ตอนที่ 15
อัลบั้ม: เรื่องราวความรักความแค้นของ 2 ครอบครัวใน "สุดแค้นแสนรัก"
เช้าวันรุ่งขึ้น ยงยุทธเตรียมเดินทางมากรุงเทพฯ เขาบอกพนักงานที่ฟรอนต์ออฟฟิศว่าจะไปธุระสองสามวันมีอะไรด่วนก็ให้โทร.เข้ามือถือ
ยงยุทธเอากระเป๋าไปไว้ที่รถ ยิ่งใกล้เวลาเดินทางภาวะจิตใจเขาก็ยิ่งเครียดที่จะต้องไปเผชิญปัญหาใหญ่ถึงสองปัญหาในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้ แต่ยังไม่ทันขับรถออกจากรีสอร์ตเขาก็เกิดอาการเกร็ง ยงยุทธรู้ตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตน เขาพยายามตะเกียกตะกายออกจนตกจากรถ
“ผู้จัดการคะ ผู้จัดการ...ใครก็ได้ช่วยกันหน่อยเร็ว” พนักงานวิ่งออกมาช่วยกันพายงยุทธเข้าไปข้างในไม่นานหทัยรัตน์ก็ได้รับโทรศัพท์จากรีสอร์ตแจ้งข่าวยงยุทธ เธอบอกระพีพรรณว่าคนที่รีสอร์ตโทร.มาบอกข่าวไม่ค่อยดีของยงยุทธ
ปวริศอาสาจะลางานไปรับยงยุทธเอง เพราะขืนปล่อยให้ขับรถมาเองคงไม่ไหวแน่ ระพีพรรณบอกว่าพรุ่งนี้ตนว่างพอดีจึงจะไปด้วย ลลดาและมยุรีย์ต่างกระตือรือร้นที่จะไปรับยงยุทธด้วยกัน
ระพีพรรณเข้าใจความรู้สึกของเพื่อน ปลอบใจหทัยรัตน์ว่า
“อะไรที่จะเกิดก็ต้องให้มันเกิดแล้วล่ะรัตน์ ทำใจให้สบาย ในเมื่อตัดสินใจแล้วทุกอย่างก็ควรเป็นไปตามนั้น จะไม่มีใครทุกข์ใจหรอกถ้ายอมรับความจริงกันให้ได้”
เมื่อไปถึง มยุรีย์ตื่นเต้นมากที่จะได้มีพี่ชายอีกคนหนึ่ง บอกระพีพรรณว่าไม่รู้เขาจะมองตนอย่างไร ระพีพรรณบอกว่า
“ไม่ต้องกังวลหรอก เวลากับความจริงใจจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง นี่ถ้าป้าอัมพรรู้ ป้าอัมพรคงจะดีใจมาก ความรักความหวังดีจากใครก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าจากพี่น้องด้วยกันหรอก”
“ค่ะ ยุรีย์อยากให้พี่เขารู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก เขายังมีพี่น้องมีเพื่อนที่จะคอยประคับประคองเขาทุกเวลาที่มีความทุกข์”
ooooooo
ปวริศเดินไปบอกยงยุทธที่ยังอ่อนเพลียที่ห้องพักว่าพวกตนมารับเขากลับไปเยี่ยมคุณย่า เขาบอกว่าลำบากเปล่าๆ พรุ่งนี้ตนจะขับรถลงไปเอง
“ไปด้วยกันเสียตอนนี้เถอะค่ะพี่ยงยุทธ คุณย่าคอยพี่อยู่ ลดาตั้งใจมาเป็นคนขับรถให้พี่นั่งโดยเฉพาะเลยนะคะเนี่ย” ลลดาฉอเลาะให้เขาสบายใจ มยุรีย์ก็กระวีกระวาดถามว่ามีอะไรจะให้ตนช่วยไหม เก็บเสื้อผ้าข้าวของอะไรก็ได้ แต่ยงยุทธยังไม่สนิทใจ บอกว่ามันรกเดี๋ยวตนเตรียมตัวสักพักแล้วจะตามไป
“งั้นพวกเราไปกินข้าวคอยนายที่ห้องอาหารนะ” ปวริศพูดไม่ทันจบ ยงยุทธก็ปิดประตูแล้ว ทุกคนมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจอารมณ์ของเขา
ระพีพรรณไปล้างมือเห็นยงยุทธลงมายืนอยู่ที่มุมสวน เธอเดินไปชวนกินข้าวด้วยกัน ทุกคนรอเขาอยู่ ยงยุทธไม่สนใจกลับถามว่า “ทำไมรัตน์ไม่มาด้วย” ระพีพรรณบอกว่าหทัยรัตน์ติดงาน คนไข้มาก ลาไม่ได้ ยงยุทธถามอย่างระแวงว่าไม่ใช่เพราะเธอไม่อยากมาเจอหน้าตนหรือ
“คิดอะไรอย่างนั้น ย่าก็เป็นหนึ่งในคนไข้ที่รัตน์ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ไปเยี่ยมย่าเดี๋ยวก็ได้เจอกัน”
ยงยุทธปรารภว่าทุกคนคงคิดว่าตนใจดำกับย่า “เลิกระแวงความคิดคนอื่นเสียทีเถอะ ไม่มีใครคิดอย่างนั้น ย่าอาจผิดที่แย่งยงยุทธมาจากป้าอัมพร แต่ย่าก็ไม่ได้เลวร้ายกับยุทธไม่ใช่เหรอ ตรงข้ามย่าเลี้ยงยงยุทธมาด้วยความรักล้วนๆ ถึงเวลาที่ยุทธต้องกลับไปทำหน้าที่ของหลานที่ควรทำเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อย่าแล้วนะ”
ยงยุทธนิ่งฟังอย่างครุ่นคิด
ooooooo
ลลดาเป็นคนขับรถมากับยงยุทธ ระหว่างนั่งรถมาด้วยกัน เธอพยายามสร้างบรรยากาศที่สนิทสนมกับยงยุทธที่ดูยังเกร็งๆ จะเปิดเพลงให้ฟัง เขาบอกว่าตนไม่ชอบฟังเพลง ครั้นจะร้องสดให้ฟัง เขาบอกว่า “พี่ชอบอยู่เงียบๆมากกว่า”
“ถึงว่า...ชีวิตพี่ซีเรียสจัง ทำไมไม่หาความสุขใส่ตัวบ้างล่ะคะ บางทีคนเราก็ต้องหัดเล่นละครบ้างนะคะไม่ใช่เพื่อหลอกตัวเอง แต่เพื่อให้คนอื่นรอบๆตัวเรามีความสุขค่ะ”
ยงยุทธนิ่งไป เพราะตนไม่เคยคิดหรือมองอะไรในมุมนี้เลย
ส่วนระพีพรรณที่นั่งในรถของปวริศกับมยุรีย์ โทร.บอกหทัยรัตน์ว่าออกจากลำปางกันแล้ว ได้ตัวมาแล้ว ก่อนห้าโมงคงถึงโรงพยาบาล หทัยรัตน์ถามว่ายงยุทธเป็นอย่างไรบ้าง
“เข้าใจอะไรๆขึ้นเยอะแล้วล่ะ ตัวเองพร้อมที่จะเจอเขาแล้วใช่ไหม” หทัยรัตน์บอกว่าจะพยายาม “งั้นเท่านี้ก่อนนะ ถึงนครสวรรค์แล้วจะโทร.หาอีกที”
หทัยรัตน์วางสายจากระพีพรรณสีหน้ากังวล หายใจไม่ทั่วท้อง ธนาที่อยู่เคียงข้างบอกให้ทำใจให้สบาย ยังไงเวลานี้ก็ต้องมาถึง หทัยรัตน์บอกว่าตนไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้เป็นคนขี้ขลาดขนาดนี้
“ถ้ารัตน์อดสงสารเขาไม่ได้ งั้นให้ธนาเป็นฝ่ายเจ็บปวดเองไหม”
“ธนาคนเดียวที่ไหน รัตน์ก็เจ็บปวดด้วยนะ”
“งั้นธนาจะเป็นคนพูดกับเขาเอง”
“อย่าเลย รัตน์เป็นคนที่อยู่ตรงกลาง รัตน์จะเป็นคนพูดเอง แต่ยังไงก็แล้วแต่ ขอให้เรื่องของย่าเสร็จด้วยดีก่อนก็แล้วกัน” หทัยรัตน์ตัดสินใจที่จะเผชิญปัญหาด้วยตัวเอง
ooooooo
เมื่อยงยุทธเข้าไปเห็นสภาพของนางแย้มที่บัดนี้ผอมมาก ผมขาวโพลนทั้งหัว นอนอยู่อย่างหมดแรง เขาก้าวเท้าแทบไม่ออก น้ำตาไหลพราก
พะยอมกระซิบบอกแม่ว่ายงยุทธมาแล้ว นางแย้มพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากเย็น เรียก “ยงยุทธ...” แทบไม่มีเสียง
ทั้งยงยุทธและนางแย้มต่างร้องไห้ ยงยุทธเข้าไปหาย่า ประคองมือย่าขึ้นซบหน้ากับฝ่ามือ ย่าร้องไห้โฮออกมาอย่างสุดกลั้น ทุกคนน้ำตาซึม แต่คนที่เมินจากภาพนั้นอย่างเย็นชาคือสุดา
“หลานรักของย่า...” นางแย้มเอ่ยน้ำตาไหล ยงยุทธมองย่า พลันความคับข้องใจที่อัดอั้นก็ระเบิดออกมาอย่างที่ไม่อาจควบคุมตัวเองได้
“ทำไม...ทำไม คนที่ทำร้ายผมต้องเป็นคุณย่าด้วย ทำไม...ทำไม!!” ยงยุทธร้องไห้ระเบิดอารมณ์ระบายความอัดอั้นจนทุกคนตะลึง ส่วนนางแย้มก็ร้องไห้อย่างหนัก ถามอย่างคับแค้นใจเช่นกันว่า
“ทำไมน่ะเหรอ...อยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมย่าถึงเลว ถึงชั่ว” นางแย้มทุรนทุรายดิ้นจนสายน้ำเกลือจะหลุด พะยอมรีบเข้าประคองเรียกแม่...แม่...แต่นางแย้มเหมือนไม่รับรู้อะไร ระบายความคับแค้นใจออกมาอย่างรุนแรงว่า
“ย่ามันชั่ว...ย่ามันเลว ย่ามันคนไม่มีหัวใจ ย่ามันคนใจดำ อีแย้มคนนี้มันใจร้าย แล้วมึงรู้ไหม ใครล่ะที่มันทำกับกูก่อน ถ้าไม่ใช่โคตรเหง้าแม่มึง ถ้าไม่ใช่พวกมัน กูจะเป็นยังงี้ไหม”
ระพีพรรณกับปวริศช่วยกันจับตัวนางแย้มที่เหมือนจะทำร้ายตัวเอง มีแต่สุดาที่ยืนมองตกใจแต่ก็แอบสะใจ
ยงยุทธมองย่าน้ำตาไหลพรากด้วยความเจ็บปวด แล้วเขาก็ผลุนผลันวิ่งออกจากห้องไป ลลดาตื่นตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นวิ่งตามยงยุทธออกไป เห็นเขาวิ่งไปจนสุดทางกำหมัดชกกำแพงจนนิ้วแตกเลือดไหล โกรธตัวเองที่ไม่อาจสลัดให้หลุดพ้นจากความเกลียดชังย่าผู้เลี้ยงตนมาได้ ในที่สุดก็ทรุดนั่งชันเข่าซบหน้ากับเข่าร้องไห้จนตัวโยน
“พี่ยงยุทธ” ลลดามาเรียกอย่างห่วงใย
“พี่ฝืนเล่นละครอย่างที่ลลดาบอกไม่ได้ พี่แกล้งทำให้คนรอบๆตัวมีความสุขไม่ได้หรอก พี่หลอกตัวเองไม่ได้ ว่าพี่เกลียดคุณย่า พี่เกลียดคุณย่า...”
ที่ห้องพักนางแย้ม ลูกหลานต่างห้อมล้อมอยู่ด้วยความเศร้าเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยกเว้นสุดาที่สมองทำงานอย่างเร็วคิดแผนต่อไป ช็อตต่อช็อต
ooooooo
หทัยรัตน์รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว เธอออกจากห้องพักแพทย์เห็นยงยุทธนั่งร้องไห้อยู่ เธอรีบเดินไปหาถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ต่างทักทายกันเหมือนไม่รู้จะพูดอะไร
ยงยุทธรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของหทัยรัตน์ เธอเองก็ย้ำเตือนตัวเองตลอดเวลาว่าอย่าใจอ่อน...อย่าใจอ่อน... และเพื่อเลี่ยงจากสภาพเฉพาะหน้า หทัยรัตน์ขอตัวไปดูแลคนป่วย บอกยงยุทธว่า แล้วค่อยคุยกัน
ยงยุทธมองตามหทัยรัตน์ที่เดินห่างออกไปทุกที...เขาหลับตาลงน้ำตาไหลพรากด้วยความรู้สึกสูญเสียเหมือนโลกนี้ตนไม่เหลือใครอีกแล้ว...
เมื่อหทัยรัตน์ไปเจอระพีพรรณในห้องพักแพทย์ เธอพูดอย่างเจ็บปวดว่า ตนไม่เคยใจร้ายกับยงยุทธอย่างนี้มาก่อน รู้สึกตัวเองแย่มาก
“ทำยังไงได้ ในเมื่อตัวเองเลือก ถ้าจะให้ยงยุทธเขาทำใจได้ นี่ก็คงเป็นวิธีเดียว เขาต้องเรียนรู้ที่จะเป็นฝ่ายแพ้บ้าง คนเราไม่มีใครสมหวังในชีวิตไปเสียทุกเรื่องหรอก”
“ขนาดเรื่องของย่า เขายังทำใจไม่ได้เลย แล้วเรื่องรัตน์กับธนาเขาจะยอมรับมันได้เหรอระพี...”
ทั้งสองต่างหนักใจ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต...
ooooooo
ในห้องคนไข้วิกฤติ สุดาเฝ้านางแย้มอยู่คนเดียว เธอฉวยโอกาสนี้ถามเรื่องพินัยกรรมว่าแม่ทำไว้แล้วใช่ไหม เก็บไว้ที่ไหน นางแย้มบอกว่าทำแล้วและเก็บไว้ที่ธนาคาร เธอกระซิบถามว่าแล้วคุณแม่อยากเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมไหม?
พอนางแย้มถามว่าทำไมต้องเปลี่ยน สุดายุว่าคนเนรคุณอย่างยงยุทธ คุณแม่ยังจะรักเขาลงอีกหรือ พอนางแย้มนิ่งฟังก็ใส่ไฟทันที
“ตั้งแต่เล็กจนโต คุณแม่ให้เขามาไม่น้อย สุดารู้ว่าถ้าคุณแม่ตาย อะไรต่ออะไรก็คงยกให้เขาอีกมหาศาลแต่เขาเห็นค่าความรักความเมตตาที่คุณแม่มีให้เขารึเปล่า คุณแม่เชื่อสุดาเถอะ ต่อให้เขาได้สมบัติคุณแม่ไปทั้งหมด เขาก็ไม่มีทางมีแก่ใจจะทำบุญกรวดน้ำไปให้คุณแม่หรอกค่ะ เผลอๆมันจะหัวเราะเยาะคุณแม่เอาทีหลัง วิญญาณคุณแม่น่ะแหละค่ะจะไม่มีวันสงบสุข มีแต่จะช้ำใจเปล่าๆ”
เมื่อเห็นนางแย้มนิ่งฟังก็รวบรัดว่า
“สุดาแค่กำลังพูดความจริง ตอนนี้คุณแม่ยังพอมีแรง มีสติ เปลี่ยนพินัยกรรมเถอะค่ะ คนเนรคุณอย่างนั้นไม่สมควรจะได้อะไรจากคุณแม่เลยแม้แต่อย่างเดียว”
นางแย้มนิ่งฟัง แต่แววตาเด็ดเดี่ยวมั่นใจกับการตัดสินใจของตัวเอง
ooooooo
ลลดาพายงยุทธไปพักโรงแรมไม่ไกลนัก บอกให้เขาพักผ่อนให้ดีพรุ่งนี้ไปเยี่ยมคุณย่ากันอีกที ยงยุทธขอเวลาอีกสักพักเพราะตนรู้สึกเหนื่อย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตนให้อภัยคุณย่าไม่ได้
“ลดาเข้าใจค่ะ ลดาคิดว่าลดาเข้าใจพี่ พักผ่อนก่อนนะคะ ลดาจะลงไปหาซื้อขนมของกินมาให้”
นอกจากนี้ลลดายังพยายามโทร.ติดต่อหทัยรัตน์แต่ก็ติดต่อไม่ได้ ยงยุทธบอกว่าตนก็โทร.แต่เธอไม่รับสาย รำพึงว่า
“พี่รู้สึกว่ารัตน์เขาเปลี่ยนไป”
“อยู่ที่พี่ยุทธเองค่ะ ถ้าพี่ยุทธไม่สู้ให้ได้พี่หมอรัตน์คืนมา พี่ยุทธก็ต้องสูญเสียแน่นอนค่ะ”
ยงยุทธมองหน้าลลดาอย่างครุ่นคิด
ระพีพรรณกับหทัยรัตน์ต่างไม่รู้ว่ายงยุทธหาย ไปไหน หทัยรัตน์เฝ้าแต่โทษว่าตัวเองใจดำกับเขามากไป
“มันเป็นความจริงที่เขาต้องเผชิญ...จะช้าหรือเร็วเท่านั้นแหละ” ระพีพรรณให้กำลังใจเพื่อน
เมื่ออุไรรู้เรื่องนางแย้มกับยงยุทธก็สมน้ำหน้าว่าขนาดหลานรักแท้ๆ ยังไม่ยอมให้อภัยเลย ส่วนนางอ่ำก็รำพึงว่า ไม่รู้จะผูกเวรผูกกรรมไว้ทำไม ยงยุทธคงไม่รู้ว่าตัวเองกำลังก่อกรรมหนักอยู่ ขอให้ระพีพรรณตามหาให้เจอบอกเขาว่ายายเป็นห่วง ห่วงกว่าใครทั้งนั้น
ฝ่ายนางแย้มถูกสุดายุยงให้เขียนพินัยกรรมใหม่ จึงเรียกหทัยรัตน์ที่ตนรักและหมายมั่นจะได้มาเป็นสะใภ้มาช่วยเขียนพินัยกรรมใหม่ในห้องคนป่วยวิกฤติ สุดาดีใจมากดูแลและเอาใจนางแย้มหมายได้รับรู้การเขียนพินัยกรรมใหม่นี้ด้วย แต่ถูกนางแย้มโบกมือให้ออกไปข้างนอกแล้วจึงบอกให้หทัยรัตน์เขียนโดยมีพยาบาลเซ็นเป็นพยาน
“ช่วยกันเก็บเป็นความลับด้วย อย่าบอกใคร ย่าตายไปแล้วยี่สิบวันถึงค่อยเปิดให้ลูกหลานทุกคนอ่านนะหมอ” หทัยรัตน์รับปากบอกให้คุณย่าพักผ่อนไม่ต้อง กังวล นางก็เอ่ยปากขอ “สงสารยงยุทธด้วย แต่งงานกับยงยุทธนะหมอ”
หทัยรัตน์พูดไม่ออก ในขณะที่นางแย้มสั่งเสียแล้วหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน
พอหทัยรัตน์ออกมา สุดาก็ปรี่มาถามทันทีว่าพินัยกรรมเป็นอย่างไรบ้าง หทัยรัตน์บอกว่าเรียบร้อยดีทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่พอสุดาอยากรู้รายละเอียด หทัยรัตน์บอกว่าตนมีหน้าที่บันทึกทุกถ้อยคำที่เป็นความต้องการของคุณย่าเท่านั้น พูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ แต่สุดาก็ฝันเฟื่องคิดเข้าข้างตัวเองอย่างมั่นใจ จึงอารมณ์ดีเบิกบานใจเป็นพิเศษ
ooooooo
วันนี้ธนาไปหาหทัยรัตน์ที่โรงพยาบาลชวนไปหาอะไรกินกัน บังเอิญไปเจอยงยุทธนั่งกินอยู่กับลลดาอยู่ก่อนแล้ว พอหทัยรัตน์เห็นยงยุทธเท่านั้นถึงกับก้าวขาไม่ออก ยงยุทธลุกยืนทันที ธนาจึงขยับไปยืนข้างหทัยรัตน์อย่างปกป้อง
ยงยุทธต่อว่าหทัยรัตน์อย่างมีอารมณ์ที่ไม่รับสายตน หทัยรัตน์บอกว่าเรื่องของเราเอาไว้คุยกันทีหลัง ส่วนธนาก็ชวนหทัยรัตน์ไปร้านอื่นกันดีกว่า ยงยุทธของขึ้นพรวดตามไปอย่างเอาเรื่อง ลลดาตกใจร้องเรียกยงยุทธพลางรีบตามไป
ยงยุทธตามไปถามหทัยรัตน์ว่า ที่บอกว่าเรื่องของเราไว้คุยกันทีหลังหมายความว่าอย่างไร เธอบอกว่าเขาต้องเคลียร์เรื่องคุณย่าให้จบก่อน ยงยุทธคาดคั้นว่าไม่ต้องอ้างคุณย่า ความจริงแล้วเธอเปลี่ยนใจไปจากตนแล้วใช่ไหม ธนาฉุนเลยตอบแทนหทัยรัตน์ว่าเธอเปลี่ยนใจแล้วเพราะเบื่อเอือมระอาเขาเต็มที พูดใส่หน้าอย่างไม่อ้อมค้อมว่า
“นิสัยนายมันไม่เคยเปลี่ยน ความรักของนายมันเป็นยังไงกันแน่ นายคอยแต่จะเป็นคนได้รับความรัก แต่นายเคยคิดจะเป็นผู้ให้บ้างไหม ไอ้บ้า!”
ยงยุทธกลับหาว่าที่เธอเปลี่ยนใจเพราะตนไม่มีชื่อเสียงช่วยให้เธอกลายเป็นคนดังไม่ได้ใช่ไหมถึงได้ทิ้งตนไป
“ไม่ใช่ทั้งนั้น...” หทัยรัตน์สวนไป เขาถามว่างั้นมันคืออะไร “กลับไปค่อยๆ คิดทบทวนเอาเอง” ตัดบทแล้วจะไปขึ้นรถ ยงยุทธถลันเข้าไปเหมือนจะฉุดหทัยรัตน์ ธนาพุ่งเข้าไปผลักอก เลยชกต่อยกัน แต่ยงยุทธชกไม่เป็นถูกธนาชกจนเซล้มลง ธนาตะโกนใส่หน้าว่า
“กลับไปสงบสติอารมณ์นายให้ดีก่อน ค่อยๆคิด เลิกเข้าข้างตัวเองเสียที เลิกเห็นแก่ตัวได้แล้ว ยอมรับความจริงให้เป็นเสียบ้าง” แล้วพาหทัยรัตน์ขึ้นรถไป
ลลดารีบมาประคองยงยุทธ เขาเครียดจนชักตาค้าง ลลดาตกใจตะโกนเรียกธนา หทัยรัตน์กับธนารีบกลับมา ทั้งสองลืมความขุ่นมัวไปหมดสิ้นต่างช่วยกันปฐมพยาบาลยงยุทธและพาส่งโรงพยาบาล
ระหว่างที่ยงยุทธถูกพาเข้าห้องฉุกเฉิน หทัยรัตน์วิ่งตามร้องเรียกเขาให้ได้สติตลอดทาง ส่วนธนาก็ประกบอีกข้างของเตียงพยายามเรียกเช่นกัน
ลลดาตำหนิธนาว่าไม่ควรพูดอย่างนั้นกับยงยุทธ ธนาบอกว่ายงยุทธต้องรับความจริงให้ได้ เธอติงว่ายงยุทธรักกับหทัยรัตน์มาก่อน ธนาแย้งว่าเรื่องนี้ต้องให้หทัยรัตน์เป็นคนตัดสินใจเลือกเอง เธอย้อนถามว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของคนที่ถูกแย่งความรักไปดีแค่ไหน แล้วพูดถึงความรู้สึกของตนอย่างเจ็บปวด ธนายืนยันว่าตนรักเธอเหมือนน้องสาว สอนน้องว่า
“ความรักไม่ใช่การแย่งชิง ลดาเข้าใจความรักผิดแล้ว...ลดาเป็นน้องที่พี่รัก แต่เปิดใจไว้เถอะ สักวันลดาจะพบคนนั้นเอง อย่างไม่ต้องพยายามหาหรือพยายามทำให้เขารัก”
ลลดาน้ำตาร่วงรู้สึกถึงความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงของตัวเอง
ooooooo
เช้าวันต่อมา ทั้งนางอ่ำ อุไร ระพีพรรณ ปวริศและมยุรีย์ต่างพากันไปเยี่ยมยงยุทธและพร้อมที่จะให้เขาไปอยู่ที่บ้านตน แต่ระพีพรรณบอกว่าปล่อยให้ ยงยุทธตัดสินใจเองดีกว่า เขาสะดวกใจจะไปพักที่ไหนก็แล้วแต่เขา
หทัยรัตน์ปรารภกับระพีพรรณว่าเหมือนตนใจร้ายที่ไม่ยอมไปดูแลยงยุทธเลย ระพีพรรณเห็นว่าดีแล้วเพราะถ้าไปจะยิ่งเป็นการไปตอกย้ำความรู้สึกของเขา
“รัตน์ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะเปราะบางขนาดนี้”
“เขาถูกเลี้ยงดูมายังไง ตัวตนของเขาก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงเขาได้หรอก นอกจากตัวเขาเอง”
ในที่สุดยงยุทธก็กลับไปอยู่ที่บ้าน โดยปวริศกับระพีพรรณไปรับออกจากโรงพยาบาลพามาส่งบ้าน ยงยุทธกลับมาอยู่ในสภาพเดิมที่เคยอยู่กับย่าก็ยิ่งคิดมาก ปวริศถามว่าอยู่คนเดียวได้แน่นะ จะให้ตนอยู่เป็นเพื่อน ไหม เขาส่ายหน้าแล้วเดินขึ้นข้างบน
เมื่อได้อยู่เงียบๆ ในบรรยากาศเดิมๆ ยงยุทธคิดถึงชีวิตที่ผ่านมาที่ย่าทุ่มเทเลี้ยงดูตนอย่างดีมาแต่เด็ก นึกถึงที่ตนทะเลาะกับย่าและทิ้งย่าไป เขารู้สึกผิด ยิ่งเมื่อเห็นรองเท้าหนังคู่เล็กๆ ที่เคยใส่สมัยอายุ 7-8 ขวบก็ยิ่งสะเทือนใจ ลุกเดินไปที่ห้องนอนย่า เห็นสภาพห้องและไม้เท้าที่ใช้พยุงตัวของย่าวางอยู่ ก็ยิ่งรู้สึกผิด ที่ในยามย่าอยู่ในวัยชราช่วยตัวเองไม่ค่อยได้นี้ เขากลับทิ้งย่าไป ยงยุทธน้ำตาร่วงพึมพำ
“คุณย่าครับ ยังไม่สายเกินไปใช่ไหมครับ คุณย่ารอผมก่อนนะครับ”
ooooooo
ยงยุทธตัดสินใจไปหานางแย้มที่โรงพยาบาลกลางดึกคืนนี้เลย เขาไปหาย่า เรียกย่า กราบขอโทษย่า นางแย้มถามว่าขอโทษเรื่องอะไร เขาโทษตัวเองว่าทำไม่ดีกับคุณย่า ทำให้คุณย่าต้องเสียใจ ร้องไห้โฮขอให้คุณย่ายกโทษให้ด้วย
“อย่าโทษตัวเองลูก ย่าเป็นคนผิดคนเดียว ผิดมาตั้งแต่ต้น ย่าต่างหากต้องเป็นฝ่ายขอโทษ ให้อภัยย่าด้วยนะลูกนะ”
สองย่าหลานกอดกันร้องไห้ด้วยความเข้าใจ เห็นถึงหัวใจของกันและกัน ยงยุทธบอกย่าว่าตนจะทำความสะอาดบ้าน ขอให้คุณย่าหายเร็วๆ จะได้กลับไปอยู่ด้วยกัน
“ย่าจะไม่ยอมเป็นอะไรง่ายๆหรอก ยังไงก็ต้องอยู่ให้ได้เห็นงานแต่งงานของยงยุทธกับหมอรัตน์ก่อน”
“ครับคุณย่า” ยงยุทธตอบทั้งที่รู้ว่าอาจเป็นไปไม่ได้
เมื่อยงยุทธกลับไปแล้ว สุดาพูดเหน็บนางแย้มว่ายาอะไรก็สู้ยาขนานหลานชายสุดที่รักไม่ได้
สุดาวางแผนร้ายหาทางที่จะเร่งรัดวันเวลาให้เร็วขึ้น เมื่อพยาบาลมาเปลี่ยนน้ำเกลือออกไป สุดาไปเร่งน้ำเกลือให้เร็วขึ้นเพื่อให้นางแย้มช็อกตาย จัดการนางแย้มแล้ว สุดาปรับการเดินน้ำเกลือให้เป็นปกติ มองนางแย้มที่นอนตาเหลือกเหมือนจ้องตนอยู่ พูดอย่างสาแก่ใจว่า
“คุณแม่บังคับให้สุดาต้องทำอย่างนี้เองนะคะ ไปๆ ซะเถอะค่ะจะได้เลิกทรมานตัวเอง ทรมานคนอื่นเสียที”
แล้วสุดาก็ห่มผ้าให้นางแย้ม จากนั้นตัวเองไปนอนทำท่าเหมือนเฝ้าไข้ตามปกติ
ooooooo










