกันทำให้น้องพูดความจริงให้ได้ วันนี้แค่นี้ค่ะ”

“ผมก็เคลียร์กับแม่แล้ว ส่วนมินนี่ผมกำลังติดต่อฝ่ายกฎหมายไปเคลียร์คุณฉัตรเรื่องคดีเอาผิดคนที่เผยแพร่รูปมินนี่”

ทรายถามว่าเขาไหวนะ กรยิ้มที่ทรายเป็นห่วงบอกว่างานตนยังน้อยกว่าเธอเยอะ ขอบคุณที่ช่วยตน รับว่าการร่วมกันแก้ปัญหาเด็กๆ ทำให้ตนได้เอามาแก้ปัญหาของตัวเอง อย่างน้อยตอนนี้ตนก็เริ่มเข้าใจคำว่า “อ่อนน้อมถ่อมตน” แล้ว

ทรายหัวเราะดีใจด้วย กรยิ้มแล้วอวยพรให้ฝันดีนะ ทรายขอบคุณทิ้งตัวลงนอนยิ้มอย่างหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง...

ooooooo

หนูจีสอนศิลปะให้ตังเมโดยมีทรายร่วมเรียนด้วยสนุกทั้งคนสอนและคนเรียน มีทั้งสมุดวาดภาพของตังเมและรูปจาก ไอแพดที่หนูจีหามาประกอบ อธิบายถึงองค์ประกอบของรูป

อธิบายแล้วหนูจีชวนตังเมและทรายไปทำแบบฝึกหัดกันที่มุมสวยๆของโรงเรียน จู่ๆกรก็มาขอเรียนด้วยคน

“งั้นดีเลย มาเป็นนายแบบให้นักเรียนของจีหน่อย” หนูจีบอกทรายกับตังเมว่า “เดี๋ยวจีกับพี่กรจะเป็นแบบให้นะคะ แล้วคุณทรายกับตังเมถ่าย จัดองค์ประกอบของภาพให้ได้ มาเลยค่ะพี่กร”

หนูจีพากรไปโพสท่าหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานให้ตังเมกับทรายถ่าย หนูจีออกแบบท่าทางให้กรทำตามบางท่าดูน่ารักบางท่าก็น่าขำจนตังเมหัวเราะ แต่ทรายเห็นความสนิทสนมน่ารักเหมาะสมกันของทั้งคู่แล้วก็แอบเศร้า...

เลิกเรียนศิลปะแล้ว ทรายไปส่งตังเมที่บ้าน เห็นนวลสราญง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารกล่องน่ากินวางอยู่บนโต๊ะ ตังเมวิ่งมาสวัสดีแม่หยิบของในกล่องใส่ปากแล้ววิ่งไปท่าทางร่าเริงเบิกบานผิดกับเมื่อก่อนมาก

นวลสราญบอกว่าตนทำอาหารกล่องไปช่วยงานบุญที่วัด แบ่งให้ทรายลองชิมดูเพราะตนเพิ่งหัดทำ ทรายชมว่าอร่อยมาก แต่งก็สวย ทำขายได้สบายเลย นวลสราญบอกว่าไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรตัวเองก็ไม่มีหัวทางนี้ ทรายบอกว่าจะช่วย ตังเมได้ยินเสนออย่างกระตือรือร้นว่า “เมช่วยด้วยนะคะ ว่าแต่จะทำอะไรดีคะ”

ooooooo

ตรีทิพย์เห็นปิ๊กปิ๊กเศร้าและไม่ยอมแตะต้องอาหาร จึงหาซื้อาหารดีๆ หรูๆ มาให้ ปิ๊กปิ๊กก็ยังไม่แตะต้อง จักรินทร์โทร.มาถามสภาพของลูก ฟังจากตรีทิพย์แล้วเขาแนะนำว่าให้พาไปเดินเล่นเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง

ตรีทิพย์จึงพาปิ๊กปิ๊กไปเดินห้าง พาไปแผนกของเล่น ชี้ชวนให้ดูของเล่นประเภทใช้สมองแต่ปิ๊กปิ๊กไม่สนใจกลับไปดูพวกตุ๊กตา ยิ่งดูก็ยิ่งคิดถึงดอกแค เพราะดอกแคเคยชวนซื้อตุ๊กตาเล่นเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูกกัน

จักรินทร์ตามมาสมทบที่ห้าง ขณะตรีทิพย์โทร.คุยกับจักรินทร์นั้น ปิ๊กปิ๊กเดินแยกไปอีกทางหนึ่งในแผนกของเล่นเด็ก คิดถึงแต่ดอกแคที่พามาเดินห้างและซื้อของถูกใจ คิดถึงที่ป้าสำรวยบอกว่าดอกแคติดคุกเพราะขโมยของ ปิ๊กปิ๊กเหลียวมองแถวนั้นเห็นกล้องวงจรปิด เกิดความคิดบางอย่าง หยิบตุ๊กตาใส่กระเป๋าตัวเองอย่างจงใจให้กล้องวงจรปิดจับได้

พนักงานเห็นปิ๊กปิ๊กขโมยตุ๊กตา ร้องบอก รปภ.และช่วยกันจับ ตรีทิพย์และจักรินทร์หัวใจแทบสลายเมื่อเห็นลูกตัวสั่นอยู่ในแวดล้อมของ รปภ.และพนักงาน

เมื่อไปดูกล้องวงจรปิดโดยทรายและกรมาร่วม ดูด้วย ทรายสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ จึงให้ตรีทิพย์ จักรินทร์และกรคุยกับทางห้าง ส่วนตัวเธอเองขอไปคุยกับปิ๊กปิ๊ก

ทรายหว่านล้อมจนปิ๊กปิ๊กยอมรับว่าตนตั้งใจขโมยให้จับได้ เพราะอยากเข้าคุกไปอยู่กับพี่ดอกแค เมื่อตรีทิพย์รู้ถึงกับเข่าอ่อน คิดไม่ถึงว่าลูกต้องการคนใช้มากกว่าตัวเองที่เป็นแม่ถึงขนาดนี้

ทรายคุยกับกร เธอปรารภว่าดอกแคกลายเป็นปมลึกกว่าที่ตนคิด กรถามว่าแล้วคราวนี้เธอจะจัดการอย่างไร

“ปมอยู่ที่ดอกแค เราก็ตามไปแก้ที่ดอกแค”

กรถามว่าจะแก้อย่างไร ก็พอดีมีโทรศัพท์เข้ามือถือเขา เป็นสายจากนพลักษณ์บอกว่าหนูจีมีเรื่องด่วนเกี่ยวกับโครงการศิลปะของโรงเรียนอยากปรึกษา เขาจึงรีบขอตัวกลับเพราะช่วงนี้ยิ่งถูกคุณแม่เพ่งเล็งอยู่ไม่อยากสร้างปัญหาเพิ่ม ทรายบอกให้รีบไป เรื่องเด็กๆทางนี้ ตนจัดการเอง พอกรเดินไป ทรายก็ถอนใจเฮือกอย่าง...ทำใจ...

ooooooo

หนูจีเสนอโครงการพาเด็กไปประกวดวาดภาพในนามโรงเรียนเปี่ยมคุณ จากระดับเขต ถ้าชนะก็ส่งแข่งขันระดับจังหวัดและประเทศต่อไป ทั้งนพลักษณ์และกรต่างเห็นด้วย กรถามว่าแล้วทางโรงเรียนต้องทำอะไรบ้าง

“ไม่ยากค่ะ เดี๋ยวจีจะเป็นคนดูแลเอง ไม่ต้องห่วงนะคะ”

เมื่อกรอนุมัติ นพลักษณ์ถามว่าแล้วเราจะคัดเด็กอย่างไรเพราะตอนนี้ปิดเทอมอยู่ หนูจีบอกว่ามีแล้ว พลางส่งแฟ้มเป็นรูปตังเมพร้อมใบสมัครด้านหลังมีผลงานของตังเมแนบมาด้วย นพลักษณ์จำได้ว่าเป็นเด็กในโครงการของกรถามว่าไม่มีคนอื่นหรือ หนูจีรับรองว่าคนนี้ไม่ทำให้เสียชื่อโรงเรียนแน่นอน นพลักษณ์จึงยอมทั้งที่ไม่แน่ใจ

ได้ข้อสรุปแล้วกรขอตัวไปจัดการธุระ ให้หนูจีคุยเป็นเพื่อนคุณแม่ไปก่อน นพลักษณ์มองตามกรสงสัยว่าจะไปไหน

ที่แท้กรนัดกับครูน้อยคุยเรื่องการลาออกของครู ครูน้อยเอาแฟ้มของครูที่ลาออกให้กรดู เล่าว่าบางคนออกเพราะที่อื่นได้เงินมากกว่า ถ้าเราเพิ่มเงินเดือนและสวัสดิการน่าจะดึงกลับมาได้ หัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ลาออกเพราะขาดงบประมาณผลักดันเด็กในการแข่งสร้างหุ่นยนต์ ครูศิลปะผลักดันให้มีโครงการสอนศิลปะแก่เด็กในชุมชนยากไร้ แต่ถูกครูใหญ่และ ผอ.ปฏิเสธว่าไม่มีประโยชน์กับโรงเรียน เธอเป็นครูสาวเพิ่งจบมาแต่มีความคิดที่ดีขนาดนี้ น่าเสียดายถ้าท่านรองต้องเสียเธอไป

กรขอให้ครูน้อยชวนครูเหล่านี้กลับมาทำงาน ครูน้อยยินดีทำ กรถามอีกว่าทำไมครูน้อยจึงมาช่วยตน

ครูน้อยเล่าถึงพฤติการณ์ของครูใหญ่ที่จะใช้การลาออกของครูมาบีบ ผอ.จนกว่าจะได้หุ้น เมื่อได้หุ้นแล้วตนก็จะได้ขึ้นเป็นรอง ผอ.และครูน้อยก็จะได้ขึ้นเป็นครูใหญ่แทนตน เล่าแล้วครูน้อยบอกว่า

“ผมผิดหวังในตัวครูใหญ่มากที่เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัวทำได้แม้กระทั่งเอานักเรียนมาเป็นเครื่องต่อรองทางธุรกิจ เขาไม่เหลือความเป็นครูอีกแล้ว ผมทนดูเด็กๆ และผู้ปกครองเดือดร้อนไม่ได้จริงๆครับ”

“ขอบคุณนะครับที่กลับมาช่วยเรา ขอบคุณแทนนักเรียนทุกคนด้วย ผมสัญญาว่าจะพาโรงเรียนของเราผ่านวิกฤตินี้ไปให้ได้ จะต้องมีครูพร้อมสอนก่อนเปิดเทอมแน่นอน”

เมื่อได้คุยกับทราย กรบอกว่าเรื่องครูตนจัดการเองส่วนเธอดูแลเรื่องเด็กให้เรียบร้อยก่อนเปิดเทอมได้ก็จะดีมาก

ooooooo

ฉัตร พีรดาและมินนี่ ออกเดินทางไปอยู่ร่วมกันที่หมู่บ้านแสงฟ้า พีรดามีกระเป๋าใหญ่ไปหลายใบขนทั้งครีมบำรุงผิว ยากันยุง ชุดว่ายน้ำ เสื้อผ้ามากมาย และรองเท้าหลายคู่ วันเดินทางก็ใส่รองเท้าส้นสูงเตรียมไว้ถ่ายรูป

ปาล์มมารอรับที่เชิงดอย ต้องเดินไปขึ้นดอยไปอีกไกลพอสมควร การเดินทางเป็นไปอย่างทุลักทุเลมากโดยเฉพาะพีรดาใส่ส้นสูงหกล้มเท้าแพลง ฉัตรแสดงความเป็นผู้นำที่ดีดูแลช่วยเหลือกระทั่งให้พีรดาขี่หลังเพราะเท้าแพลง ทำให้มินนี่ดูเขาดีขึ้นบ้าง เมื่อไปถึงหมู่บ้านแสงฟ้าต้องตักน้ำมาอาบมาใช้และทำอาหารกินเอง มินนี่อาสาไปตักน้ำเองเพราะแม่เท้าแพลงเดินไม่ไหวและพ่อก็ต้องทำอาหาร บรรยากาศเห็นใจช่วยเหลือกันเกิดขึ้นอย่างอบอุ่น

ที่กรุงเทพฯ หวายตัดสินใจจะออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยป๊าดูแลงาน เชื่อว่าถึงตนจะเรียนไม่จบถ้ามีความรับผิดชอบก็ทำงานได้ดี ทรายไม่อยากให้หวายลาออกบอกว่าค่อยๆคิดอาจมีทางออกอื่นๆมากกว่านี้

ทรายยังติดตามเรื่องโชกุน เมื่อพ่อแม่ไม่ดุโชกุนก็กล้าพูดความจริงไม่โกหก ดุจฤทัยก็ไปช่วยสะสางงานและบัญชีที่ผับร่ำสุราให้ภูทอง ปรากฏว่าบัญชีติดลบและมีหนี้สินถึงเกือบสองแสนบาท ดุจฤทัยช่วยคิดแก้ปัญหา เสนอให้ภูทองจัดมินิคอนเสิร์ตในร้านเพราะอยู่ในแวดวงนักร้องนักดนตรีและเคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมา

“เออใช่ เพื่อนๆ ผมก็เคยถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม เพราะเมื่อก่อนผมก็ช่วยเขาไว้เยอะ ถ้าลองเอ่ยปากน่าจะมีคนมาช่วยบ้าง ทำไมไม่คิดเรื่องนี้มาก่อนเลย คุณนี่เจ๋งมากเลย เดี๋ยวรีบโทรศัพท์เลยเอาใครก่อนดี นี่เลย ลิปตา!”

โชกุนมองพ่อกับแม่ปรึกษางานช่วยกันแก้ปัญหาก็ยิ้ม รู้สึกผ่อนคลาย สบายใจมีความสุขขึ้นมาก...

ooooooo

วัยแสบสาแหรกขาด

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด