สมาชิก

สุดแค้นแสนรัก

ตอนที่ 13

อัลบั้ม: เรื่องราวความรักความแค้นของ 2 ครอบครัวใน "สุดแค้นแสนรัก"



ระพีพรรณบอกกับนางอ่ำผู้เป็นยายว่าเดี๋ยวผู้กองปวริศจะมารับไปกินข้าวนอกบ้าน ตนขอขึ้นไปล้างหน้าก่อนถ้าผู้กองมาบอกให้รอแป๊บเดียว

“ไม่ต้องไปรอเขาหรอก เขามาแล้วไปแล้วด้วย แล้วก็คงจะไม่เข้ามาที่นี่อีก” ระพีพรรณถามว่าแม่ไปพูดอะไรกับเขา

“ฉันก็พูดไปอย่างที่เขาควรจะเข้าใจมาตั้งนานแล้ว ก็แค่บอกเขาไปว่า เขาจะแต่งงานกับแกได้ก็ต่อเมื่ออีแย้มมันตายแล้วเท่านั้นแหละ”

ระพีพรรณอุทานตกใจ นางอ่ำถามว่าทำไมทำอย่างนั้น อุไรพูดหน้าตาเฉยว่า

“ฉันไม่ได้ขัดขวางความรักของแก แต่ถ้าเขาอยากแต่งงานกับแกเร็วๆ เขาก็คงต้องหาหนทางเอาเอง”

ระพีพรรณถามว่าทำไมแม่ใจร้ายอย่างนี้ ก็ถูกอุไรย้อนเอาว่ายังน้อยกว่าที่นางแย้มทำกับตนกับอัมพร ระพีพรรณติงว่าเรื่องนั้นมันนานมาแล้ว

“นานแค่ไหนฉันก็ไม่ลืม แล้วก็ไม่มีวันลืมด้วย ถ้าฉันทำแค่นี้แล้วแกรู้สึกว่าแกเจ็บปวดหายใจหายคอไม่ออก ฉันบอกแกได้เลย ที่อีแย้มมันทำกับฉันกับป้าแก มันหนักหนากว่านี้ร้อยเท่าพันเท่า เพราะฉะนั้น แกต้องเข้าใจแล้วก็เห็นใจฉันบ้าง มันเป็นเวลาของการเอาคืน”

ระพีพรรณเสียใจมากวิ่งขึ้นข้างบน โทร.ไปหาปวริศ เขามองโทรศัพท์ไม่รับและไม่กดทิ้ง แต่ถอยห่างออกไปอย่างปวดใจ ในขณะที่ระพีพรรณลุ้นร้อนใจให้เขารับเพื่อจะได้ปรับความเข้าใจกัน แต่โทรศัพท์ถูกปล่อยให้เรียกจนหยุดไปเอง

นางอ่ำเป็นห่วงหลานตะโกนเรียกให้ระพีพรรณลงมากินข้าว ก็ถูกอุไรมาขัดว่าไม่ต้องเรียก เดี๋ยวหิวก็ลงมากินเองแหละ นางอ่ำพยายามยกเรื่องบาปบุญคุณโทษและธรรมะเข้าหว่านล้อม แต่ใจอุไรกร้าวเกินกว่าจะรับฟังซ้ำยังพาลว่า

“ลูกหลานอีแย้ม ยังไงมันก็ต้องมีเลือดชั่วอย่างโคตรเหง้าน่ะแหละ”

ooooooo

ยงยุทธขับรถเรื่อยไปจนถึงลำปาง เขาตระเวนหางานทำเห็นแต่ประกาศรับสมัครงานที่ต้องใช้แรงกายก็เดินผ่านไป

ยงยุทธหางานจนเหนื่อย กอปรกับอดนอนตรากตรำการเดินทางจนสุขภาพที่ไม่แข็งแรงอยู่แล้วยิ่งทรุดโทรม เขานั่งพักดื่มน้ำคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งที่ทะเลาะกับย่าจนหนีออกจากบ้าน ที่อัมพรสั่งเสียให้รักย่ามากๆ จนถึงที่หทัยรัตน์ขอให้กลับไปเริ่มต้นกันใหม่ ภาพที่นางแย้มวิ่งไล่ตามรถตนจนล้มไปกลางถนน คิดแล้วเจ็บปวดท้อแท้ว่าจะสู้ต่อไปหรือยอมแพ้?

พอลุกขึ้นจะข้ามถนนไปยังรถที่จอดอยู่อีกฟากหนึ่ง ก็รู้สึกสายตาพร่ามัว เขารู้ตัวว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่แข็งใจพยายามจะข้ามถนนไปให้ถึงรถ แต่เดินถึงกลางถนนอาการก็หนักจะถอยกลับก็ช้าไปแล้ว ทันใดนั้นมีรถคันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วกดแตรลั่น แต่ยงยุทธหมดแรงที่จะช่วยตัวเอง เขาล้มตึงลงกลางถนนท่ามกลางเสียงเบรกสนั่น

ยงยุทธรู้สึกตัวอีกทีที่โรงพยาบาล เขาแปลกใจเมื่อเห็นวสันต์เพื่อนสมัยเรียนวิศวะที่เชียงใหม่ด้วยกัน วสันต์เล่าเหตุการณ์ให้เขาฟังว่า พอลงมาดูก็จำเขาได้ พยายามติดต่อญาติแต่ก็ไม่มีเบอร์ ถามว่าเขามาทำอะไรที่ลำปาง

“หางานทำ” ยงยุทธไม่ปิดบัง วสันต์บอกว่าที่นี่เป็นเมืองเล็กๆทำไมไม่ไปทางแถบระยอง ยงยุทธบอกว่างานอะไรก็ได้ วสันต์จึงชวนไปลองเป็นผู้จัดการรีสอร์ตของตนดู ถ้าไม่ชอบค่อยหาทางขยับขยาย

ooooooo

แม้ธนาจะถูกหทัยรัตน์ปฏิเสธตลอดมา แต่เขาก็ไม่ละความพยายาม ไม่แย่งชิงแต่หมายเอาชนะใจเธอด้วยบุคลิกเฉพาะตัวของตนที่ร่าเริง ขี้เล่นและมีน้ำใจนักกีฬา

วันนี้ ธนากับระพีพรรณคุยกันถึงเรื่องความรัก ธนาถามว่าปวริศหายไปนานหรือยัง พอรู้ว่าร่วมอาทิตย์แล้ว ธนาโวยวายว่าทำไมไม่ตามไปดูที่โรงพัก บ่นว่าทำนิ่งเฉยอย่างนี้เดี๋ยวเกิดเขาไปปิ๊งคนอื่นที่ง่ายกว่าจะยุ่ง ระพีพรรณบอกว่าช่างเขา

ธนาลุ้นให้เธอไปง้อปวริศ ถามว่าถ้าเกิดปวริศตัดใจไปจริงๆจะทนได้หรือ ระพีพรรณย้อนถามว่าแล้วตัวเองทนหทัยรัตน์ได้ยังไง

“มีความรักก็ต้องมีความหวัง”

“หวังว่ายงยุทธจะไม่กลับมาหรือ”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็ควรดีใจไม่ใช่เหรอ”

“เขาหนีย่าแย้มไปมันเป็นเรื่องพอเข้าใจได้ แต่ที่เขาทิ้งรัตน์ไปได้ลงคอนี่ ระพีไม่เข้าใจ เขาต้องการอะไร ถ้าให้ระพีเดานะ ยงยุทธอยากให้ตัวเองสมหวังกับรัตน์ เขาอาจคิดว่าตัวเองไม่ดีพอสำหรับรัตน์” ธนาทำหน้าไม่เชื่อติงว่าอะไรจะเสียสละขนาดนั้น “แล้วถ้ามันเป็นจริงล่ะ”

“ธนาควรดีใจหรือระพี ในเมื่อรู้อยู่เต็มอกว่ารัตน์รักเขามากขนาดไหน ลึกๆ แล้วธนาก็อยากให้เขาแต่งงานกัน เพราะพอมานึกย้อนดูชีวิตยงยุทธจริงๆแล้วก็น่าสงสารนะ ไม่มีใครเลย นอกจากย่าคนเดียว แต่ธนามีครบทุกอย่าง พ่อ แม่ ยายน้อง ถ้ารัตน์เป็นคนเดียวที่เข้าใจเขา ธนาก็ไม่สมควรจะไปแย่งรัตน์จากเขา”

“ตัวเองคิดอย่างนั้นจริงๆเหรอ” ระพีพรรณถามทึ่ง

“ถ้าคู่แข่งของเราไม่ใช่ยงยุทธ เราลุยเต็มที่ไปนานแล้ว” ธนาพูดสบายๆ ด้วยความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

ooooooo

วันนี้ หทัยรัตน์แต่งตัวจะออกไปข้างนอก พอหยิบนาฬิกาใส่ปรากฏว่านาฬิกาตาย เลยวางไว้ตามเดิม แต่พอนึกถึงคนให้คือยงยุทธ ที่บอกในวันให้นาฬิกาเป็นของขวัญวันเรียนจบว่า “นาฬิกาเรือนนี้เป็นสิ่งเตือนใจไม่ว่าจะอยู่ไกลกันขนาดไหน ก็จะระลึกถึงกันตลอดไป” คิดแล้วหทัยรัตน์หยิบนาฬิกาขึ้นใส่ทั้งที่มันไม่เดินแล้ว

และวันนี้ธนาก็ไปหยอกล้อหทัยรัตน์เล่น ทำเป็นคนป่วยเจ็บที่หัวใจ หทัยรัตน์ทั้งเคืองทั้งหมั่นไส้แต่ก็โมโหความขี้เล่นที่น่ารักของธนาไม่ลง เลยด่าเขินๆ เคืองๆ“บ้า”

ธนาชวนไปทานอาหาร เสร็จแล้วสั่งไอศกรีมกัน หทัยรัตน์สั่งไอศกรีมชาเขียว ธนาสั่งรัมลูกเกด ระหว่างรอไอศกรีม ธนาเห็นหทัยรัตน์ใส่นาฬิกาตายก็ถามว่ามันไม่เดินแล้วทำไมยังใส่อยู่อีก

“นาฬิกาเรือนนี้ ยงยุทธเค้าให้เป็นของขวัญตอนที่เราเรียนจบ” ธนาบอกว่าจำได้ แต่ตอนนี้มันตายแล้วจะใส่อีกทำไม

“เค้าเคยบอกว่า ทุกนาทีเราจะได้คิดถึงกันเวลาที่ดูนาฬิกาเรือนนี้”

ธนาฟังแล้วนิ่งไปอย่างอดน้อยใจไม่ได้ หทัยรัตน์เห็นเขาหน้าจ๋อยเลยชวนกินไอศกรีมกัน เธอขอชิมรัมลูกเกดหน่อย ธนาเลยเลื่อนถ้วยไอศกรีมของตนไปไว้กลางโต๊ะ หทัยรัตน์เลื่อนของตนมาวางคู่ด้วย เลยแบ่งกันกินอย่างเอร็ดอร่อย

วันนี้...เพียงแค่รู้สึกว่าหทัยรัตน์เปิดใจให้ตนแม้เพียงน้อยนิด ธนาก็มีความสุขแล้ว

ooooooo

สุดายังทำหน้าที่เก็บดอกจากลูกหนี้ของนางแย้ม วันนี้เก็บเสร็จก็เอามาให้นางแย้ม ถูกบ่นว่าทำไมมันมีแต่แบงก์ย่อย สุดาบอกว่าตนนับมาให้หมดแล้ว ถามว่าจะให้เอาไปเข้าแบงก์ไหม ให้เอาสมุดบัญชีมา

นางแย้มไม่ไว้ใจ ถามหาสมุดจดเก็บเงิน สุดาชะงักไปนิดหนึ่งปดว่าอยู่ในรถ แล้วลุกไปเอา แต่ที่แท้อยู่ในกระเป๋าถือตัวเอง ทำทีรีบไปที่รถแล้วเอาสมุดซุกไว้ในรถ กลับมาบอกว่าหาไม่เจอบอกว่าสงสัยจะเอาไว้ที่บ้าน นางแย้มคะเนเงินที่ได้รับสงสัยว่าไม่ครบ สุดาบอกว่าเก็บมาได้เท่าไรตนก็เอามาให้แม่ทั้งหมด พอถูกนางแย้มคาดคั้นก็อ้างว่าช่วงนี้เด็กเปิดเทอมเงินก็เลยฝืดหน่อย นางแย้งคำรามทันที “อีหน้าไหนมันกล้าเบี้ยวกู!”

ooooooo

จู่ๆ ปวริศก็โทร.มาหาระพีพรรณบอกว่าเมื่อสักพักตำรวจทางหลวงวิทยุเข้ามาแจ้งว่าเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ ตายคาที่หลายราย รถมูลนิธิกำลังพาคนเจ็บสาหัสส่งโรงพยาบาลบอกให้เธอไปดูหน่อยเพราะคนสาหัสคนนั้นคือลือพงษ์

ขณะระพีพรรณกำลังออกจากตึกอายุรเวชเพื่อไปตึกอุบัติเหตุนั้น ก็ได้รับโทรศัพท์จากอุไรว่ายายถ่ายท้องตั้งแต่เย็นแม่กำลังพามาโรงพยาบาลบอกให้ช่วยลงมาดูหน่อย ระพีพรรณบอกว่าเดี๋ยวจะลงไปรับ อุไรส่งนางอ่ำให้ระพีพรรณฝากให้ดูแลยายด้วย ก็พอดีรถพยาบาลเปิดไซเรนเข้ามา ระพีพรรณบอกว่ารถคว่ำมีคนเจ็บอาการสาหัส นางอ่ำบอกให้ช่วยคนเจ็บก่อน

เมื่อเจ้าหน้าที่นำคนเจ็บออกจากรถ ระพีพรรณเข้าไปดูพยายามเรียกพ่อเพื่อเช็กอาการรับรู้

อุไรใจหาย ช็อกกับสภาพของลือพงษ์ที่ไม่ได้สติเลือดท่วมตัว

ครู่เดียวพะยอมก็มากับปวริศ แต่เข้าไปในห้อง ฉุกเฉินไม่ได้ พะยอมได้แต่ยืนร้องไห้อย่างตระหนกอยู่หน้าห้อง อุไรยืนมองอยู่ รับรู้ถึงความรักความผูกพันที่พะยอมมีต่อลือพงษ์ที่มากกว่าตนเองมากมายนัก เข้าไปบอกพะยอมอย่างเห็นใจว่า

“ระพีมันดูแลเต็มที่อยู่แล้ว พ่อมันทั้งคนมันคงไม่ปล่อยให้เป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตาหรอก”

พะยอมหันมอง ทั้งอุไรและพะยอมต่างมองหน้าด้วยความรู้สึกเดียวกันที่ไม่ต้องการให้ใครต้องจากไปตอนนี้อีกแล้ว

ฝ่ายนางแย้ม ลุกขึ้นมาแต่งตัวใส่ทองอร่าม สุดา บอกว่าปวริศบอกว่าลือพงษ์พ้นขีดอันตรายแล้ว นางย้อนถามว่า

“ใครบอกมึงว่ากูไปเยี่ยมไอ้พงษ์ กูจะไปดูน้ำหน้าอีพวกที่มันเบี้ยวหนี้กู!” สุดาพยายามรั้งไว้บอกว่ายังไงเราก็ทบต้นทบดอกอยู่แล้ว นางแย้มฮึดฮัดบอกว่า “กูจะไปสั่งสอนพวกมันเสียหน่อย”

สุดาใจคอไม่ดีกลัวนางแย้มจับได้ว่ายักยอกเงิน พยายามบอกว่าอย่าไปยุ่งกับพวกนั้นเลย หยวนๆกันไปเถอะ วันหลังตนจะจัดการให้เอง แต่นางแย้มไม่ยอม ลุยไปที่ตลาดจนได้

ไปถึงตลาดก็ด่ากราดพวกแม่ค้าที่นั่งพักเพราะไม่มีคนซื้อว่าขี้เกียจหลังยาว อวดดีกับตนระวังจะไม่มีที่ทำมาหากิน ทั้งยังสาปแช่งว่าแบบนี้ก็จนกันไปจนตาย

แม่ค้าถูกแช่งถูกด่ากราดก็ฉุนขาด ลุกขึ้นด่าคืน นางแย้มคว้าไข่ของแม่ค้าปาอย่างบ้าดีเดือด เลยถูกรุมเสียยับเยิน

ระหว่างมะรุมมะตุ้มกันนั้น สร้อยทองเส้นเขื่องของนางแย้มขาดไม่รู้ตัว สุดาแอบหยิบใส่กระเป๋าไว้ทำไม่รู้ไม่ชี้

ooooooo

ตะลุมบอนกันจนยับเยินแล้ว นางแย้มกลับไปให้สุดาทำแผลให้ พอเห็นประยูรกลับก็บอกว่าจะแจ้งความจับพวกนั้นข้อหาพยายามฆ่าต้องเอาเข้าคุกให้ได้

ประยูรถามว่าแม่ไปตบเขาทำลายข้าวของเขาก่อนไม่ใช่หรือ นางแย้มตวาดว่าใครบอก พอประยูรอ้างว่าสุดาบอก สุดาเลยถูกด่าว่า “มึงเป็นลูกสะใภ้กูประสาอะไร แทนที่จะเขาข้างกู ยังไงกูก็จะเอาเรื่องมันให้ได้”

ประยูรพยายามอธิบายว่าต้นเหตุมาจากเงินกู้นอกระบบของแม่ที่ตอนนี้ทางการกำลังกวาดล้างอยู่ นางก็ไม่กลัวยืนกรานยังไงเขาก็ต้องลากคอพวกนั้นเข้าคุกให้ได้ ประยูรบอกว่าอย่างมากก็แค่คดีทำร้ายร่างกายประนีประนอมกันอยู่ดี

นางแย้มคลำที่คอจึงรู้ว่าสร้อยคอหาย โวยวายว่าต้องถูกพวกนั้นฉวยโอกาสกระชากไปแน่ บอกประยูรว่ายัดข้อหาชิงทรัพย์ไปเลย ประยูรขอให้แล้วๆกันไปเถอะ นางแย้มแว้ดทันทีว่า เขาไม่รักตนเลย ขอแค่นี้ก็ทำให้ไม่ได้

“แม่ใจเย็นสิ แม่พลอยทำให้ผมเดือดร้อนไปด้วย แม่ทำธุรกิจผิดกฎหมาย ผมเพิกเฉยก็เท่ากับผมรู้เห็นเป็นใจไปด้วยมันผิดวินัยแม่เข้าใจไหม หยวนๆไปเถอะน่า”

“พวกมึงรู้จักกูน้อยไป คนอย่างกู ไม่มีวันยอมให้อีหน้าไหนมันมาหักหน้าเอาได้หรอกโว้ย” นางแย้มยังโวยวาย

คืนนี้ ขณะสุดาไปอาบน้ำ ลลดาก็มาค้นกระเป๋าของแม่เจอสร้อยทองขาดอยู่ในกระเป๋า สุดาออกมาเห็นตกใจถามว่าทำอะไรน่ะ!

ลลดาบอกว่าสร้อยเส้นนี้คุ้นๆ ถามว่าเป็นของคุณย่าใช่ไหม สุดาบอกว่ามันขาดคุณย่าเลยฝากให้ไปซ่อมที่ร้าน พอถูกลลดาจับได้ว่าแม่พูดไม่จริงเพราะพ่อบอกตนว่าคุณย่าไปมีเรื่องกันที่ตลาดแล้วสร้อยหายไป สุดาเลยขู่ว่า

“งั้นก็หุบปากแกไว้ให้ดีๆนะ ของพวกนี้อีกหน่อยมันก็จะกลายเป็นของแกน่ะแหละ จะเร็วจะช้าเท่านั้นเอง ใครจะไปรู้ ยงยุทธมันอาจจะกลับมาเมื่อไรก็ได้ ไอ้คนอ่อนแอพรรค์นั้นน่ะมันจองหองได้ไม่นานหรอก แค่มันกลับมาอ้อนย่าแกพักเดียว ก็มีหวังยกทุกอย่างให้มันหมดเหมือนเดิม โกยอะไรมาได้ก็ต้องรีบโกยมาก่อน นี่ฉันทำเพื่อพวกแกนะ”

“ลดาไม่เห็นอยากได้ของพวกนี้เลย ยิ่งได้มาด้วยวิธีที่คุณแม่ทำ ลดาว่ามันน่าละอายมากนะคะคุณแม่” ลลดาออกจากห้องไปอย่างไม่ชอบใจ สุดาเจ็บที่ถูกลูกว่า เลยด่าตามหลังไปว่า โง่เง่ากันทั้งนั้น!

ooooooo

ระหว่างที่นางอ่ำถ่ายท้องยังเพลียๆอยู่นั้น อุไรต้มข้าวต้มยกไปให้แม่กินที่ห้อง นางอ่ำถามว่าลือพงษ์เป็นอย่างไรบ้าง อุไรชะงักไปนิดหนึ่งทำเป็นสะบัดเสียง ว่า ไม่รู้ ตนไม่สนใจ

นางอ่ำเกลี้ยกล่อมอุไรว่า “ทุกคนเกิดมาแล้วเหมือนกันหมดลูกเอ๊ย ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายทั้งนั้น จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง ทำซะในตอนที่ยังมีโอกาสจะได้ไม่ต้องติดค้างกันไปถึงชาติไหน” อุไรนิ่งฟัง “เอ็งเป็นคนมีบุญนะอุไร เอ็งมีลูกที่ดีสร้างความภูมิใจให้พ่อแม่เอ็งอาจจะนึกเถียงแม่ก็ได้ว่าเพราะเอ็งเลี้ยงระพีมันมาดี

แต่เอ็งอย่าลืมนะ ถ้าไม่มีพงษ์มันระพีก็คงไม่ได้มาเกิดเป็นลูกเอ็งหรอก เอ็งอย่ามัวจมปลักความโกรธ ความแค้นอยู่เลย คิดซะว่าเอ็งกับพงษ์มีวาสนาต่อกันเท่านี้ แม่ว่าเอ็งจะสบายใจขึ้น”

ค่ำนี้ พอระพีพรรณกลับถึงบ้าน อุไรถามว่ากินข้าวมาหรือยัง พอรู้ว่ากินแล้วจึงเลียบเคียงถาม

“เขาเป็นยังไงบ้าง...ฟื้นรึยัง” พอระพีพรรณบอกว่ารู้สึกตัวแล้วพูดได้นิดหน่อย อุไรก็รำพึงว่าฟาดเคราะห์ไป คงต้องอยู่โรงพยาบาลอีกนานมั้ง “กระดูกสันหลังหักทับเส้นประสาทจ้ะแม่...พ่อคงพิการไปตลอดชีวิต”

อุไรอึ้งเงียบไปเลย ความชิงชังมลายไปสิ้นเมื่อไปเยี่ยมลือพงษ์ในวันรุ่งขึ้นก็พูดแก้เกี้ยวว่าระพีพรรณขอให้มาเยี่ยม อุไรปรนนิบัติเขาอย่างดีแม้จะยังเคอะเขิน เมื่อลือพงษ์พยายามจะพูดก็ติงว่าไม่มีแรงแล้วจะพูดทำไม พักผ่อนเสียจะได้หายไวๆ

“ยกโทษให้เค้านะ...เค้าเสียใจ...” ลือพงษ์พูดกระท่อนกระแท่น

อุไรตัดบทถามว่าจะเอาอะไรไหมจะไปตามพยาบาลมาดูแลแล้วกัน ที่แท้เธอไม่ต้องการให้ใครเห็นอารมณ์อ่อนไหวของตัวเอง แต่พอออกจากห้องก็เจอพะยอมมาพอดี อุไรกลัวเสียฟอร์มบอกว่าระพีพรรณรบเร้าให้มาดูพ่อเขา

ในภาวะที่เสี่ยงกับการสูญเสีย ความทิฐิของอุไรอ่อนตัวลงมาก ส่วนพะยอมนั้นรู้สึกดีตั้งแต่ที่ระพีพรรณช่วยลือชัยให้หลุดพ้นจากยานรกนั่นแล้ว ทั้งสองจึงคุยกันด้วยความรู้สึกของคนที่หวั่นไหวกับการสูญเสีย พะยอม ชื่นชมอุไรที่เลี้ยงลูกดีมีลูกที่มีจิตใจประเสริฐ เอ่ยอย่างตื้นตันว่า

“ขอบใจนะอุไร ถึงเรื่องบาดหมางระหว่างเราจะเลวร้ายขนาดไหน แต่วันนี้อย่างน้อยเค้าก็มีความสุขบ้าง เวลานึกถึงความรักความมีน้ำใจที่เพื่อนเคยมีให้กัน”

วันนี้เองที่อุไรมองพะยอมอย่างเต็มตา แม้ไม่มีรอยยิ้มหรือคำพูดใด แต่แววตาก็บ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงชัดเจน

ระพีพรรณคุยกับหทัยรัตน์ขณะเดินมาด้วยกันในบริเวณโรงพยาบาลว่า แม่ตนเป็นคนใจแข็ง แต่เชื่อว่าแม่ยังรักพ่ออยู่ แค่ที่ผ่านมาความรักมันกลายเป็นความโกรธความแค้นเท่านั้นเอง

หทัยรัตน์เอาใจช่วยขอให้เรื่องต่อไปที่อุไรจะใจอ่อนคือเรื่องของเธอกับผู้กองปวริศ ระพีพรรณบอกว่าเรื่องนี้อยู่ที่ปวริศไม่ได้อยู่ที่ตน ถามว่าแล้วเรื่องของเธอล่ะ หทัยรัตน์หน้าเจื่อนบอกว่า “ไม่มีอะไรในกอไผ่”

“น่าสงสาร” หทัยรัตน์ถามว่าสงสารใคร ตนหรือ? “ธนาต่างหาก เมื่อไรตัวเองจะใจอ่อนเสียที รักคนที่เขารักเราไม่ดีกว่าเหรอ”

ooooooo

นางแย้มเจ็บใจที่ถูกแม่ค้ารุมที่ตลาด สั่งประยูรให้ไปจับเข้าคุกให้หมด เขาแย้งว่าแม่เป็นคนทำเขาก่อน นางเจ็บใจเลยจ้างพวกนักเลงไปดักเล่นงานแม่ค้าคนนั้น ถูกแม่ค้าแจ้งตำรวจจะเอาเรื่อง

ประยูรร้อนใจที่แม่ทำเรื่องให้ทั้งตนและปวริศต้องเดือดร้อนจนอาจถูกสอบทางวินัย บอกว่าแม่เองก็มีความผิดที่ปล่อยเงินกู้นอกระบบดอกเบี้ยสูงผิดกฎหมาย นางแย้มปากกล้าว่าไม่กลัว แต่ก็แอบให้สุดาไปเจรจาขอประนอมยอมความ ทางแม่ค้าเรียกเงินหนึ่งแสนบาท แต่พอสุดามาบอกนางแย้มกลายเป็นสามแสนบาท

นางแย้มไม่ยอมจ่าย ให้สุดาไปต่อรองเหลือแสนเดียว

“มันไม่ง่ายหรอกนะแม่ ฉันได้ยินมาว่ามันให้พวกมันตามสืบจนจะได้ตัวไอ้มอเตอร์ไซค์รับจ้างสองคนนั่นแล้วด้วย”

เมื่อนางแย้มยังไม่ยอม สุดาบอกว่าตนก็จนปัญญาไม่รู้จะช่วยอย่างไรตนลงทุนยกมือไหว้แล้วฝ่ายนั้นก็ยังไม่ยอม ขอร้องแกมขู่นางแย้มว่า“เห็นแก่พี่ยูร เห็นแก่หลาน เถอะนะแม่นะ เรื่องมันจะได้จบๆไปเสียที”

ในยามที่ลือพงษ์ได้รับบาดเจ็บปางตายนี่เอง นอกจากอุไรกับพะยอมจะญาติดีกันแล้ว ลือชัยก็ได้ออกจากสถานบำบัด ระพีพรรรณกับปวริศไปรับกลับมาหาลือพงษ์ เขาขอโทษพ่อและสัญญาว่าจะไม่กลับไปยุ่งเกี่ยวกับยานรกนั่นอีกแล้ว

“แค่คิดได้พ่อกับแม่ก็ดีใจที่สุดแล้วลูก พ่อก็ต้องขอโทษชัยเหมือนกัน พ่อไม่เคยมีเวลาให้ลูกเลย แต่อย่างนึงที่พ่ออยากจะบอกลูกเสมอ ยังไงชัยก็เป็นลูกพ่อ พ่อรักลูกมากนะ ทุกคนก้าวพลาดแล้วล้มกันได้ทั้งนั้นแต่คนกล้าเท่านั้นแหละที่พร้อมจะลุกขึ้นมาเดินต่อไปนะลูก”

ลือชัยประคองมือพ่อขึ้นปกหัวตัวเองเป็นการรับพร พะยอมเอื้อมมือมาลูบหลังไหล่ลูกด้วยความปลื้มปีติเป็นที่สุด

จากนั้น ลือพงษ์มอบหมายให้ลือชัยดูแลกิจการแทนตนทั้งหมด ลือชัยไม่มั่นใจตัวเองบอกว่าตนหัวไม่ดี

“เยอะแยะไปที่คนหัวดีต้องยอมแพ้คนที่มีความพยายาม” ระพีพรรณให้กำลังใจน้อง ปวริศก็พร้อมที่จะช่วยเขา ทำให้ลือชัยมีความมั่นใจขึ้น รับคำน้ำตาคลอ

ooooooo

ธนาอยากให้หทัยรัตน์ได้พักผ่อน จึงผ่านระพีพรรณชวนเธอไปพักผ่อนต่างจังหวัดกัน โดยมีปวริศไปด้วย หทัยรัตน์ดักคออย่างรู้ทันว่าธนาเป็นต้นคิดแผนนี้แน่เลย

“ธนาน่ะ เขาเห็นตัวเองเอาแต่ทำงานออกไปพักบ้าง จะได้สดชื่นขึ้น ไปเถอะไปไหว้พระกันด้วย พวกเราเกิดปีเดียวกันบูชาธาตุองค์เดียวกัน โอกาสแบบนี้ไม่ค่อยมีหรอกนะตัวเอง”

การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นสนุกสนาน ธนาพาไปพักรีสอร์ตที่ลำปางเขาคิดว่าสวยงามและเงียบดี แต่เพราะเป็นวันหยุดยาว ธนายกมือภาวนาขอให้เจ้าที่เจ้าทางช่วยให้ห้องว่างด้วย แต่ถ้าห้องเต็มหมดกางเต็นท์นอนในสวนกันก็ยังได้

เป็นรีสอร์ตที่ยงยุทธไปเป็นผู้จัดการอยู่พอดี!

ขณะพวกธนาเข้าไปจองที่พักนั้น ยงยุทธจะออกมารับแขก เขาชะงักถอยกรูดเมื่อเห็นหทัยรัตน์ เธอเองก็เห็นเขาแว้บๆ แต่ไม่แน่ใจจึงหันมาช่วยกันเลือกที่พักจากแผนผัง

ยงยุทธถอยไปซุ่มดูอยู่ นึกในใจว่าหนีมาไกลถึงเพียงนี้ก็ยังตามมาพบกันอีก ทั้งดีใจและเจ็บปวดพอกัน

ooooooo

ธนาห่อเหี่ยวเมื่อตนเพียรพยายามถึงเพียงนี้ และเวลาผ่านไปเกือบปีแล้ว แต่หทัยรัตน์ก็ยังตัดใจไม่ได้จากยงยุทธ ถึงขั้นตาฝาดเห็นใครเป็นยงยุทธไปได้ ปวริศเห็นอาการแล้วให้กำลังใจว่า

“อดีตก็คืออดีตโว้ย มันอยู่ที่ปัจจุบันนายจะชนะใจรัตน์เขาได้รึเปล่า ขืนนายมัวหน่อมแน้มคิดเล็กคิดน้อยอย่างนี้ อีกห้าปีสิบปีนายกับรัตน์ก็ไม่มีทางไปถึงไหนหรอก”

หทัยรัตน์เองก็เหมือนจะหมดสนุกไปเลย บ่นกับระพีพรรณว่าไม่รู้ว่าตอนนี้ยงยุทธไปอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ ระพีพรรณเดาใจเพื่อนว่า “จริงๆแล้วตัวเองกังวลเรื่องของตัวเองกับธนามากกว่าใช่ไหม” หทัยรัตน์ยอมรับว่าใช่ กังวลว่าเดี๋ยวจู่ๆยงยุทธกลับมา และตนก็ไม่อาจลืมความรักครั้งแรกได้ด้วย

“มันก็จริง แต่ถ้าจะถามความเห็นเค้า เค้าว่าตอนนี้ตัวเองก็ควรห่วงความรู้สึกธนาให้มากๆเหมือนกัน ตัวเองจะมัวลังเลไม่ได้ อย่ามัวสงสารยงยุทธคนเดียว สงสารธนาบ้าง”

ตกเย็นเมื่อหทัยรัตน์ออกมาเดินเล่นในบริเวณสวนสวยของรีสอร์ต ยงยุทธแอบดูอยู่ทนไม่ได้จะโทร.เข้ามือถือเธอ แต่ทันใดก็ชะงักเมื่อเห็นธนาเดินออกมา

ธนาเดินคุยกับหทัยรัตน์มาครู่หนึ่ง เขาถามว่าถ้าตนจะขออะไรเธอสักอย่างจะให้ได้ไหม เธอถามว่าจะขออะไร

“ถอดนาฬิกาเรือนนั้นออกเสียทีได้ไหม แล้วใส่เรือนนี้แทน” พลางหยิบนาฬิกาออกจากกระเป๋า “นาฬิกาเรือนนี้ธนาซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ซื้อเก็บไว้นานแล้ว ตั้งใจจะให้รัตน์น่ะแหละ แต่ไม่มีโอกาสเสียที ไหนๆ นาฬิกาเรือนนั้นก็ไม่เดินแล้ว เจ้าของก็ไม่รู้หายไปไหน รัตน์เลิกเสียดายมันได้ไหม ธนาจะดีใจที่สุด ถ้ารัตน์จะให้เกียรติใส่นาฬิกาเรือนนี้แทน”

หทัยรัตน์ใจอ่อนยวบ มองนาฬิกาที่ข้อมือ ตัดสินใจถอดเรือนนั้นออก ธนาเอื้อมมือไปจับมือเธอแล้วสวมนาฬิกาเรือนใหม่ให้ ที่อีกมุมหนึ่ง ยงยุทธซ่อนตัวอยู่เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตา เขาปวดใจจนทนดูไม่ได้...

เมื่อกลับห้องพักแล้วหทัยรัตน์ก็ยังอดห่วงความรู้สึกของยงยุทธไม่ได้ ระพีพรรณเองก็อยากให้เธอห่วงความรู้สึกของธนาเหมือนกัน อยากให้เธอชัดเจนกับความรู้สึกของตัวเอง ย้ำว่า

“ถึงเวลาที่ต้องเลือกแล้ว ความผูกพัน ความสงสาร กับคำสัญญา มันเรื่องเก่าแล้วนะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกันรัตน์คิดเอาเองนะว่าอยู่กับใครแล้วรัตน์มีความสุขมากกว่ากัน ก็เลือกคนนั้นแหละ”

ขณะนั้นเองมีโทร.เข้ามือถือหทัยรัตน์ เธอหยิบดูเห็นเบอร์แปลกๆเลยตัดสายทิ้ง ที่แท้เป็นสายจากยงยุทธแต่เขาเปลี่ยนเบอร์แล้วหทัยรัตน์จึงไม่รับสาย ยงยุทธมองโทรศัพท์อย่างผิดหวัง ว้าวุ่นใจ คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี

ooooooo

คืนนี้เองขณะหทัยรัตน์นั่งพักผ่อนอยู่กับเพื่อนๆ ที่มุมพักผ่อนในรีสอร์ต โทรศัพท์มือถือเธอดังขึ้นเป็นเบอร์แปลกๆเบอร์เดิม หทัยรัตน์ตัดสินใจรับ พอรู้ว่าเป็นยงยุทธเธอลุกเดินออกไปคุยห่างจากกลุ่ม

หทัยรัตน์ถามว่าเขาอยู่ที่ไหนยงยุทธก็ไม่ยอมบอกเอาแต่ตัดพ้อต่อว่าอย่างน้อยใจว่าไม่มีใครห่วงตนจริงๆหรอก แล้วตัดสายเลย หทัยรัตน์ว้าวุ่นใจมาก เล่าให้ระพีพรรณฟังว่ายงยุทธคงอยู่แถวนี้แหละถึงได้เห็นพวกเรา

จนกลางคืนยงยุทธส่งข้อความเข้ามา ทั้งสองส่งข้อความตอบโต้กันก็มีแต่คำตัดพ้อต่อว่า หทัยรัตน์ตัดสินใจโทร.กลับเธอถามจนเขายอมรับว่าอยู่ที่รีสอร์ตนี้แหละ ตนทำงานอยู่ที่นี่ บอกว่าถ้าอยากเจอก็ให้เดินออกมาตนอยู่ที่ศาลากลางสวน แต่ถ้าไม่ออกมาก็ไม่เป็นไรตนเข้าใจ

เมื่อออกไปพบกันแล้ว ยงยุทธประชดด้วยการแสดงความยินดีกับเธอ หทัยรัตน์รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร พยายามอธิบายว่าไม่ใช่อย่างที่เขาคิด ยงยุทธขอคำยืนยันว่าแผนแต่งงานของเรายังไม่ถูกยกเลิกใช่ไหม

“นานแค่ไหนก็ไม่มีใครลืมความรักครั้งแรกของตัวเองได้หรอกนะยุทธ” เธออยากพูดมากกว่านี้แต่พูดไม่ออกเพราะมันทำร้ายจิตใจเขาเกินไป ยงยุทธขอกอดเธอให้หายคิดถึง เมื่อเขากอดเธอ หทัยรัตน์น้ำตาร่วงด้วยความสงสาร สงสารทั้งตัวเองที่ถึงเวลาต้องเลือกแล้ว และสงสารยงยุทธที่โหยหาความรักความอบอุ่นมาทั้งชีวิต

“ขอเวลายุทธอีกสักพักนะรัตน์ ยุทธตั้งหลักได้เมื่อไหร่ เราจะแต่งงานกันทันที รัตน์รอยุทธหน่อยนะ” เขาเอ่ยเมื่อมาส่งเธอที่หน้าห้องพัก บอกก่อนปิดประตูว่า “พักผ่อนซะ แล้วยุทธจะโทร.หา”

ระพีพรรณหลับไปแล้ว รู้สึกตัวตื่นเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆอยู่ข้างๆ ลุกขึ้นมาถามหทัยรัตน์ว่าเป็นอะไร ใครทำหทัยรัตน์บอกว่าตนเจอยงยุทธแล้ว เขาทำงานอยู่ที่นี่

“นี่มันพรหมลิขิตหรือเวรกรรมกันแน่” ระพีพรรณรำพึงอึ้ง

“ถึงเวลาที่รัตน์จะต้องตัดสินใจเลือกจริงๆแล้วใช่ไหมระพี”

ระพีพรรณได้แต่ถอนใจอย่างหนักใจแทนเพื่อน...

ooooooo

เมื่อนางแย้มมีเรื่องวุ่นวายมากขึ้นทุกที ประยูรเสนอแม่ให้เลิกออกเงินกู้เสียเพราะฐานะของเราตอนนี้ก็มีกินมีใช้กัน หลานๆแต่ละคนก็มีงานทำทุกคนไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้ว

นางแย้มเองก็บ่นว่าเบื่อ อยากเลิกแต่ก็ขอคิดดูก่อน ส่วนสุดาไม่อยากให้เลิกเพราะเงินที่ได้แต่ละเดือนนั้นไม่ใช่น้อย

เมื่อเห็นท่านางแย้มจะเลิกเพราะที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อยงยุทธแต่เขาก็ไม่อยู่ให้ดูแลแล้ว สุดาบอกว่าตนมีข้อเสนอใหม่ให้ เสนอว่าเงินที่นางแย้มปล่อยกู้ทั้งหมดนั้นตนขอครึ่งหนึ่งไว้ทำทุนอีกครึ่งหนึ่งจะจ่ายสดคืนให้ แต่ผ่านไปหลายวันนางแย้มรอจนทนไม่ได้ถามว่าเมื่อไหร่จะเอาเงินมาให้ ประยูรถามว่าเงินค่าอะไรทำไมตนไม่เห็นรู้เรื่อง

สุดาไม่อยากให้ประยูรรู้เรื่องรีบตัดบทว่าขอเวลาอีกสองวันจะรีบหาเงินมาคืนให้ คุณแม่อย่าเปลี่ยนใจกลับคำก็แล้วกัน ซ้ำยังปรายตาไปทางพะยอมพูดลอยๆ ว่า กลัวบางคนเกิดอยากได้ขึ้นมาบ้าง พะยอมรู้ว่าถูกเหน็บ เลยประกาศชัดเจนว่า

“ฉันไม่เคยอยากได้สมบัติของแม่สักอย่าง ทุกวันนี้ทำมาหากินเลี้ยงตัวเองได้ไม่ต้องแบมือขอใครกินก็พอใจแล้วสุดา ไม่ต้องห่วงหรอกว่าฉันจะแย่งเธอ”

“คุณแม่ได้ยินแล้วนะคะ สมบัติแม้แต่ชิ้นเดียว พะยอมเขาก็ไม่อยากได้ของคุณแม่” สุดารีบหาพยาน

“เออ...กูยังอยู่ตรงนี้ กูยังไม่ตาย พวกมึงยังไม่ต้องคิดเรื่องแบ่งสมบัติกูหรอก” นางแย้มจิกตาใส่

ประยูรตำหนิสุดาว่าจะทำอะไรทำไมไม่ปรึกษากันก่อน เธอโต้ว่าขืนบอก เขาก็ไม่ให้ทำ ตนต้องการหาเลี้ยงตัวเองเหมือนกัน แค่เงินเดือนนายดาบจะพอใช้อะไร ประยูรถามว่าลูกก็แบ่งให้ใช้อยู่ทุกเดือนจะเอาอะไรอีก

ประยูรชี้ให้เห็นถึงอาชีพปล่อยเงินกู้รีดดอกเบี้ยสูงว่าเป็นการทำนาบนหลังคน ชี้ให้เห็นถึงบาปบุญคุณโทษ ทั้งยังถูกผู้คนสาปแช่งอีก สุดาโต้ว่าตนไม่สน เพราะต้องมีเงินคนถึงจะนับหน้าถือตา ตนเบื่อที่จะต้องแบมือขอเงินเขาแล้ว

“เกิดอะไรขึ้นก็อย่ามาโทษกันนะ”

“ถึงฉันไม่ทำ ฉันก็รู้ว่าน้องสาวพี่มันจ้องจะงาบอยู่แล้ว ดัดจริตทำเป็นไม่สนสมบัติแม่ จริงๆแล้วมันก็อยากได้จนตัวสั่นล่ะวะ” สุดาสะบัดหน้าเดินออกไป ประยูรมองอึ้ง เขาเพิ่งเห็นลายเมียเอาตอนแก่นี่เอง

ooooooo

เมื่อธนารู้เรื่องยงยุทธกับหทัยรัตน์จากระพีพรรณ เขาถามว่าหทัยรัตน์อาจไม่เลือกตนใช่ไหม ระพีพรรณ บอกว่าตนเชื่ออย่างหนึ่งว่า ความสงสารมันสู้ความรักไม่ได้หรอก

ธนาทบทวนเรื่องราวแล้วบอกระพีพรรณว่าหทัยรัตน์ ไม่เคยบอกว่ารักตนเลย ซ้ำตนก็มาทีหลังยงยุทธด้วย เรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาอาจเป็นเพราะตนคิดเอาเอง ตนหาเรื่องใส่ตัวเอง บอกระพีพรรณอย่างคิดตกแล้วว่า

“ยังไงก็คงต้องยอมรับความจริงแล้วมั้งว่า ตัวจริง เขากลับมาแล้ว”

ธนาเดินคอตกผละไป ระพีพรรณได้แต่มองตามไปด้วยความสงสาร

ooooooo

สุดแค้นแสนรัก

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด