สมาชิก

วัยแสบสาแหรกขาด

ตอนที่ 1

อัลบั้ม: 'อาเล็ก-จ๊ะ' ล้วงปัญหาครอบครัว ละครน้ำดี 'วัยแสบสาแหรกขาด'







ชวนากร เปี่ยมคุณ หรือกร ในวัย 28 ปี บุคลิกนิ่ง จริงจัง พูดน้อย แต่พูดแล้วทุกคนต้องฟัง เขาเป็นลูกคนเดียวของสมภพ และนพลักษณ์ เปี่ยมคุณ

นพลักษณ์ ไฮโซผู้ดีเก่า ผู้มีความสามารถและมั่นใจ ก่อตั้งโรงเรียน “เปี่ยมคุณศึกษา” และเป็นผู้อำนวยการ ภารกิจของชวนากรลูกคนเดียวของครอบครัว คือ ต้องรับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนต่อจากนพลักษณ์ ผู้เป็นแม่

วันนี้เขาให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ในรายการ “โรงเรียนข้างบ้าน” ในฐานะรองผู้อำนวยการรูปหล่อ ในมาดนิ่ง มุ่งมั่นและมีไฟในการทำงานเต็มเปี่ยมว่า

“โรงเรียนเปี่ยมคุณของเรา มุ่งเน้นทั้งในด้านวิชาการและจริยธรรม ในฐานะรองผู้อำนวยการที่กำลังจะเข้ามารับหน้าที่ดูแลโรงเรียนต่อจากคุณแม่ ผมยังคงยึดถือแนวคิดนี้ไว้เหมือนเดิม...เด็กของเราไม่ใช่คนเก่งอย่างเดียว แต่ต้องเป็น ‘คนดี’ เป็นคนที่มีคุณภาพในสังคมด้วย”

พิธีกรพยักหน้าอย่างทึ่งในแนวสร้างเด็กของโรงเรียนและความเท่ของรองผู้อำนวยการหนุ่มหล่อ พิธีกรชื่นชมว่า

“ได้เห็นแบบนี้แล้วชื่นใจจังเลยนะคะ”

ขณะให้สัมภาษณ์ต่อหน้ากล้องโทรทัศน์ด้วยภาพลักษณ์ที่ยอดเยี่ยมนี้ ที่โรงยิมของโรงเรียน ถวายชัยหรือหวายกับแดนไทหรือแดน สองวัยรุ่นกำลังชกต่อยกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ศักดิ์ชาย เด็กอ้วน วิ่งตุ้บตั้บออกจากโรงยิมไปรายงานกร อำนาจ ครูใหญ่ที่ยืนอยู่ด้วย มองขวับไปที่โรงยิมด้วยสายตาดุดันทันที

แต่การถ่ายรายการและสัมภาษณ์ยังดำเนินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พิธีกรถามว่ากรยังอายุน้อยขึ้นมาเป็นผู้บริหารจะมีปัญหาเรื่องการทำงานกับครูที่มีอายุมากกว่าหรือไม่

“ไม่มีครับ ผมอยู่ฝ่ายบริหาร ส่วนฝ่ายวิชาการมีคุณอำนาจเป็นครูใหญ่คอยดูแล เราแบ่งงานกันชัดเจนครับ ไม่มีปัญหาในการทำงาน”

“คนที่ต้องการส่งบุตรหลานมาเรียนที่โรงเรียนเปี่ยมคุณวิทยา ได้ยินแบบนี้แล้วคงสบายใจนะคะ สำหรับวันนี้ รายการ ‘โรงเรียนข้างบ้าน’ ต้องขอลาไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”

พอเสร็จงาน กรเรียกแปม เลขามาสั่งเบาๆว่า “เดี๋ยวคุณแปมพาทีมงานไปทางโรงอาหาร อย่าให้เข้าใกล้โรงยิม”

ooooooo

ที่โรงยิม แดนล็อกคอหวายที่โดนต่อยจนมึน ลากมาโยนกองกับพื้น ตะคอกปราม

“ไม่ทำตามที่กูบอก ก็ต้องเจอแบบนี้!”

แดนจะเข้าไปซ้ำ หวายเห็นไม้เบสบอลหล่นอยู่ใกล้ๆก็คว้าหวดแดนเต็มแรง แดนล้มหัวชนมุมโต๊ะเลือดซึม หวายโมโหเข้าไปเอาเข่ายันอก แดนอัดหมัดใส่หน้าไม่ยั้ง กรเข้าไปจับไว้ร้องห้าม

“พอได้แล้ว!”

“ก่อเรื่องอีกแล้วนะนายถวายชัย!!!” อำนาจที่เข้ามาพร้อมกับเด็กอ้วนและครูน้อยตวาด

หวายสะบัดมือจากกรพุ่งไปชกบอร์ดที่อยู่แถวนั้นระบายอารมณ์อย่างบ้าคลั่ง อำนาจสั่งให้ครูน้อยจัดการ

ครูน้อยไปล็อกตัวหวายไว้ไม่ให้ทำร้ายตัวเอง กรจะไปดูแดนถูกอำนาจขวางไว้ พูดนิ่งๆแต่เอาเรื่องว่า

“ฝ่ายธุรการกำลังตามตัวท่านรองผู้อำนวยการ เชิญ ‘คุณกร’ ไปเซ็นเอกสารเถอะครับ เรื่องเด็กๆผมดูแลเองได้”

กรชะงัก อำนาจสั่งเด็กอ้วน “นายศักดิ์ชาย รีบไปตามครูที่ห้องพยาบาลมาเร็ว คนอื่นๆก็แยกย้ายกันไปเรียนได้แล้ว แยกย้ายครับ!!”

เด็กๆทยอยกันไป กรมองหวายที่ทรุดนั่งกับพื้นร้องไห้เงียบๆ แววตาทั้งเจ็บและโกรธ มีครูน้อยยืนคุมอยู่ แดนนอนหมดสติมีครูใหญ่อำนาจคอยดูแล กรกับอำนาจฝ่ายบริหารกับฝ่ายวิชาการยืนกันเงียบๆ แต่ตึงเครียด

ooooooo

ที่ห้องประชุมเล็กในมหาวิทยาลัย มีป้ายติดไว้ที่ผนังว่า คณะจิตวิทยา ทรายทิพย์ หรือทราย กำลังพรีเซนต์ธีซีสให้อาจารย์สามคนอยู่ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแต่เข้มแข็ง บุคลิกมั่นใจ

“ปัญหาเด็กและเยาวชนเป็นภาพสะท้อนของสังคม ปัญหาของพวกเขาเป็นกระจกสะท้อนให้ผู้ใหญ่อย่างเรามองเห็นความบกพร่องของตัวเอง หลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีอัตราการหย่าร้างเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จำนวนเด็กที่ต้องเติบโตท่ามกลางความแตกแยกเพิ่มตามไปด้วย ทำให้ดิฉันสนใจทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับ ผลกระทบต่อเชาวน์ปัญญาและเชาวน์อารมณ์ในเด็กครอบครัวหย่าร้าง”

ทรายเปิด Power Point ขึ้นตัวหนังสือชื่อหัวข้อ อาจารย์มองด้วยความสนใจ หนึ่งในนั้นคืออาจารย์พลอย ทรายยังคงพรีเซนต์ธีซีสของเธอต่อไปอย่างมั่นใจว่า

“พ่อแม่คือรักแรกของลูก เมื่อคนรักของพวกเขากลายเป็นศัตรูกัน เด็กต้องเผชิญกับสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ ซึ่งดิฉันเชื่อว่ามันส่งผลต่อพัฒนาการทางด้านสติปัญญาและอารมณ์ ถ้ารู้ว่าการอยู่ในครอบครัวหย่าร้างส่งผลเสียกับเด็กอย่างไร เราจะช่วยพวกเขาให้ผ่านปัญหานี้ไปได้และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพค่ะ”

พรีเซนต์เสร็จ ทรายยืนลุ้นรอคำตอบ อาจารย์พลอยพลิกๆเอกสารแล้วถามเสียงนิ่งๆว่า

“คุณทรายทิพย์ ในเนื้อหาวิทยานิพนธ์จะมีกรณีศึกษาของเด็กที่อยู่ในครอบครัวหย่าร้างด้วยหรือเปล่า?”

“มีค่ะ เป็นกรณีศึกษาที่เคยทำตอนฝึกงานมารวมกับกรณีศึกษาของเพื่อนๆและพี่ๆที่เคยเทรนกันมาค่ะ”

อาจารย์อีกท่านช่วยเสริมว่ากรณีศึกษาเก่าๆคิดว่าไม่เพียงพอ ควรหากรณีศึกษาพิเศษสำหรับการทำวิทยานิพนธ์ฉบับนี้โดยเฉพาะ แนะว่า “ควรเป็นเด็กครอบครัวหย่าร้างที่ยังเรียนอยู่ เข้าไปตามเก็บข้อมูลในโรงเรียนได้ยิ่งดี”

“จารย์ขอสรุป” อาจารย์พลอยพูดต่อ “เพื่อทำให้ข้อมูลทันสมัยและไม่กระจัดกระจายจนเกินไป ถ้าคุณหาโรงเรียนที่จะเข้าไปศึกษาเด็กกลุ่มนี้ได้ หัวข้อนี้ก็น่าจะผ่าน คุณทำได้หรือเปล่า?”

“ทำได้ค่ะ” ทรายตอบทันที “แค่เข้าไปเก็บข้อมูลในโรงเรียนไม่น่ายาก ถ้าอาจารย์ให้หัวข้อผ่าน พรุ่งนี้ก็พร้อมเริ่มหาข้อมูลได้เลยค่ะ”

แต่พอเริ่มเข้าสู่ความเป็นจริง ทรายก็ถามตัวเองว่า “แล้วฉันจะไปหาที่ไหน?”

เดินมาถึงหน้าตึก ทรายก็โทร.คุยกับปาล์มเพื่อนรักที่เป็นครูฝ่ายแนะแนวในโรงเรียนเปี่ยมคุณศึกษา เล่าปัญหาของตนแล้วถามว่า “แกพอจะช่วยฉันได้หรือเปล่าปาล์ม โรงเรียนที่แกทำงานอยู่ เขาจะอนุญาตให้ฉันเข้าไปเก็บข้อมูลหรือเปล่า?” มือหนึ่งทรายถือโทรศัพท์คุยกับเพื่อนอีกมือก็ถือสแน็กบาร์กินแก้เครียดไปด้วย

“ไม่แน่ใจ ปกติเวลาเด็กมีปัญหา จะมีครูฝ่ายปกครองแล้วก็ฉันเป็นครูฝ่ายแนะแนวช่วยกันแก้ปัญหา ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะยอมให้นักจิตฯเข้ามาเก็บข้อมูลหรือเปล่า”

ทรายถอนใจถามว่าตนจะทำอย่างไรดี ปาล์มรับปากจะถามเพื่อนๆที่โรงเรียนอื่นให้ แล้วขอตัวไปประชุมด่วน เพราะ ผอ.กำลังจะมาถึงแล้ว ทรายขอบใจแล้วถอนใจต่ออย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี

ooooooo

เหตุที่ผู้อำนวยการเรียกประชุมด่วน เพราะมีภาพหลุดไปในสื่อออนไลน์และขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เรื่องมินนี่หรือนางสาวมงกุฎแก้ว ลูกสาวของพีรดา นักแสดงอดีตซุปเปอร์สตาร์ขาวีนเล่นยา

มินนี่นักเรียนวัย 16 ที่กำลังเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และเพิ่งชนะการประกวดมิสไฮสคูล มีภาพในชุดนักเรียนกับอุปกรณ์ยาเสพติดกระฉ่อนในสื่อทั้งออนไลน์และหนังสือพิมพ์ เป็นเหตุให้นักข่าวมารอทำข่าวอยู่หน้าโรงเรียนเต็มไปหมด อำนาจรายงานนพลักษณ์ในที่ประชุมว่าตนไม่ให้เข้ามาในโรงเรียน คาดว่าพรุ่งนี้คงเลิกมากัน

นพลักษณ์ถามว่าครูประจำชั้นติดต่อไปทางผู้ปกครองกับมินนี่หรือยัง ครูนิลซึ่งเป็นครูประจำชั้นบอกว่าติดต่อไปแล้วแต่มือถือปิดทั้งสองคน

ที่คอนโดของพีรดา เธอกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ ได้ยินมินนี่แผดเสียงร้องเรียกลั่น ก็บอกปลายสายว่า

“พี่ยุทธ เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ ถ้ารดากับมินนี่พร้อม จะไปออก ‘เรื่องเล่าบ่ายนี้’ เมื่อไหร่จะรีบติดต่อไปค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะ” พีรดารีบวางสาย หันมาถามมินนี่ว่า “อะไรลูก ร้องซะแม่ตกใจ”

“เพื่อนมินนี่ส่งมาให้ดู มีนักข่าวมารอทำข่าวเต็มหน้าโรงเรียนหมดเลย” พลางหันมือถือให้แม่ดู

พีรดาบอกว่าไม่ใช่แค่ที่โรงเรียน ที่คอนโดนักข่าวก็มารอทำข่าวเต็มไปหมด มินนี่เดินไปดูที่หน้าต่าง โวยกับแม่ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ภาพนี้หลุดไปได้ยังไง ก็ถูกพีรดาตำหนิซ้ำว่า

“แม่เตือนแล้วใช่ไหม ไม่ต้องอัพรูปบ่อยนัก โดยเฉพาะไอ้พวกโซเชียล ติดจริงๆกินข้าว เข้าห้องน้ำ ฝนตก หมาเห่าก็ต้องบอกให้โลกรู้ ไม่ต้องบอกให้โลกรู้ ไม่ต้องรายงานชาวโลกตลอดทุกนาทีก็ได้มั้งลูก”

มินนี่โต้ว่ารูปนี้ตนไม่ได้ถ่ายและตนก็ไม่ได้เล่นยา แค่เอามาถือทำท่าขำๆ เพื่อนแอบมาถ่ายตอนไหนก็ไม่รู้ รูปนี้ก็เก่าแล้วด้วย ส่วนเรื่องโซเชียลมินนี่โต้ว่า

“คุณแม่ไม่ต้องว่ามินเลย คุณแม่อัพไอจีบ่อยกว่ามินตั้งไม่รู้กี่เท่า ถ้ามินอัพทุกนาที คุณแม่ก็อัพทุกวินาที!”

พีรดาอ้างว่าถ้าตนไม่ขยันอัพรูปของลูกลงให้ ลูกจะดังเป็นเน็ตไอดอลตั้งแต่อายุ 12 ไหม จะมีแฟนคลับ มีคนโหวตให้เป็นมิสไฮสคูลแบบนี้ไหม แม่ทำทุกอย่างเพื่อลูกทั้งนั้น มินนี่ฟังแล้วเงียบไป พีรดาทั้งบ่นทั้งตำหนิอีกว่า

“ดูสิ กว่าจะดันให้ดังขึ้นมาได้ มีทั้งงานถ่ายแบบ งานละครรออยู่ตั้งมากมาย แต่ตอนนี้ทุกคนบอกเลิกหมดแล้ว เพราะไอ้รูปบ้าๆรูปนี้รูปเดียว!”
มินนี่ร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กๆเธอขอโทษแม่ แล้วดูรูปตัวเองในหนังสือพิมพ์อย่างแค้นใจ

ooooooo

ที่ห้องประชุมโรงเรียน บรรยากาศตึงเครียด เมื่อการพิจารณาปัญหาของมินนี่ด้วยท่าทีที่ต่างกัน อำนาจเห็นว่าต้องลงโทษให้คนอื่นๆเห็นและไม่เอาเป็นเยี่ยงอย่างด้วยการเชิญให้ออก!

“แต่ผมคิดว่า มันเป็นการโยนปัญหาออกไปสู่สังคม ถ้าเด็กสร้างปัญหาแล้วโรงเรียนไล่ออกโดยไม่พยายามแก้ปัญหา เราจะมีโรงเรียนเอาไว้ทำไม”

กรท้วงติงอย่างเห็นต่างโดยสิ้นเชิง อำนาจโต้ว่าที่นี่คือโรงเรียนไม่ใช่สถานพินิจที่มีไว้สำหรับเด็กทำความผิด “แต่เรายังไม่ได้ถามเด็กว่าเขาเสพยาจริงหรือเปล่า ผมไม่อยากให้เราตัดสินเร็วเกินไป”

“คุณกรเพิ่งกลับจากเมืองนอก อาจจะยังไม่คุ้นกับสังคมไทย ผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่ได้ใจเย็นใจกว้างพอที่จะมารอฟังคำอธิบาย ถ้าเราปล่อยไว้โดยไม่ทำอะไร ผลเสียจะต้องตีกลับมาที่โรงเรียนแน่นอน”

“แต่ถ้าเรา‘รีบ’ ทำเกินไป ผลเสียอาจจะตกอยู่ที่เด็ก!” กรแย้ง อำนาจโต้ว่าถึงเราไม่รีบตอนนี้ผลเสียก็ตกอยู่กับเด็กแล้ว กรสวนทันควันว่าแต่โรงเรียนก็ไม่ควรจะซ้ำเติม!! อำนาจโต้ว่าโรงเรียนก็ไม่ควรจะนิ่งเฉยเหมือนกัน

นพลักษณ์ยกมือห้ามทั้งสองคน ขอให้พอได้แล้วตนเข้าใจว่าทุกคนหวังดีกับเด็กและโรงเรียน แล้วไกล่เกลี่ยว่า

“เอาเป็นว่า...ขอให้ทุกคนช่วยกันทำความเข้าใจกับผู้ปกครอง ยืนยันว่าไม่มีสารเสพติดในโรงเรียนเราแน่นอน นักข่าวกันไว้รอบนอกไม่อนุญาตให้เข้ามาฝากครูประจำชั้นกำชับเด็กในห้องโดยเฉพาะคนที่เป็นเพื่อนสนิท ไม่ให้สัมภาษณ์อะไรทั้งนั้น ส่วนเรื่องการลงโทษ เราต้องคิดอย่างรอบคอบ เพราะมันส่งผลต่อสภาพจิตใจของเด็ก”

กรพยักหน้าพอใจ แต่อำนาจชักสีหน้า นพลักษณ์สรุปว่า

“แต่ไม่ลงโทษเลยไม่ได้ เพราะเด็กต้องเรียนรู้ว่าสิ่งที่ทำไม่ถูกต้อง ถ้าเด็กเสพยาจริงๆเราก็ต้องให้พักการเรียน หรือถ้าผิดร้ายแรงกว่านั้น ก็อาจจะต้องถึงขั้นเชิญออกตามที่ครูใหญ่เสนอ”

อำนาจยิ้มออกทันที แต่กรกลับชะงักไม่เห็นด้วยอย่างมาก

ooooooo

ประชุมเสร็จ นพลักษณ์เดินกลับห้องทำงาน กรเดินตามมาติดๆ พูดแทบไม่หายใจจนนพลักษณ์ไม่มีโอกาสพูด

“คุณแม่ครับ ผมไม่เห็นด้วยกับการไล่เด็กออก จากสถิติปีที่แล้ว โรงเรียนเราไล่เด็กออกมากที่สุด แต่ละปีมีเด็กที่ต้องถูกเชิญออกหลายสิบคน ผมรู้ว่าเป็นนโยบายของครูใหญ่ ซึ่งผมไม่เห็นด้วย โรงเรียนไม่ควรสอนแค่วิชาการ แต่ควรจะสอนให้เขารู้จักชีวิตและใช้ชีวิตให้เป็น”

“ทุกครั้งที่ลูกต้องการจะทำอะไรสักอย่างที่รู้ว่าแม่จะไม่เห็นด้วย ลูกจะเริ่มด้วยการอธิบายเหตุผลยาวๆ แบบเนี้ย...ตกลงกรอยากจะทำอะไรบอกมา”

นพลักษณ์เข้าไปนั่งที่โต๊ะทำงานรอคำตอบ ฟังเหตุผลและแผนงานของกรแล้วถามว่า

“มันจะเวิร์กเหรอลูก เรื่องปัญหาในครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าเราไม่มีความเข้าใจอย่างแท้จริง แทนที่จะแก้ปัญหาจะยิ่งเพิ่มปัญหานะ”

“ผมทราบ แต่ถ้าผู้ใหญ่เอาแต่ ‘หันหน้าหนีปัญหา’ ไม่กล้าเข้าไปแตะต้องมัน เด็กๆคงไม่รู้จะคุยกับใครสุดท้ายปัญหาที่สะสมก็แสดงออกมาทางพฤติกรรมจนทำให้ตัวเองและสังคมเดือดร้อน” กรโน้มน้าวอย่างอดทน

“ตอนนี้ครูเราก็งานเต็มมือ ทั้งฝ่ายแนะแนว ฝ่ายปกครอง โครงการละเอียดอ่อนแบบนี้กรจะให้ใครมาดูแล”

“นักจิตวิทยาครับ!”

ooooooo

หลังจากนั้น กรคุยกับปาล์มและครูน้อยที่ห้องแนะแนว ปาล์มฟังอย่างตั้งใจแล้วถามอย่างแปลกใจว่า

“คุณกรจะทำโครงการพิเศษสำหรับเด็กที่พ่อแม่แยกทางกันเหรอคะ”

“ใช่ ผมดูประวัตินักเรียนที่โดนไล่ออกในช่วง 2-3 ปี เกือบทุกคนมีพื้นฐานครอบครัวแตกแยก พ่อแม่หย่าร้าง ผมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก โครงการของเราจะดูแลเด็กพวกนี้อย่างใกล้ชิด ไม่ให้เขาสร้างปัญหาให้กับตัวเองจนต้องโดนไล่ออก”

“เด็กที่พ่อแม่แยกทางกันไม่ได้มีปัญหาทุกคน” ครูน้อยติง

“ใช่ครับ ผมเห็นด้วย ครูน้อยเองก็ทราบว่าผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ถ้าเด็กคนไหนไม่ได้สร้างปัญหา เขาก็ไม่ต้องเข้าโครงการ แต่ถ้าเขาเริ่มจะมีปัญหา โครงการของเราจะช่วยไม่ให้ปัญหานั้นทำให้เขาโดนไล่ออก”

“แต่ถ้ามาก็เท่ากับประกาศให้โลกรู้ว่า พ่อแม่เราเลิกกันนะ เด็กจะอายเปล่าๆไม่มีใครร่วมมือแน่นอนแล้วเอ้อ...ครูใหญ่รู้เรื่องนี้หรือยังครับ” ครูน้อยท้วงติงหลายแง่มุม หมายให้กรหยุดคิด แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อกรตอบอย่างมั่นใจว่า

“ครูใหญ่ไม่จำเป็นต้องรู้ เพราะผมเสนอโครงการนี้กับผู้อำนวยการโดยตรง และท่านก็อนุมัติเรียบร้อยแล้ว”

ครูน้อยแย้งว่านักเรียนเราไม่ได้บ้าถึงต้องใช้นักจิตวิทยา ถูกปาล์มแย้งว่า

“ครูน้อยคะ นักจิตวิทยาไม่ได้มีไว้รักษาคนบ้านะคะ เขามีไว้ทำให้คนเข้าใจตัวเองมากขึ้น”

“นักจิตฯจะมาทำงานประสานกับครูฝ่ายปกครอง และครูฝ่ายแนะแนว เพื่อทำการปรับพฤติกรรมของเด็กที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะโดนไล่ออก เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุไม่ใช่ปลายเหตุ” กรอธิบายเพิ่มเติม แล้วส่งแฟ้มให้ปาล์ม หน้าแฟ้มมีรูปของหวายและมินนี่ บอกว่า “เรื่องเด็กที่เข้าร่วมโครงการ ผมเลือกมาสองคน”

“ถวายชัยกับมงกุฎแก้ว” ปาล์มอ่านชื่อ แล้วพยักหน้า

กรชี้ว่าเด็กสองคนนี้มีคุณสมบัติครบ อยู่ในกลุ่มเสียงที่จะถูกไล่ออก ครูน้อยติงอีกว่าถึงจะมีหนูทดลอง มีนักเรียนในโครงการ แต่เราจะหานักจิตวิทยามาจากไหน

“ปาล์มรู้ค่ะ!” ปาล์มมองหน้ากรและครูน้อยตาเป็นประกาย

ooooooo

ทรายโทรศัพท์ไปตามโรงเรียนต่างๆเกือบยี่สิบแห่ง แต่ทุกแห่งปฏิเสธด้วยเหตุผลต่างกัน ทรายเริ่มรู้สึกหมดหวัง

เธอหมกหมุ่นคร่ำเคร่ง จนสักทองผู้เป็นพ่อถามว่าทำเรื่องยากไปหรือเปล่า ทรายบอกว่าถ้าเปลี่ยนตอนนี้ตนต้องจบปีหน้าแน่เลย ตนอยากจบเร็วๆ นี่ก็เลือกหัวข้อที่คิดว่าง่ายแล้ว

“ปัญหาเด็กๆไม่ใช่เรื่องเล็กๆพยายามต่อไปเรื่อยๆ อาจจะได้เจอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” สักทองให้กำลังใจ

น้ำทิพย์ผู้เป็นแม่ส่งเสียงมาว่าอาหารเย็นเสร็จแล้ว วันนี้มีไข่ตุ๋นของโปรดของทรายด้วย เธอให้พ่อกับแม่ทานก่อน ตนกำลังหาข้อมูลติดพัน น้ำทิพย์ตามใจ แต่จะเก็บไข่ตุ๋นไว้ให้ จะกินเมื่อไหร่ให้บอก แม่จะอุ่นให้ ทรายไหว้ขอบคุณแล้วทำงานต่ออย่างขะมักเขม้น

ที่โต๊ะอาหารจึงมีเพียงสักทองกับน้ำทิพย์ ทั้งที่เวลาอาหารเย็นเป็นเวลาที่พ่อแม่ลูกจะได้พบปะกันอย่างอบอุ่น

ทรายโทร.ไปอีกหลายโรงเรียน จนคิดท้อว่าแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ที่พ่อบอกจะมีไหมนะ?

เช้าวันต่อมา ทรายวิ่งไปขึ้นรถไฟฟ้า พลางคุยโทรศัพท์กับปาล์ม ทรายสีหน้าตื่นเต้นมาก ถามย้ำแล้ว ย้ำอีกจนปาล์มยืนยันว่า

“จริงสิแก รอง ผอ.โรงเรียนฉัน เขาอยากได้นักจิตวิทยาที่เชี่ยวชาญทางด้านปัญหาเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่พ่อแม่แยกทางกัน ฉันเลยขายแกเป็นชุดเลย เขาสนใจอยากให้แกเข้ามาคุยรายละเอียด ถ้าแกคุยกับเขาลงตัว แกก็จะได้หาข้อมูลไปทำวิทยานิพนธ์ของแกด้วย ฉันนัดไว้แปดโมง เจ้านายฉันไม่ชอบคนมาสาย แกรีบมาเลยนะ”

ทรายไปถึงหน้าโรงเรียนเจ็ดโมงครึ่งพอดี แต่บังเอิญชนกับตังเมเข้าเต็มแรงจนกระเป๋าหล่น ทรายขอโทษแล้วช่วยเก็บของ ขณะตังเมก้มเก็บของ วงเวียนในกระเป๋ากระโปรงหล่น ทรายเก็บของเสร็จส่งให้ ตังเมยื่นมือมารับกระเป๋า ทรายจึงเห็นรอยขีดที่แขน บ้างเป็นแผลตกสะเก็ด บ้างเป็นรอยใหม่ๆ ถามว่าเป็นอะไร ตังเมบอกว่าโดนแก้วบาดแล้วรีบเดินหนีไป ทรายจึงเก็บวงเวียนไว้แล้วรีบเดินไปเพราะใกล้เวลานัดแล้ว

กรในชุดพละเพิ่งเลิกเล่นบอลกับนักเรียนเพราะได้เวลาเรียนแล้ว นัดพรุ่งนี้พบกันใหม่

ทรายมาเจอกอบัวเด็กอนุบาลที่ร้องไห้ไม่ยอมเรียนร้องหาแต่แม่ ร้องไห้จนอาเจียนเลอะครูแอม ทรายเข้าไปปลอบกอบัวและเอาผ้าพันคอให้ครูแอมเช็ดอาเจียน ครูแอมเกรงใจบอกว่านี่เป็นผ้าพันคอ

“ไม่เป็นไรค่ะ ใช้ได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ คือทรายเป็นเพื่อนกับครูปาล์มฝ่ายแนะแนว มาสมัครงานน่ะค่ะ ถือว่าคนกันเอง ไม่ต้องเกรงใจนะคะ” ทรายยิ้มอย่างเป็นมิตร แล้วหันไปปะเหลาะกอบัวพาไปล้างหน้าให้สดชื่น

กรผ่านมา เขายืนมองทรายด้วยความรู้สึกดี

ooooooo

ทรายรีบขึ้นไปที่ห้องรองผู้อำนวยการ แปมเลขาของกรบอกว่าคุณกรยังไม่มา ทรายจึงขอนั่งรอที่เก้าอี้แถวนั้น พอหายตึงเครียด ท้องก็ร้องเตือน เธอหยิบสแน็กบาร์จากกระเป๋ามาแกะกินอย่างหิว

กรเดินมาเห็นแต่ไกล จำได้ว่าเป็นคนเมื่อกี๊ที่ปลอบเด็กหญิงกอบัว นึกอยากทดสอบอะไรบางอย่าง เดินเข้าไปหาพูดเสียงเข้ม “ห้ามนำอาหารขึ้นมาบนตึกนะครับ” พลางชี้ให้ดูป้าย

ทรายเคี้ยวค้าง ดูป้ายแล้วเอ่ย “ขอโทษค่ะครู” บอกว่าตนไม่ทันเห็น เธอเรียกเขาว่า “ครู” เพราะเมื่อครู่เห็นเขาใส่ชุดพละอยู่กับนักเรียน พลางหยิบขวดน้ำออกมาจะดื่ม กรแกล้งอีก บอกว่าน้ำก็ห้าม แล้วชี้ให้ดูป้ายอีก

ทรายขอโทษอีกครั้ง บ่นอุบอิบว่าตนไม่ใช่นักเรียนแต่เป็นแขกของรองผู้อำนวยการ กรนึกรู้ว่าเธอไม่รู้จักตน ความคิดบางอย่างผุดขึ้นอีก ถามว่าเป็นแขกของรองผู้อำนวยการแล้วกินอาหารหรือเครื่องดื่มบนตึกได้หรือ บอกว่าไม่เพียงห้ามกินหากห้ามนำขึ้นมาด้วย

ทรายและกรเถียงเล่นแง่กัน จนปาล์มมา ทรายจึงรู้ว่าที่แท้คนที่เธอคิดว่าเป็นครูพละและเถียงฉอดๆ คือรองผู้อำนวยการ! เธอช็อกทำหน้าไม่ถูก
เมื่อเข้าไปในห้อง เอาประวัติของตนให้กรดู เขาถามว่ากำลังเรียนโท ไม่เคยทำงานจริงใช่ไหม ทรายพยายามชี้แจงว่าตนเก็บเคสมาเยอะ ทั้งตอนเรียน ป.ตรี ป.โท รวมแล้วเกือบร้อยเคส

“ทำไมคุณสนใจเกี่ยวกับปัญหาของเด็กที่พ่อแม่หย่าร้าง?”

“เพราะเขาต้องการคนสนใจ ความต้องการพื้นฐานของคนเราคือความรัก ความสนใจ โดยเฉพาะจากคนที่เรารัก สำหรับเด็กๆรักแรกคือพ่อแม่ เมื่อเขาไม่ได้รับความรักก็เหมือนคนอกหัก และแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมบิดเบี้ยวเพราะต้องการเรียกร้องให้คนสนใจ ถ้าเราให้ความสนใจกับเขา ปัญหาต่างๆที่อาจจะเกิดก็คงไม่เกิดขึ้น”

“คุณไม่เคยทำงานจริงมาก่อน ทำไมถึงคิดว่าจะทำงานนี้ได้”

“เพราะดิฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ พ่อดิฉันสอนไว้ ถ้าเราคิดจะทำเรื่องยากเราต้องยอมลำบาก พยายามต่อไปเรื่อยๆ สักวันเราจะได้เจอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เพราะฉะนั้น ถ้ามุ่งมั่น ตั้งใจ เราทำทุกอย่างได้แน่นอนค่ะ”

กรสะดุดใจคำตอบของทราย เขาปิดแฟ้มประวัติของเธอ ทรายและปาล์มมองลุ้นระทึก

กรตกลงรับทรายเป็นนักจิตวิทยาดูแลโครงการพิเศษของโรงเรียน ปาล์มดีใจถามว่ามอบแฟ้มประวัติเด็กสองคนที่อยู่ในโครงการให้ทรายเลยได้ไหม กรพยักหน้า ทรายไหว้ขอบคุณเขาด้วยความดีใจ กรสรุปว่า

“ผมต้องการให้คุณเริ่มงานพรุ่งนี้ และโครงการนี้จะต้องเสร็จสมบูรณ์ให้เห็นเป็นรูปธรรมก่อนปิดเทอม”

“ได้ค่ะ” ทรายรับคำ แล้วชะงักถามว่า “แล้ว... โรงเรียนปิดเทอมเมื่อไรคะ”

เมื่อคุยกับปาล์มทรายบ่นว่าอีกเดือนกว่าก็ปิดเทอมแล้ว เขาต้องบ้าแน่ๆเลย จะให้แก้ปัญหาเด็กให้ได้ภายในเดือนกว่า มันเป็นไปไม่ได้ ปาล์มถามว่าแล้วทำไมไม่ถามเขาไปตรงๆ ทรายเสียงอ่อยว่า

“ฉันกลัวเขาจะไม่ให้ฉันทำงานน่ะสิ ฉันจะบอกเขาเรื่องขอข้อมูลไปใช้ในธีซิสฉันยังไม่กล้าเลย เอาไว้ให้สนิทกว่านี้แล้วค่อยบอกก็แล้วกัน เออนี่...เจ้านายแกก็หล่อดีนะ แต่ดุชะมัด นั่งคุยกันเป็นชั่วโมงฉันยังไม่เห็นเขายิ้มเลย”

“อย่าว่าแต่แกเลย ฉันทำงานกับเขามาเกือบปีก็ยังไม่เคยเห็น คุณกรคงเครียด เพิ่งกลับมาจากเมืองนอก เริ่มงานได้ไม่นานก็โดนแอนตี้จากครูๆ โดยเฉพาะครูใหญ่” ทรายถามว่าทำไม “ก็คุณกรแกเป็นคนตรงๆ ขรึมๆเข้าถึงยาก แล้วก็ยังเด็ก ครูเก่าๆรับไม่ค่อยได้ เลยต้องพิสูจน์หลายอย่าง ที่แกเห็นเขาแต่งชุดพละน่ะ เขาไปเล่นบอลกับเด็กๆก่อนเคารพธงชาติ ครูคนอื่นก็ไม่เห็นด้วย คิดว่าผู้บริหารไม่ควรลงไปคลุกคลีกับเด็กมาก”

ทรายฟังแล้วอดเห็นใจนิดๆไม่ได้ ถามปาล์มว่าเขามีแฟนหรือยัง ปาล์มบอกว่าเท่าที่รู้ไม่มี

“ไม่แปลกใจ นี่ฉันว่านะ ท่านรองนี่ต้องมีปมอะไรแน่ๆ ดูๆไปเหมือนเด็กขาดความอบอุ่น” ทรายวิเคราะห์ประสาคนคนร้อนวิชา ปาล์มมองหน้างงๆ ทรายถามว่า “ฉันพูดถูกใช่ไหม”

ooooooo

คืนนี้กรขับรถไปบนถนนที่เงียบเหงา เขาคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อสิบกว่าปีก่อน เวลานั้นเขาอายุ 13-14 ปี นั่งที่โซฟามีแม่นั่งตรงกันข้ามและพ่อนั่งข้างๆ

พ่อเอาแผ่นพับโรงเรียนที่ต่างประเทศให้ดูถามว่าจะส่งเขาไปเรียนที่นี่ ชอบไหม กรตอบเซ็งๆว่า

ไม่ชอบก็ต้องไปอยู่ดี พ่อโน้มน้าวใจว่าที่นี่ดีมาก ลูกเพื่อน

พ่อไปเรียนชอบทุกคน กรมองหน้าพ่อเศร้าๆถามว่า

“พ่อกับแม่ อยากส่งผมไปเมืองนอก เพราะพ่อกับแม่จะหย่ากันใช่ไหมครับ” สมภพกับนพลักษณ์สะอึกที่ลูกรู้ทัน กรถามตาแดงๆว่า “ผมได้ยินพ่อกับแม่ทะเลาะกัน พ่อกับแม่ ไม่รักกันแล้วเหรอครับ”

นพลักษณ์กับสมภพฟังแล้วจุก นพลักษณ์กะพริบตาถี่ๆกลืนน้ำตาเข้าไป สมภพดึงกรเข้าไปกอด พูดน้ำตาซึม

“ไม่ว่าพ่อกับแม่จะรู้สึกยังไงต่อกัน แต่เราสองคน ยังรักลูกเหมือนเดิม”

กรร้องไห้ด้วยความเสียใจและสับสน

แต่วันนี้ เขาคิดถึงเด็กที่ประสบปัญหาครอบครัวหย่าร้างในโรงเรียน คิดหาทางป้องกันและแก้ปัญหาของเด็กเหล่านั้นคิดถึงทรายนักจิตวิทยาที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้แล้ว เขาพึมพำอย่างมีความหวังว่า

“หวังว่าเธอจะทำได้ตามที่พูดไว้”

เมื่ออำนาจรู้จากครูน้อยว่ากรจะจ้างนักจิตวิทยามาแก้ปัญหาเด็กก็หัวเราะเยาะว่าบ้ากันใหญ่แล้ว ปรามาสว่าเด็กโตเมืองนอกไม่เข้าใจสังคมไทย แค่เริ่มต้นคิดก็ผิดแล้ว พวกหัวนอกเพ้อฝันไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ถามครูน้อยว่า

“แล้วนักจิตวิทยาที่เขาหามาเป็นใคร?”

ooooooo

กรจัดให้ทรายไปทำงานในห้องเดียวกับปาล์ม เธอไม่เห็นด้วยเพราะการจะพูดคุยกับเด็กต้องใช้พื้นที่ส่วนตัว เด็กจึงจะรู้สึกปลอดภัย ปาล์มเห็นด้วย กรเข้าใจบอกว่าจะหาห้องส่วนตัวให้แต่มันอาจจะไม่ใหญ่โตและสะดวกสบายแบบห้องนี้

“ได้เลยค่ะ ห้องจะแย่แค่ไหน ฉันก็รับได้!!” ทรายตอบรับหนักแน่น

แต่พอกรจัดให้ไปอยู่ในห้องเก็บของ ทรายชะงักนึกรู้ทันทีว่าโดนเขาลองของ ควบคุมอารมณ์ตัวเองตอบไปอย่างเยือกเย็นว่า “ได้ค่ะ ดิฉันรับได้ มันก็แค่รกนิดหน่อย ฝุ่นบางๆแค่นี้เอง” แล้วเธอก็เป่าฝุ่นจนฟุ้งกระจายไปทางกร

ปาล์มบอกว่าตนจะไปเคลียร์กับกรให้ แล้วจะไปตามแม่บ้านมาทำความสะอาดให้ด้วย เมื่อปาล์มไปคุย กรบอกว่า

“ที่ผมต้องทำแบบนี้กับเพื่อนคุณ เพราะเขาจะได้รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่น ไม่ใช่กรณีศึกษาที่เขาเคยเจอตอนเรียน แต่มันคือโลกความจริง ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ผมดูออกว่าเพื่อนคุณเป็นคนมีความตั้งใจ แต่ขาดประสบการณ์ ผมไม่ชอบดูแลลูกน้องด้วยวิธีตามใจ ถ้าเขารับมือกับผมได้ เขาก็พร้อมที่จะรับมือกับปัญหาอีกมากมายที่รอเขาอยู่ข้างหน้า แต่ถ้าเขารับไม่ได้ จะได้รีบถอนตัว ผมไม่ชอบเสียเวลากับคนใจไม่สู้!”

แต่หารู้ไม่ว่าคนอย่างทรายทิพย์เมื่อทำก็ปักใจสู้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะถูกกดดันแค่ไหนก็จะไม่เลิกเด็ดขาด บอกปาล์มว่า

“ฉันต้องอยู่เก็บข้อมูลทำธีซิสให้จบ และอยู่ช่วยเด็กๆในโครงการไม่ให้โดนไล่ออก ฉันจะทำทั้งสองหน้าที่ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ฉันจะต้องทำให้ได้!!” แล้วทรายก็ลงมือทันที

หลังจากแม่บ้านทำความสะอาดแล้ว เธอไปหาซื้ออุปกรณ์การทำงานที่จำเป็นมากมาย กลับมาถึงก็ลงมือตบแต่งทันที ระหว่างนั้นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งกลิ้งไปที่เท้าอำนาจที่เดินมาดู อำนาจหยิบขึ้นมา ทรายไปขอคืน เขาถามว่าพวกนี้เอามาทำอะไร ทรายตอบรีบๆว่าใช้ในห้องให้คำปรึกษา แล้วขอตัว

“เดี๋ยว คุณไม่รู้หรอกเหรอว่าผมเป็นใคร”

“พอดีเพิ่งมาทำงาน เลยยังไม่ค่อยรู้จักใคร ต้องขอโทษอีกครั้งนะคะ เอ่อ...ขอตัวก่อนนะคะ” ทรายยิ้มแห้งๆแล้วรีบไป อำนาจนึกไม่พอใจประสาคนอัตตาค้ำคอว่า

“ไม่รู้จักฉันได้ยังไง???”

ooooooo

เพียงเย็นวันนี้ ทรายก็จัดห้องทำงานเสร็จ ห้องไม่ใหญ่ แต่ดูโล่ง สะอาด มีอุปกรณ์เป็นของเล่นวางอยู่บนโต๊ะสองสามอย่าง ปาล์มเข้ามาดูอย่างตื่นตา กรยืนมองนิ่งๆ ทรายยืนปาดเหงื่อมองทั้งสองเชิงรอความเห็น

ปาล์มถามทึ่งว่าเวลาแค่วันเดียวทำได้ไงเนี่ย ส่วนกรถามว่าทำไมจัดห้องแบบนี้ ทำไมไม่ใช้เก้าอี้ที่โรงเรียนมี ไปซื้อใหม่ทำไม แล้วขนม ลูกอม โคมไฟ ของเล่น เอามาทำไม”

“ทุกอย่างที่อยู่ในห้องนี้ถูกนำมาใช้เพื่อให้เด็กรู้สึกไม่เครียดและสบายใจที่สุด” ทรายตอบ แล้วอธิบายทีละอย่างเป็นชุด

ปาล์มฟังแล้วปลื้มเพื่อนมาก กรฟังแล้วมีแววพอใจในดวงตา แต่ไม่แสดงออกมาก ชมและท้าทายว่า

“วิชาการแน่นเป๊ะ อย่าเก่งแต่ในตำราก็พอ ตอนนี้ห้องก็พร้อมแล้ว เมื่อไหร่จะเริ่มเรียกเด็กมา”

“ดิฉันส่งรายชื่อให้ครูน้อยฝ่ายปกครองช่วยประกาศเรียกเด็กมาเจอหลังเลิกเรียนค่ะ ถ้าเด็กมาเมื่อไหร่ก็เริ่มงานได้ทันที” ทรายระงับความขุ่นใจที่ถูกปรามาส ตอบอย่างมั่นใจ

เมื่อครูน้อยเอากระดาษที่จดชื่อ ถวายชัย บูรณา กับมงกุฎแก้ว บรูม ไปถามอำนาจว่าจะให้เรียกเด็กมาพบคนของคุณกรไหม อำนาจบอกไม่ต้อง เก่งนักก็หาทางเรียกเด็กกันเอง ตนอยากรู้ว่าจะมีใครยอมมารับคำปรึกษาไหม แล้วขยำกระดาษรายชื่อทิ้งถังขยะ พลันความคิดหนึ่งก็แว่บขึ้นมา บอกครูน้อยว่า

“ฉันมีความคิดดีๆ เพื่อไม่ให้คนของคุณกรว่างมากเกินไป ฉันจะส่ง ‘ตัวปัญหา’ ไปให้เขาจัดการ รับรองว่าสนุกแน่!” อำนาจจิกตาร้ายอย่างสะใจ
วันนี้ทรายรอเด็กในโครงการจนเลิกเรียนไปนานแล้วก็ยังไม่เห็นมา กำลังเอะใจ ประตูก็เปิดผลัวะ!

ดุจฤทัยหญิงในวัยสามสิบเศษแต่งตัวเนี้ยบสไตล์เวิร์กกิ้งวูแมนยืนจังก้าที่ประตู พูดเสียงดังเฉียบขาดว่า

“ลูกดิฉันมีปัญหาค่ะ!!” แล้วหันไปดึงแขนเด็กชายโชกุนที่ยืนหลบอยู่ข้างประตูออกมาบอกว่า “ลูกฉันชอบโกหก เมื่อก่อนก็ไม่เป็น แต่พอฉันแยกทางกับสามี เป็นหนักมาก!”

โชกุนก้มหน้าอายจนทำตัวไม่ถูกที่ถูกแม่ประจานกับครู ทรายสงสารเด็กบอกให้แม่พาน้องออกไปข้างนอกแล้วเราค่อยๆคุยกัน

“ไม่ต้องค่ะ คุยตรงนี้แหละ โรงเรียนจ้างครูมาแก้ปัญหาก็ต้องแก้ปัญหาให้ฉัน!”

“ดิฉันยินดีที่จะช่วย แต่ดิฉันไม่มีอำนาจในการรับเด็กเข้าโครงการ”

“คุณไม่มีแล้วใครกัน” ดุจฤทัยถามอย่างไม่พอใจ ในขณะที่โชกุนยิ่งก้มหน้างุด

ooooooo

วัยแสบสาแหรกขาด

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด