ตอนที่ 14
อัลบั้ม: เรื่องราวความรักความแค้นของ 2 ครอบครัวใน "สุดแค้นแสนรัก"
วันนี้ที่เฉลียงบังกะโล ทั้งที่เป็นเวลามาท่องเที่ยวพักผ่อน แต่บรรยากาศกลับไม่แจ่มใส เมื่อธนาที่ร่าเริง กลับกลายเป็นนั่งเครียด เสียงกีตาร์ที่ปวริศดีดก็กระท่อน กระแท่น เสียงร้องก็เพี้ยนจนฟังแปร่งหู
ระพีพรรณทนอยู่กับบรรยากาศอึดอัดนี้จนปวริศ เลิกเล่นกีตาร์ไปเอง ธนาลุกจากที่นั่งซึมเดินไปอีกทางหนึ่ง ปวริศถามว่าเป็นอะไรของเขา เมื่อกี๊ยังดีๆอยู่เลย งอนอะไร หทัยรัตน์ส่ายหน้าแล้วลุกไปอีกคน
“ตกลงมันเป็นโรคติดต่อแหงๆเลยใช่ไหมระพี ไอ้โรคงอนเนี่ย” ปวริศหันไปถามระพีแต่กลับได้ฟังเพียงแค่เสียงถอนหายใจ “รู้อะไรดีๆบอกกันมั่งสิตัวเอง”
ปวริศงงกับบรรยากาศที่อึมครึมนี้
หทัยรัตน์ไปที่ฟรอนต์ ออฟฟิศรีสอร์ต บอกพนักงานว่าต้องการพบผู้จัดการ พนักงานแจ้งว่าออกไปธุระแต่เช้าแล้ว หทัยรัตน์ผิดหวัง ขอบคุณแล้วถอยออกมา
ที่แท้ยงยุทธแอบดูอยู่มุมหนึ่ง เขารู้สึกถึงอารมณ์ของหทัยรัตน์ที่มีต่อตนว่าไม่เหมือนเดิม แต่ก็ยังยึดสัญญาไว้มั่น
ส่วนระพีพรรณเข้าใจความรู้สึกของธนา ตามไปกึ่งเตือนกึ่งขอร้องให้ทำทุกอย่างเหมือนเดิมได้ไหมเพราะหทัยรัตน์ยังคงสับสนอยู่ ธนาบอกว่าจะให้ตนฝืนความรู้สึกตัวเองตนทำไม่ได้ ระพีพรรณถามว่าความมั่นใจในตัวเองหายไปไหนหมด
“ธนากำลังคิดว่า ถ้าธนาเป็นยงยุทธบ้าง ธนาก็คงเจ็บเหมือนกัน ถ้ารัตน์เกิดตัดสินใจเลือกธนาแล้วยงยุทธล่ะจะเป็นยังไง เท่านี้เขาก็เสียศูนย์มามากพอแล้ว” ระพีพรรณดักคอว่าอย่าบอกนะว่าจะเป็นฝ่ายถอย?
“ระพีอย่าลืมสิ เขาเป็นพี่ชายแท้ๆของธนานะ รัตน์รักเขามากมายขนาดนี้ น้องชายอย่างธนาก็ควรจะเป็นฝ่ายยอมแพ้ไม่ดีกว่าเหรอ”
ระพีพรรณฟังแล้วอึ้งสนิท
ระหว่างขับรถกลับ ระพีพรรณเห็นหทัยรัตน์ถือโทรศัพท์มองไปนอกรถอย่างเลื่อนลอย เธอเอ่ยอย่างเข้าใจเพื่อนว่า
“รัตน์..ตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัตน์เองนะ ความรักมันมีคำจำกัดความที่ไม่รู้จบ แต่ยังไงก็แล้วแต่ในเมื่อจะต้องเลือก รัตน์ก็ชั่งใจเอาเองแล้วกัน เพื่อความสุขของตัวรัตน์เองนะ”
หทัยรัตน์พยักหน้าให้เพื่อนเหมือนมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว
ส่วนในรถของปวริศกับธนาที่ขับตามหลังมา ปวริศ ถามธนาว่าโอเคหรือเปล่า ธนาฝืนยิ้มบอกว่าโอเคไม่มีปัญหา
“ถ้านายตัดสินใจอย่างนั้นจริง ฉันจะโคตรนับถือน้ำใจนายเลยว่ะเพื่อน” ปวริศชื่นชม ธนาฝืนยิ้มทั้งที่น้ำตาตกใน
แล้วหทัยรัตน์ก็ได้รับข้อความจากยงยุทธว่า “เมื่อยุทธพร้อม ยุทธจะกลับไป เราจะแต่งงานกัน รัตน์รอยุทธด้วย...รัก” ส่งข้อความแล้วยงยุทธมองออกไปสุดสายตาด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นคนใหม่ ส่วนหทัยรัตน์ อ่านข้อความแล้วน้ำตาร่วงเผาะกับการต้องตัดสินใจเลือก! ระพีพรรณเหลือบมองหทัยรัตน์ไม่รู้จะปลอบใจอย่างไร ได้แต่มองด้วยความเห็นใจ
ooooooo
ส่งหทัยรัตน์ที่หน้าบ้านแล้ว ระพีพรรณบอกเพื่อนรักว่ามีอะไรให้โทร.หาตนได้ตลอดเวลา ย้ำว่า
“ค่อยๆคิด แต่ระพีว่าถึงตอนนี้ อย่าใช้สมองแก้ปัญหาเลย เรื่องความรักยังไงก็ต้องใช้หัวใจชั่งตวงวัดเอามากกว่า”
“รัตน์จะพยายาม”
ฝ่ายธนาเมื่อกลับถึงบ้านก็ตรงไปกราบตักกอดยายอ้อนว่าคิดถึงคุณยายจังเลย กอดยายแล้วบอกว่าเหมือนได้กอดแม่
ระพีพรรณหิ้วกระเป๋ากับถุงของฝากเข้าบ้านบอกอุไรว่ามีของฝากจากลำปางมาเพียบเลย นางอ่ำถามว่าสนุกไหม ธนาบอกว่าสนุกมาก สนุกอย่างที่ไม่เคยสนุกอย่างนี้มาก่อนเลย อุไรเห็นมีของฝากมากมายเสนอให้โทร.ตามทวีกับมยุรีย์มากินข้าวด้วยกันดีไหม ธนาเห็นด้วยและอาสาโทร.เอง เมื่ออยู่กับครอบครัว ธนาร่าเริงและอบอุ่นจนแทบไม่เห็นร่องรอยผิดหวังเลย
เมื่อหทัยรัตน์เข้าห้องแล้ว เธอเปิดอ่านข้อความที่ยงยุทธส่งมาล่าสุด อ่านแล้วอ่านอีก ยิ่งอ่านก็ยิ่งสับสน เจ็บปวด พลันก็ชะงักเมื่อมีสัญญาณข้อความเข้าดังขึ้น พอเห็นเป็นเบอร์ของยงยุทธเธอกดรับทันที
ยงยุทธถามว่ากลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้วใช่ไหม หทัยรัตน์บอกว่าถึงนานแล้ว เธอตัดสินใจจะพูดกับเขา ก็ถูกยงยุทธถามขึ้นก่อนว่าอ่านข้อความที่ส่งมาหรือยัง หทัยรัตน์เงียบ ยงยุทธพูดต่ออย่างมีความหวังว่า
“ทุกอย่างยุทธอยากให้เป็นไปตามนั้น คงไม่นานหรอก แล้วยุทธจะกลับไป รัตน์รอยุทธด้วย” พอเธอจะพูดเขาก็พูดต่อเสียก่อนว่า “อีกอย่างนึงที่ยุทธอยากขอร้องรัตน์ไม่ต้องบอกใครนะว่ายุทธอยู่ที่ไหน รัตน์คงเข้าใจว่ายุทธหมายถึงใคร แล้วค่อยโทร.คุยกันนะ” พูดจบก็วางสายเลย หทัยรัตน์เลยถือโทรศัพท์เก้อๆ ปิดมือถือเหมือนใจไม่อยู่กับตัว
ooooooo
ระหว่างที่ทวีกับมยุรีย์มากินข้าวด้วยกันที่บ้านอุไรนั้น ทุกคนยิ้มแย้มมีความสุข มยุรีย์เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนว่าถ้าคุณยายไม่ตัดสินใจขายที่นา ป่านนี้พวกเราจะเป็นยังไงกันบ้างนะ ทวีบอกว่าก็เป็นชาวนาสิ
ทวีกับอุไรเล่าถึงการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของครอบครัวของยาย เล่าถึงความยากลำบากกว่าจะฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆมาได้ก็แทบเลือดตากระเด็นให้ลูกหลานฟัง
“ยายกับแม่กับน้า เขาต้องต่อสู้ฝ่าฟันอะไรมาเยอะนะลูก กว่าจะมีวันนี้ให้พวกเราได้” ทวีเอ่ย
“เสียเหงื่อพอๆกับเสียน้ำตาน่ะแหละ” อุไรเสริมอย่างเย้ยหยันกับชีวิตที่ผ่านมา
“เรื่องเก่าที่มันทำให้จิตใจเศร้าหมอง จะไปพูดถึงมันทำไมลูกเอ๊ย” นางอ่ำไม่อยากให้บรรยากาศหดหู่
“ลูกหลานมันจะได้จำไว้เป็นบทเรียนไงแม่ ว่าพี่น้องกันน่ะ ยังไงก็ตัดไม่ตายขายไม่ขาด รักใคร่กลมเกลียวกันเอาไว้ให้ดีๆ คนอื่นจะมาสำคัญกว่าพี่น้องไม่ได้ ต่อให้เป็นแฟนเป็นเพื่อนก็เถอะ ทั้งเพื่อนทั้งแฟนมันเปลี่ยนแปลงกันได้ทั้งนั้น แต่พี่น้องยังไงก็สายเลือดเดียวกัน ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้หรอก”
เป็นคำพูดที่ตอกย้ำเข้าไปในหัวใจของธนา...ทำให้เขายิ่งเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตัวเองที่จะเป็นฝ่ายถอยเพื่อพี่ชาย ดังที่ให้สัญญาไว้ก่อนแม่จากไป
ooooooo
นางแย้มป่วยหนัก ปวดท้องรุนแรงจนร้องครวญคราง สุดาเทยาธาตุน้ำขาวให้กิน นางบอกว่ากินจนเกือบหมดขวดแล้วไม่เห็นหายเลย สุดาก็ยังเทยาให้กินอีก แล้วจะพาขึ้นไปพักข้างบน
นางแย้มลุกเดินไม่ไหวบอกให้พาตนไปโรงพยาบาล สุดาบอกว่าไปโรงพยาบาลหมอก็ให้ยาธาตุน้ำขาวมากินเหมือนกันนั่นแหละ ไปทำไมให้สิ้นเปลืองเปล่าๆ แล้วประคองจะพาขึ้นข้างบนให้ได้
นางแย้มปวดท้องรุนแรงจนทรุดนอนที่โซฟา สุดาเข้าไปนั่งดูก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นตรงที่นางแย้มนอนท่อนล่างเลือดชุ่มไปหมด นางแย้มเองก็ช็อกเมื่อเห็นเลือดทะลักออกมาเป็นลิ่มๆ
เมื่อพาไปโรงพยาบาล ระพีพรรณบอกว่าสันนิษฐานว่าแนวโน้มจะเป็นเนื้อร้าย ทุกคนนิ่งงัน มีแต่สุดาที่โพล่งออกมาว่า “มะเร็งน่ะเหรอ!”
ระพีพรรณบอกหทัยรัตน์ขณะนั่งตรวจบันทึกการตรวจคนไข้ที่โต๊ะในห้องพักแพทย์ว่า ยืนยันชัดเจนแล้วว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย! ในยามที่คนป่วยต้องการกำลังใจอย่างมากนี้ ทั้งสองคุยกันว่าคนที่จะช่วยได้มากที่สุดคือยงยุทธ ระพีพรรณให้หทัยรัตน์ช่วยโทร.บอกยงยุทธด้วย หทัยรัตน์รีบโทร.ทันที แต่ปรากฏว่าไม่สามารถติดต่อได้
เมื่อพานางแย้มกลับมาพักที่บ้าน สุดาเป็นคนดูแลแต่ก็ดูแลอย่างขอไปที รังเกียจที่นางแย้มฉี่รดที่นอนจนเหม็นไปหมด บ่นว่าห้องน้ำก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง นางแย้มได้แต่ฟังสุดาบ่นอย่างขมขื่นที่ในยามนี้ถูกลูกสะใภ้รังเกียจที่จะดูแล
สุดาโยนผ้าปูที่นอนเปียกฉี่ออกนอกห้องบ่นอุบอิบ “เห็นกูเป็นขี้ข้ารึไงวะ...เมื่อไหร่จะตายๆ ไปให้พ้นๆเสียที”
พะยอมมาได้ยินพอดีบอกว่าถ้าไม่เต็มใจทำก็อย่าทำ แม่ตนตนดูแลได้ ก็ถูกสุดาประชดว่าก็หัดมาให้หัววันหน่อยสิ
พะยอมเลือดขึ้นหน้าแต่ระงับไว้ เข้าไปดูแลแม่อย่างอ่อนโยน พูดคุยให้หายเครียด ปะเหลาะให้กินโจ๊กจะได้กินยา นางแย้มหมดกำลังใจที่จะอยู่ บอกพะยอมว่าปล่อยให้แม่ตายไปเถอะ อยู่ไปก็ทรมาน
“พูดอะไรอย่างนั้นแม่ ถ้าแม่ตายหนูจะไปหาแม่ได้จากที่ไหน” พะยอมพยายามพูดให้ผ่อนคลาย บอกแม่ว่าให้รอแป๊บนึงตนจะไปเตรียมโจ๊กให้
ระหว่างที่พะยอมไปเตรียมโจ๊กนั่นเอง นางแย้มประคองตัวเองขึ้นไปที่ห้องยงยุทธ มองดูข้าวของที่อยู่ในสภาพเดิมเหมือนรอเจ้าของห้องกลับมา นางแย้มเดินไปเปิดตู้เห็นรองเท้านักเรียนคู่เล็กๆ สมัยที่ยงยุทธอายุ 7-8 ขวบวางอยู่ นางแย้มหยิบมาดูน้ำตาร่วงด้วยความคิดถึงหลานรัก
พะยอมยกชามโจ๊กออกมาไม่เห็นแม่ก็นึกว่าไปเข้าห้องน้ำ พลันก็ได้ยินเสียงโครมอยู่ข้างบน พะยอมวิ่งขึ้นไปดูเห็นแม่นอนหมดสติเลือดนองที่ก้น ในขณะที่ในมือยังกอดรองเท้าเล็กๆคู่นั้นไว้แนบอก พะยอมตกใจโผเข้าประคองร้องเรียก
“แม่! แม่!!”
ooooooo
ระพีพรรณเร่งหทัยรัตน์ให้รีบตามยงยุทธ หทัยรัตน์ โทร.แล้วโทร.อีกเป็นชั่วโมงก็ติดต่อไม่ได้ เธอตัดสินใจโทร.เข้ารีสอร์ต พนักงานบอกว่าไม่อยู่ เธอจึงฝากบอกว่าถ้ากลับมาให้รีบโทร.หาหทัยรัตน์ด่วน
หทัยรัตน์บอกปวริศว่ายงยุทธข้ามไปพม่ากับเพื่อนได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อไร ปวริศได้แต่ภาวนาว่า
“หวังแต่ว่าจะไม่สายเกินไปเท่านั้นแหละ”
ทางบ้านนางอ่ำ อุไรถามระพีพรรณว่าได้ข่าวว่านางแย้มเจ็บหนักถึงขึ้นหามส่งโรงพยาบาลเลยหรือ พอระพีพรรณบอกว่าเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย อุไรก็โพล่งทันที
“จะรีบตายไปไหน ยังใช้กรรมไม่สาสมเลย” ถูกนางอ่ำเรียกปรามก็ยังพูดอย่างสาแก่ใจว่า “เขาว่ามะเร็งนี่ ก่อนตายมันเจ็บปวดทรมานอย่างกับอะไรดีไม่ใช่หรือ”
“เขากำลังชดใช้กรรมของเขาอยู่ อย่าไปซ้ำเติมเขาเลยลูกเอ๊ย... เราเองก็ต้องมีวันนั้นเหมือนกันนะอุไร ไม่มีใครหนีความตายพ้นหรอก จะพยายามจองเวรจองกรรมไปทำไม อโหสิกรรมให้กันได้ก็อโหสิกรรมซะ จะได้ไม่ต้องติดค้างกันไป”
“แม่ทำได้ แต่ฉันคงทำไม่ได้หรอก” อุไรหน้าเครียด นางอ่ำเตือนสติว่าสุขทุกข์เราเลือกได้ด้วยตัวเราเอง ชวนระพีพรรณพรุ่งนี้ใส่บาตรกับยายนะ แล้วเดินขึ้นข้างบน
อุไรนั่งทำเป็นไม่สนใจแม้คำพูดของแม่กระทบใจแต่ทิฐิยังคุกรุ่นอยู่ เมื่อขึ้นห้องนอนอุไรมองรูปอัมพรคิดถึงความร้ายกาจของนางแย้มแล้วพึมพำ “ใครจะลืมก็ลืมไป แต่ฉันลืมไม่ลงหรอกนะพี่”
นางแย้มนอนอยู่ที่ห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาล คิดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับยงยุทธ นับแต่ตนแย่งยงยุทธจากอัมพร จนสุดท้ายทะเลาะกันรุนแรงและตัวเองไล่ตะเพิดเขาไป คิดแล้วนอนน้ำตาไหล พร่ำเรียก...“ยงยุทธ...ยงยุทธ...” เสียงแผ่วโผย
ooooooo
เมื่อตัดสินใจที่จะเป็นฝ่ายถอยแล้ว ธนาไปหาหทัยรัตน์ที่โรงพยาบาล ซื้อขนมไปฝากมากมายบอกว่าเห็นยายแก่ๆมานั่งขายอยู่หน้าโรงพยาบาลสงสารเลยซื้อมาหมด บอกให้เธอเอาไปแจกใครก็ได้
ธนามาเพื่อจะบอกหทัยรัตน์ว่าปิดกล้องละครเรื่องสุดท้ายแล้วตนจะไปเรียนต่อ เพื่อสร้างหลักฐานที่มั่นคงในอนาคต หทัยรัตน์ถามว่าทำไมต้องรีบร้อนขนาดนี้ บอกตามตรงดีกว่า ธนารวบรวมความกล้าหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อบอกการตัดสินใจที่เจ็บปวดในชีวิตว่า
“ธนาอยากไปให้เร็วที่สุด เพราะธนาคงทนเห็นงานแต่งงานของรัตน์ไม่ได้หรอก” หทัยรัตน์อึ้งลำคอตีบตันจนพูดไม่ออก ธนาฝืนยิ้มตัดบทเพื่อไม่ให้บรรยากาศเศร้ากว่านี้ว่า “รัตน์ต้องกลับไปทำงานแล้วใช่ไหม ไป ธนาจะเดินไปส่ง”
ระหว่างเดินกลับไปด้วยกัน ทั้งสองต่างนิ่งเงียบอยู่ในความคิด ความรู้สึกของตัวเอง
เมื่อธนากลับไปบอกทวีว่าตนจะไปเรียนต่อเมืองนอก ทวีบอกว่า “ก็ดี ถ้าลูกคิดแบบนั้นวันข้างหน้ายังไงลูกก็ต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นหลักให้ทุกคนมั่นใจในความเป็นผู้นำครอบครัวของลูก” แต่ถูกมยุรีย์แซวว่าไปเพื่อหนีใครบางคนรึเปล่า ทวีเตือนสติลูกว่า “ ถ้าไปอย่างมีจุดหมายชัดเจนก็ดี แต่ถ้าไปเพราะแค่หนีอะไรบางอย่างพ่อไม่เห็นด้วย”
ระหว่างที่ธนาขับรถกลับกรุงเทพฯด้วยความรู้สึกที่ยังสับสนเจ็บปวดนั้น เขาได้รับโทรศัพท์จากหทัยรัตน์ บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย แต่เรื่องนี้ตนไม่พูดทางโทรศัพท์ต้องพูดอย่างเห็นหน้าเห็นตากันเท่านั้น จึงนัดพบกันที่กลางทางนอกเมือง
หทัยรัตน์ถามว่าจะไปเรียนต่อเมืองนอกกี่ปี รู้ไหมว่าการใช้ชีวิตในเมืองนอกเปลืองขนาดไหน ธนาบอกว่าก็เรียนไปหางานทำไป หทัยรัตน์ถามว่าเอาเงินที่จะไปเมืองนอกมาลงทุนทำอะไรสักอย่างไม่ดีกว่าหรือ
ธนายังไม่เฉลียวใจ ถามว่าลงทุนทำอะไร ที่ไหน เธอบอกว่าทำอะไรได้ตั้งหลายหลายค่อยคิดค่อยดูไป ส่วนที่ไหนนั้นเธอบอกว่า “นครสวรรค์ เพราะเป็นบ้านเรา บ้านเกิดของพวกเรา” ธนานิ่งงันแต่ยังไม่แน่ใจ จนเมื่อหทัยรัตน์พูดชัดเจนว่า
“รัตน์เสียใจนะที่ธนาพูดว่าไม่อยากทนเห็นงานแต่งงานของรัตน์” ถามว่าตนยืนยันแล้วหรือว่าจะแต่งงาน ธนาเพิ่งนึกได้ถามว่า เธอจะไม่แต่งงานกับยงยุทธหรือ?! “จะให้พูดชัดๆใช่ไหม...รัตน์จะไม่แต่งงานกับยงยุทธ พอใจรึยัง”
“แล้วรัตน์จะแต่งกับใคร?”
“ใครก็ได้ที่คิดจะอยู่นครสวรรค์กับรัตน์ แล้วก็ไม่คิดจากที่นี่ไปไหนอีก... ทีนี้คิดจะอ้างเรื่องไปเรียนต่ออีกไหม”
“ไม่แล้วครับ ไม่คิดจะไปเรียนที่ไหนอีกแล้วครับคุณหมอ” ธนายิ้มเต็มหน้า ร่าเริงขึ้นในพริบตา ถามว่า “แล้วถ้าคุณหมอไม่รังเกียจ คุณหมอช่วยกรุณามัดจำไว้ก่อนได้ไหมครับ”
หทัยรัตน์ถามว่าอะไรอีกล่ะ ธนาขยับเข้าหาจนชิดจับมือเธอขึ้นจูบอย่างเปี่ยมไปด้วยความรัก ถามว่ามัดจำน้อยไปไหม หทัยรัตน์เขิน ธนาเลยโผเข้ากอดทั้งตัว “ทุ่มหมดเลย ทั้งตัว ทั้งหัวใจ” ทั้งสองกอดกันด้วยความรักอย่างมีความสุข
ooooooo
ระหว่างอยู่ที่พม่านั้น ยงยุทธคิดถึงอดีตจนฝันเห็นภาพตอนนางแย้มวิ่งล้มลุกคลุกคลานตามรถเขาที่ขับออกจากบ้านไปอย่างไม่เหลียวหลัง แม้จะคิดถึงคำสั่งเสียของอัมพรว่าให้รักย่ามากๆ แต่เขาก็เจ็บปวดเกินกว่าจะทำใจอภัยให้ได้
ฝันร้ายนี้ทำให้ยงยุทธตื่นลุกขึ้นนั่งเอามือปิดหน้าเหมือนร้องไห้...
เมื่อกลับมาที่รีสอร์ต พนักงานรายงานว่าหทัยรัตน์โทร.มาหาและบอกให้โทร.กลับด่วนเมื่อกลับมาถึง
ส่วนหทัยรัตน์กลับมาเล่าเรื่องที่คุยกับธนาให้ระพีพรรณฟัง ถูกเพื่อนรักแซวว่าธนาโทร.รายงานตนตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว และแสดงความยินดีกับว่าที่เจ้าสาวด้วย หทัยรัตน์ยังหนักใจว่าถ้ายงยุทธกลับมา เจอย่าตายและตนก็บอกเลิก นึกไม่ออกว่าเขาจะอยู่อย่างไร
“มันอยู่ที่ตัวเขาเองแล้ว เขาต้องยอมรับความจริงให้ได้”
“แล้วถ้าไม่ล่ะ” หทัยรัตน์ถามอย่างกังวล ก็พอดีโทรศัพท์เธอดังขึ้น หทัยรัตน์หยิบโทรศัพท์ดูก็ใจหายวาบ เมื่อเห็นว่าเป็นยงยุทธ!
ooooooo
หทัยรัตน์กดรับสายของยงยุทธเดินเลี่ยงออกไปคุยข้างนอก ระพีพรรณดูก็รู้ว่าเป็นสายจากใคร
ยงยุทธบอกหทัยรัตน์ว่าตนกลับจากพม่าแล้วมาเห็นโน้ตเลยรีบโทร.มา หทัยรัตน์บอกเขาว่าคุณย่าป่วยหนักให้รีบกลับมาเยี่ยมท่านได้ไหม ยงยุทธตกใจถามว่าคุณย่าเป็นอะไร พอรู้ว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ขั้นสุดท้าย และตอนนี้ท่านอยู่โรงพยาบาล เขาบอกหทัยรัตน์ว่า
“เข้าใจแล้ว ยุทธจะรีบกลับไป บอกย่าด้วยว่ายุทธจะรีบไป ให้ย่ารักษาตัวด้วย บอกย่าด้วยนะรัตน์ว่ายุทธขอโทษ ยุทธเสียใจ ยุทธจะรีบไปให้เร็วที่สุดกลับไปยุทธจะแต่งงานกับรัตน์นะ ย่าจะได้สบายใจ”
หทัยรัตน์ฟังแล้วอึ้ง เหมือนมีอะไรแล่นขึ้นมาจุกคอจนแทบหายใจไม่ออก ทำไมเรื่องถึงได้กลับตาลปัตรแบบนี้
ยงยุทธยังเล่าอย่างมีความสุขว่า ตนได้ทับทิมมาชุดหนึ่งสวยมาก เชื่อว่าเธอต้องชอบ เล่าอย่างภูมิใจว่า
“ยุทธซื้อมันด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง ยุทธตั้งใจจะขอหมั้นรัตน์ด้วยทับทิมเก้าเม็ดนี้แหละนะ ยุทธภูมิใจกับมันที่สุด เพราะยุทธได้เลือกได้หาด้วยตัวยุทธเอง ยุทธอยากให้รัตน์เห็นซะตอนนี้เลย มันสวยจริงๆนะรัตน์”
หทัยรัตน์ฟังอึ้งพูดไม่ออก จนเขาถามว่าฟังอยู่หรือเปล่า พอเธอบอกว่าฟังอยู่ เขาเล่าถึงลู่ทางที่จะไปทำธุรกิจหลายอย่าง ถามว่า “รัตน์ดีใจไหม ยุทธว่ายุทธรู้แล้วว่ายุทธถนัดที่จะทำอะไร รัตน์บอกย่านะให้คอยยุทธก่อน ถ้าเป็นไปได้เราจะแต่งงานกันก่อน ย่าจะได้สบายใจนะรัตน์นะ ยุทธอยากแต่งงานกับรัตน์ อยากมีลูก ยุทธจะพยายามเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีที่สุดให้ได้ รัตน์บอกย่าให้คอยยุทธนะ ยุทธจะรีบกลับไป ยุทธคิดถึงรัตน์นะ คิดถึงทุกนาที”
หทัยรัตน์น้ำตาร่วง พยายามทำเสียงปกติบอกเขาว่ากลับมาแล้วค่อยคุยกันเพราะตนต้องรีบไปดูคนไข้ แล้วกดวางสายเลย พอกดวางสายเธอก็ร้องไห้โฮออกมาก็ด้วยความอัดอั้น
ระพีพรรณยืนมองอยู่ เดินเข้ามาแตะไหล่ให้กำลังใจ หทัยรัตน์หันมาเห็นก็ยิ่งร้องไห้ ถามไปสะอื้นไปว่า
“ทำไมต้องเป็นแบบนี้...ทำไม..ระพี...”
ooooooo
ระหว่างที่พะยอมต้องดูแลนางแย้มเพราะสุดาแสดงท่าทีรังเกียจแม่ จึงต้องจ้างอ้อยมาดูแลลือพงษ์แทน ความใกล้ชิดทำให้ลือชัยทำอ้อยท้อง เขาสารภาพกับแม่ว่าอ้อยท้องได้สองเดือนแล้ว
ลือพงษ์เห็นว่าลูกพลาดไปแล้ว ส่วนพะยอมถามว่าเขารักอ้อยหรือว่าแค่สนุกกันแล้วพลาด ลือชัยถามแม่ว่าอย่างไรเสียตนก็ต้องรับผิดชอบไม่ใช่หรือ พะยอมจึงให้ไปตามอ้อยมา พออ้อยมาถึงก็ร้องไห้ก้มกราบพะยอมกับลือพงษ์เหมือนกลัวความผิด พะยอมถามว่าร้องไห้ทำไม ไม่ต้องร้อง
“ชัย...มีอย่างเดียวที่แม่จะขอ ชัยรับปากแม่ได้ไหม อยู่กินเป็นผัวเมียกับอ้อยแล้วลูกอย่ามีใครอีก อย่าทำตัวเจ้าชู้เหมือนผู้ชายทั่วไป อย่าทำให้ผู้หญิงเสียใจ อย่าทำให้แม่ของลูกเสียใจได้ไหม แม่ขอแค่นี้เอง ลูกรับปากแม่ได้ไหม”
ลือชัยกับอ้อยก้มกราบทั้งพ่อและแม่ ลือพงษ์เอื้อมมือลูบหัวลูก ส่วนพะยอมเช็ดน้ำตาตัวเองบอกทั้งสองว่า
“ไว้ซาๆ ธุระที่ต้องดูแลยาย แม่กับพ่อจะไปสู่ขออ้อยให้ถูกต้องตามประเพณีแล้วกัน” แล้วพะยอมก็จะออกไปดูแลนางแย้ม ลือพงษ์เข็นรถออกมาส่งที่หน้าตึกแถว ถามว่าแม่เป็นอย่างไรบ้าง พะยอมบอกว่ามีแต่ทรงกับทรุด
“มีเรื่องทุกข์ใจไม่หยุดหย่อน แต่เรื่องลูก ยังไงก็ขอบใจที่พะยอมจบมันได้อย่างนี้”
“มันเกิดขึ้นแล้ว ยังไงก็ต้องยอมรับความจริง ฉันเคยเจอมาแล้วด้วยตัวเอง การพรากคู่รักเขาออกจากกัน พรากความรับผิดชอบที่เขาควรมี ยังไงมันก็เป็นบาป ที่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ตามไปสนองที่ชาติหน้าชาติไหน ความทุกข์ทรมานมันพบเจอกันได้ในชาตินี้แหละ ฉันหวังอย่างเดียว อย่าให้มันเกิดซ้ำรอยกับลูกฉันอีก”
พะยอมเดินออกไปอย่างปลอดโปร่ง หนักแน่นมั่นใจกับสิ่งที่ทำ
ooooooo










